19.12.10

บทสรุปพระปราโมทย์ VS ฐิตินาถ เมื่อวิถีแห่งความรู้แจ้งลอกคราบ "เข็มทิศชีวิต"

 

- กรณี “พระปราโมทย์ ปาโมชโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้นั้น ถ้าหากจะมองด้วยใจที่เป็น “ธรรม” คงต้องแยกแยะปฐมเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมดออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือส่วนของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา              จากนั้นก็มาแยกแยะทีละประเด็นถึงเหตุผลของแต่ละฝ่ายว่า ใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน              กล่าวคือ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาคือตัวของพระปราโมทย์เองนั้นมีข้อกล่าวหาที่จะต้องตอบคำถามอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย              หนึ่ง-ข้อกล่าวหาในเรื่องทรัพย์สินที่ยักย้ายถ่ายเทให้กับ “แม่ชีอรนุช สันตยากร” อดีตภรรยา              สอง-ข้อกล่าวหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช              และสาม-ข้อกล่าวหาในเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม              ขณะที่ในส่วนของ “ผู้กล่าวหา” ที่นำโดย น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอกและประธานมูลนิธิบ้านเอื้ออารีย์ รวมทั้งนายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ก็มีประเด็นที่จะต้องชี้แจงให้กับสังคมเช่นกันว่า มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เพราะการที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ออกมาโจมตีพระปราโมทย์ด้วยข้อกล่าวหาที่หนักหนาสาหัส 3 ข้อพร้อมกับยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา              เนื่องเพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกศิษย์และได้รับผลประโยชน์จากการเป็นลูกศิษย์ของพระปราโมทย์ไปไม่น้อย              **หักเข็มทิศครั้งที่ 1       ที่ดิน-เงินไร้ปัญหา              เริ่มต้นจากตัวพระปราโมทย์เองนั้น ถ้าหากพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ก็ต้องบอกว่า เรื่องที่นำมาแฉโพย พระปราโมทย์ ยังไม่มีหลักฐานเด็ดหรือหมัดน็อกที่ทำให้จนมุมเลยแม้แต่ข้อเดียว              สำหรับประเด็นแรกคือ กรณีเรื่องที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นคนดูแลบัญชีนั้น สิ่งที่น่าจะตอบคำถามทั้งหมด ก็น่าจะเป็นการที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุชัดว่า การที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นผู้ถือบัญชีถือว่าไม่ผิดวินัยสงฆ์ ส่วนเรื่องที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องเช่นกัน              หรือดังเช่นที่ “นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์” เพื่อนร่วมรุ่นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ของพระปราโมทย์ที่ให้ความเห็นว่า “การตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นมาอุทิศตนสามีบวชพระ ภรรยาบวชชี และอยู่กินกันมากับภรรยาก็คงไม่รู้จะใส่ชื่อใครเพราะเป็นพระจะถือครองที่ดินไม่ได้ จะไปใส่ชื่อคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะนำไปขายเมื่อไหร่ แล้วคนอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องอาศัยที่ตรงนั้นจะทำอย่างไรแล้วเงินที่บริจาคมาจะไว้ใจใครได้นอกจากคนที่เชื่อถือกันมากที่สุด”              ขณะเดียวกันเมื่อรับฟังคำชี้แจงของนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของพระปราโมทย์ก็ต้องบอกว่าเป็นเหตุเป็นผลไม่น้อย              นายธนเดชอธิบายว่า ในช่วงของการซื้อที่ดิน น.ส.ฐิตินาถ ได้ร้องขอเป็นผู้ซื้อที่ดิน แต่ทางพระปราโมทย์ขอให้ใช้ชื่อของแม่ชีอรนุช เนื่องจากว่า ไว้วางใจมากกว่า จึงทำให้มีชื่อของแม่ชีอรนุช เป็นเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 มิใช่การโอนถ่ายให้แก่แม่ชีอรนุชในภายหลังแต่อย่างใด ส่วนการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และตลอดจนการดำเนินงานของสวนสันติธรรมได้กระทำอย่างโปร่งใส มีบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ได้เข้ามารับรู้และทราบเรื่องเป็นจำนวนมาก              ด้านการบริหารเงินที่ได้รับบริจาคมาของสวนสันติธรรม แม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว โดยในระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของแม่ชีอรนุชร่วมกับ น.ส.ฐิตินาถ ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดย น.ส.ฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่ายเนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และนายธนา รุจิพัฒนกุล เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย และในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของแม่ชีอรนุชและ น.ส.ฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม              ส่วนระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้าง น.ส.ฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว แม่ชีอรนุชจึงต้องรับภาระดูแลบัญชีตามลำพัง ในช่วงธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจาก น.ส.ฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อ 22 ส.ค.51 ในนามของแม่ชีอรนุช นายอภิชาติ อัศวเรืองชัย และน.ส.ชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้นายอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย อย่างไรก็ตามตั้งแต่นายอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อ 15 ม.ค.53 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด              นายธนเดชชี้แจงด้วยว่า สำหรับระยะปัจจุบัน เมื่อ 18 ก.พ.53 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของนายสุรพล สายพานิช นายธนา รุจิพัฒนกุล และ น.ส.กนิษฐวิริยา ต.สุวรรณ ทั้งนี้แม่ชีอรนุชทำหน้าที่เพียงการควบคุมการเบิกจ่ายเงินสดย่อย และสรุปยอดบัญชีรายเดือนส่งให้นายสุรพล ซึ่งได้จ้างนักบัญชีตรวจสอบบัญชีอีกชั้นหนึ่งด้วย              นี่คือความกระจ่างชัดจากคำตอบที่มาจากพระปราโมทย์              และตอกย้ำกันที่ผลการตรวจสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่สรุปข้อเท็จจริงเรื่องที่ดินและเงินของสวนสันติธรรมว่า จากรายงานของผู้อำนวยการ พศ.จังหวัด คณะกรรมการชุดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ตั้งขึ้นมา สรุปผลออกมาเรียบร้อยแล้วใน 2 ประเด็น คือ เรื่องเงินเรื่องและที่ดิน              กล่าวสำหรับเรื่องเงิน คณะกรรมการสรุปว่า มีการนำบัญชีรายรับรายจ่ายมาแสดงให้ดูอย่างถูกต้องตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 ส่วนเรื่องที่ดินที่ต้องให้มีบุคคลถือครองที่ดินเพราะความมุ่งหมายเดิมต้องการเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นวัด ต่อมามีความพร้อมจึงยื่นขอจดทะเบียนเป็นวัดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากได้รับอนุญาต ภายใน 5 ปี จะต้องดำเนินการก่อสร้างวัด และขออนุญาตตั้งชื่อวัด และในเวลานั้น จึงต้องแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นชื่อวัด       สรุปก็คือ สวนสันติธรรมที่มีมีเงินเหลืออยู่ในขณะนี้ทั้งหมด 21,154,992.10 บาทไม่ได้มีปัญหาตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด              ทว่า ปัญหาดูเหมือนจะไม่จบลงเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้กล่าวหาซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ย.โดยในเอกสารประกอบการแถลงข่าว นายเทิดศักดิ์ได้ตั้งคำถามอีกว่า บัญชีเงินฝากของสวนสันติธรรมมีเพียง 21 ล้านบาทใน 7บัญชีเท่านั้น ใช่หรือไม่ ถ้ามีเพิ่มจากบัญชีในชื่อนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยา หรือ การตกแต่งบัญชีเงินบริจาค ถือเป็นการยักยอกหรือไม่  พร้อมทั้งยังระบุอีกว่า มีบัญชีเงินฝากในนามนางอรนุช 1 บัญชีที่ไม่ได้ถูกยื่นให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบ  ในเบื้องต้นมีการตรวจสอบบัญชีรายรับ/จ่าย ของนายอภิชาต อัศวเรืองชัย  พบว่า น่าจะมีบางรายการที่ไม่ได้ถูกรวมเข้ามาอยู่ในบัญชีรายรับ/จ่ายของสวนสันติธรรมด้วย ซึ่งจะนำให้ดีเอสไอพิจารณาต่อไป              สิ่งที่ผิดสังเกตก็คือ กลุ่มอดีตลูกศิษย์เหล่านี้ทำได้แค่เพียงตั้งข้อสงสัยและไม่ได้มีการนำหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมมาแสดงเพื่อให้เกิดความเชื่อถือแต่อย่างใด              **หักเข็มทิศครั้งที่ 2       ไร้หลักฐานโยงความสัมพันธ์แม่ชีอรนุช              ประเด็นที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชนั้น สิ่งที่พุทธศาสนิกชนต้องพึงทราบก็คือ แม้พระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชจะไม่ได้หย่าขาดกันทางกฎหมาย แต่ในทางธรรมแล้ว “ขนบ” และ “ประเพณี” ซึ่งเป็นที่รับรู้และปฏิบัติกันมาโดยตลอดก็คือ เมื่อมีการบรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนา และเป็นสมณเพศแล้ว ก็ถือเป็นการขาดจากกันในความสัมพันธ์ที่เคยมีมาในทางโลกไปด้วย              ขณะเดียวกันเมื่อมีการพาสื่อมวลชนไปตรวจสอบกุฏิที่อาศัยระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช ก็จะเห็นว่า ตั้งอยู่ห่างกัน 120-130 เมตร ซึ่งก็เป็นระยะที่ห่างกันพอสมควร นอจากนี้ยังมีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฏิของพระอุปัฏฐากอยู่ใกล้กุฏิพระปราโมทย์เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถเป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐากเพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์และแม่ชีอรนุชยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้านอนาลโยของ น.ส.ฐิตินาถก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง              เช่นเดียวกับปัญหาเรื่อง “เขตห้ามเข้า” ที่มีความพยายามที่จะตีประเด็นว่า มีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่จึงห้ามเข้า ก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่า เป็นเรื่องปกติของเขตพื้นที่ปฏิบัติธรรม เขตสังฆาวาสที่จะห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะที่สวนสันติธรรมเท่านั้น หากแต่วัดสายปฏิบัติเกือบทุกวันก็มีข้อห้ามเยี่ยงนี้เช่นกัน              **หักเข็มทิศครั้งที่ 3       ใครกันแน่อวดอุตริมนุสธรรม              ส่วนเรื่องการอวดอุตริมนุสสธรรมที่ฝ่ายผู้กล่าวหากำลังเร่งเครื่องอย่างหนักในเวลานี้นั้น ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะวินิจฉัยกันได้โดยง่าย หากแต่ต้องอาศัยผู้ทรงภูมิธรรมว่าวิเคราะห์กันทีละประเด็นว่าเข้าข่ายหรือไม่              ที่สำคัญคือหลักฐานที่ฝ่ายผู้กล่าวหานำมาแสดงเป็นคลิปเสียงต่างๆ ก็ไม่ได้นำมาแสดงทั้งหมด แต่ตัดเอามาจากบางส่วนบางตอนของคำเทศนา ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมที่จะกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมในทันที เพราะถ้าฟังคำเทศนาโดยรวม อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ซึ่งในประเด็นนี้ ก็คงต้องรอการพิสูจน์จากผลสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกันต่อไป       เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรมที่อ้างจากหนังสือ “วิมุตติปฏิปทา” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยระบุว่า “ผู้เขียน(ซึ่งหมายถึงพระปราโมทย์) ก็สามารถรู้สภาวะจิตของผู้อื่นได้เหมือนสภาวะจิตของตนเอง” ก็เป็นข้อกล่าวหาซึ่งผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงอดเศร้าใจไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พระปราโมทย์เขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นฆราวาส เขียนในนามปากกาที่ชื่อว่า “สันตินันท์”              ที่สำคัญคือการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการจัดพิมพ์ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 ก็เป็นการดำเนินการโดยลูกศิษย์ พระปราโมทย์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวแต่ประการใด              นอกจากนั้น ถ้าหันกลับไปพิจารณาจากคำให้การของลูกศิษย์ที่ยังคงศรัทธาในธรรมะและตัวหลวงพ่อปราโมทย์ก็จะพบว่า เป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม ดังเช่นในรายของ “สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา” ที่สรุปเอาไว้ว่า....”ในประเด็นอวดอุตริมนุสธรรมนั้น ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ เพราะเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่จะต้องดำเนินการ.....ผมเชื่อมั่นว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอนนั้น สามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ครับ เพราะหลวงพ่อสอนให้มีสติ มีจิตตั้งมั่นและหัดรู้รูปนามเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ซึ่งจากการได้ปฏิบัติตาม ก็เห็นไตรลักษณ์ได้จริงๆ”              ขณะที่เมื่อไปตรวจสอบผู้กล่าวหาคนสำคัญจากมูลนิธิบ้านอารีย์อย่าง “วีรณัฐ โรจนประภา” ที่ให้สัมภาษณ์ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ก็มีข้อให้ชวนให้ขบคิดเช่นกันเช่นกัน              “เท่าที่ผมสังเกตดู ก่อนหน้านี้จะไม่มีการดูจิตทายใจเป็นถี่ๆ หรือมากๆ แบบหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งเพิ่งจะมีมาตอนที่หลวงพ่อปราโมทย์มาสอนนี่แหละ ตอนแรกที่เรียนก็จะได้ผลดีจริงๆ อย่างที่ทุกคนประสบ อย่างผม เห็นญาติธรรมที่เข้ามาตั้งแต่วันแรกที่มีทุกข์ เข้ามาก็มาพึ่งธรรมะ พึ่งคำสอนในระบบนี้ไป สามเดือนห้าเดือนทุกข์จากคลาย มีความสุขมากขึ้น ผ่านไปปีนึ่งก็มีความอยากให้พ้นทุกข์ยิ่งๆ ขึ้น ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกภูมิใจ ดีใจที่ได้เผยแผ่การสอนในระบบนี้ แต่พอมาถึงช่วงหนึ่ง จุดหนึ่ง นานวันเข้า ความสุขอะไรก็ยังมีอยู่จริง แต่ว่าความอ่อนแอตามาด้วย คือทุกคนรอที่จะถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากหลวงพ่อปราโมทย์ท่าน”              และเมื่อถามว่าพิสูจน์จากอะไร              นายวีรณัฐตอบว่า “จากที่เวลารับกิจนิมนต์ คนจองคิวกันยาวเหยียด การสอบทานเรื่องการปฏิบัติก็ต้อมีการจับฉลากบัตร จัดคิว ระบบการเรียนการสอนเองที่พอเรียนเข้าจริงๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องบอกแต่ว่า วันเสาร์ไปส่งการบ้าน วันไหนไปให้หลวงพ่อตรวจ อันนี้ต้องให้หลวงพ่อดู ทั้งหลายทั้งปวงในระบบนี้ สุดท้ายเรากลับไปพึ่งความสามารถพิเศษของพระรูปหนึ่ง จุดนี้เองที่ผมทักท้วงไปว่า อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือ ที่ตอนหลังคนเรียนมีการพึ่งพิงตนเองได้น้อยลงขนาดนี้”              **เข็มทิศชีวิตที่หลงทาง       ของ “อ้อย-ฐิตินาถ”              ดังนั้น เมื่อประจักษ์พยานและหลักฐานปรากฏออกมาในลักษณะนี้ สังคมก็มีสิทธิที่จะย้อนกลับไปตั้งคำถามกับกลุ่มผู้กล่าวหาเช่นกัน เพราะถ้าย้อนกลับไปดูเส้นทางของคนเหล่านี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นกลุ่มที่เคยมีผลประโยชน์จากธรรมะของพระปราโมทย์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ฐิตินาถหรือมูลนิธิบ้านอารีย์              โดยเฉพาะน.ส.ฐิตินาถนั้น การที่เธอออกมาเรียกร้องขอคืนเงินบริจาค 4.3 ล้านบาท ที่ได้ร่วมก่อสร้างสวนสันติธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะที่ดินที่ซื้อมาด้วยเงินบริจาคนั้น พระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล ก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวเองว่าน่าจะเป็นเรื่องของความผิดหวังที่ไม่สามารถเป็น “เข็มทิศชีวิต” ให้กับสวนสันติธรรมและพระปราโมทย์ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา              เพราะถ้า น.ส.ฐิตินาถสามารถดำรงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของพระปราโมทย์เหมือนเช่นที่ผ่านมา ดังที่เคยวางผังปลูก “บ้านอนาลโย” เอาไว้ใกล้ๆ กับกุฎิของพระปราโมทย์แล้ว คงไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ออกมาเป็นแน่แท้              ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสวนสันติธรรมนั้น ก็มีประวัติที่ไม่ธรรมดาเพราะก่อนที่จะตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ ก็มีที่ดินอีกหลายแปลงที่เป็นทางเลือกและไม่ได้ยุ่งยากเหมือนกับที่ดินผืนนี้ เช่น ที่ดินที่จังหวัดนครนายกเป็นต้น              แต่เหตุที่มาลงเอยที่อำเภอศรีราชาก็เพราะมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” เป็นผู้อ้อนวอน ร้องขอ เป็นตัวตั้งตัวตีและเจ้ากี้เจ้าการอย่างผิดปกติ              ว่ากันว่า ข้ออ้างสำคัญที่ทำให้พระปราโมทย์ตัดสินใจซื้อก็เพราะมีข้ออ้างว่า “ได้มีการวางเงินไปแล้ว” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น              ขณะเดียวกัน คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณสวนสันติธรรม ถ้าสังเกตุให้ดีก็จะเห็น “ที่ดินผืนงาม” และ “ขนาดใหญ่” อีกผืนหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสวนสันติธรรมแห่งนี้ และผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” อีกเช่นเคย              ไม่มีใครรู้ว่า ที่ดินผืนนี้บังเอิญหรือเจตนามาอยู่ใกล้กับสวนสันติธรรมของพระปราโมทย์กันแน่ แต่วิญญูชนผู้มีใจเป็นธรรมคงสามารถคาดเดาได้ไม่ยากนักว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น              ที่น่าสนใจคือ ก่อนที่จะซื้อไม่มีปัญหา แต่หลังจากที่ซื้อแล้วกลับเกิดปัญหาขึ้น เมื่อพระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล เนื่องจาก “มีความไว้วางใจมากกว่า” ซึ่งหลายคนคาดเดาว่า นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นและกลายเป็นมูลเหตุของปัญหาที่เกิดกับสวนสันติธรรมในเวลาต่อมาก็เป็นได้              อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้จะยังไม่มีบทสรุป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนหนังสือชื่อดังจะต้องกลับไปทบทวนตัวเองและตกผลึกความคิดของตัวเองอีกครั้งก็คือ เข็มทิศชีวิตที่ตัวเองเขียนขึ้นมาสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นจนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้น ทำไมถึงไม่สามารถเป็นเข็มทิศชีวิตให้เธอดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรได้

**********************************************************

ที่มา....ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์


6.12.10

พ่อ....

 

.... ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยื่นนาน....

30.10.10

การโอนย้ายข้อมูลจาก space มาที่ wordpress


เหอะๆๆๆเจ้า wordpress หลังจากที่รบกะมันมาเพิ่งจะเข้าใจวิธีการโยกย้ายข้อมูลของมัน ก็เลยอยากแบ่งปันเพื่อกับคนที่ยังโอนไม่ได้
โดยเรื่องมันมีอยู่ว่าเจ้า Windows Live Spaces จะทำการย้ายฐานลูกค้าไปยังบริการ Wordpress ซึ่งเป็นเว็บไซต์ในเครือโดยอัตโนมัติ
โดยอ้างถึงประสิทธิที่สุดแสนเลิศศ เกี่ยวกับการใช้งานของWordpress หรือเหตุผลอีกเยอะแยะแต่ที่เข้าใจง่ายคือเค้าไล่ที555+++
 ****โดยขั้นตอนแรก คือเข้าเสปซของตัวเองก่อน ถ้าใครจำ url ของตัวเองได้ ก็พิมพ์ไปเลย  เข้าเสปซได้แล้วก็จะขึ้นหน้าต่างหน้าตาแบบในรูป



พอมันปรากฏหน้าตาประมาณนี้ เราก็ใส่อีเมลล์และพาสไป และมันก็จะขึ้นหน้าตาแบบนี้มาให้เราเลือกกด connect

 

ต่อมานะ ถ้าเราไม่มี wordpress มาก่อน มันก็จะขึ้นหน้าต่างแบบในรูปมาให้เราสร้าง wordpress ของเราก่อน จะตั้งชื่ออะไรก็ตามใจเรา ในที่นี่ หรือจะใช้ชือเก่าแบบเดียวกะ space ก็ดีเวลาเพื่อนๆตามหาจะได้ง่าย โดยเลือกหัวข้อ create new blog เราก็ได้ชื่อ blog ของเรามา ในช่วงทีเรากดเข้ามันจะขึ้นว่า myblog และนามสกุลใหม่ในช่องนี้แหละทีเราสามารถใส่ชื่อลงไป

 
แต่มันมีข้อแม้อยู่อีกว่ามีหลายคนที่บางทีอาจทำการหลงเปิดเข้ามาอยู่ก่อนแล้วในตอนแรกโดยไม่รู้ มันก็จะเท่ากับว่าเราทำการเปิด usr ไปกะมันเรียบร้อย เราต้องทำการเลือกหัวข้อของมันใหมีโดยเลือกชื่อบล๊อกของเรา โดยหน้าต่างมันจะขึ้นชื่อมาให้เราเลือก ก็ดูว่าชื่อหน้าบล๊อกใน wordpress ของเรามันชื่ออะไรเราก็ทำการเลือกมันซะ
****จุดนี้เเหละที่จะทำให้เราย้ายข้อมูลจาก spaceมาได้ โดยไม่ต้องสงสัยกะมันอีกว่าทำไม๊ทำไมมันไม่ตามมา 555+++


 ทีนี้หลังจากเราเลือกตามนี้แล้วมันก็จะมาถึงหัวข้อสุดท้ายของมัน แล้วเราก็ทำการรอมันทำการโอนถ่ายข้อมูล โดยสังเกตุได้จากแถบขาวๆใต้บรรทัดของคำว่า Import Progress:


โดยแรกมันจะยังไม่ขึ้นแถบเราก็ปล่อยมันไปรอจนมันขึ้นแถบสีฟ้าขึ้นมาจนเต็มแถวเมื่อไหร่นั่นก็คือมันเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนจีน555++++

 

****ต้องขอบคุณ K-Hud กะเจ้าหงิญ ที่ทำให้หายงง
ที่มารูปจาก - wordpress






15.10.10

จากปมพระวิหาร ถึงปากคำ“Eเพ็ญ”เปลือยกำพืด “แม้ว”สายพันธุ์อำมหิตจับมือ“ฮุนเซน”เผาไทยแลกประโยชน์

 

จากระเบิดที่ป้ายรถเมล์ที่หน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ มาจนการเกิดเหตุระเบิดกลางดึกที่ซอรางน้ำ ตรงข้ามห้างดิวตี้ฟรี คิงเพาเวอร์ มาจนกระทั่งการพบลูกระเบิดเอ็ม79ในทำเนียบรัฐบาล 3เหตุ อันน่าประหวั่นพรั่นพรึง ไม่รวมกับเหตุลอบวางระเบิดในหลายพื้นที่ และก่อนหน้านี้กรณีระเบิดรถเข็นหน้าพรรคภูมิใจไทย เกิดหลังบ้านเมืองเพิ่งผ่านวิกฤติพฤษภามหาวินาศ ผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองผ่านมาเพียง2เดือนกว่าๆ
ฉาย ภาพเด่นชัดถึงวันนี้ประเทศไทยก็ยังไม่พ้นจากห้วงอันตราย หรือสยามเมืองยิ้มดินแดนที่เคยสงบสุขได้แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นเมืองระเบิดหรือมะแตกแลนด์ไปแล้ว??
ผลกระทบ นอกจากชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนที่ไม่รู้เรื่องด้วยกับเกมแย่งชิงอำนาจ  ต้องมาบาดเจ็บนับสิบ และเสียชีวิตไปอีก1ราย โดย เฉพาะผู้เคราะห์ร้าย คนเก็บของเก่าหาเช้ากินค่ำ ต้องมาประสบเหตุระเบิดในซอยรางน้ำจนบาดเจ็บสาหัส ยื้อชีวิตด้วยการผ่าตัดเปิดกะโหลกและตัดอัณฑะทิ้ง สังเวยเกมป่วนเมือง ถึงตรงนี้ไม่ได้ปรักปรำ แต่ผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บ่งชี้ไปในทิศทางที่ว่า ระเบิดหลายครั้งที่เกิดขึ้นเกี่ยวโยง และเป็นวิธีการในลักษณะเดียวกันกับการลอบวางระเบิดหลายจุดในกทม.ช่วงม็อบ เสื้อแดงเดือนเมษายน-พฤษภาคม
อีกทั้งยังสงสัยได้ว่า "ระเบิด" คือแผนการร้ายลำดับต่อไปของนักโทษชายหนีคดี "ทักษิณ ชินวัตร" หลังปราชัยในเกมมวลชน การใช้ม็อบเสื้อแดงไม่สามารถล้มอำนาจรัฐบาล โค่นทุกองค์กรสถาบันสำคัญๆในประเทศชาติไม่สำเร็จ จึงต้องใช้แผน "วินาศกรรมประเทศไทย"??
โดยไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดการณ์แน่ เพราะนักโทษหนีคดีรายนี้พร่ำพูดเสมอว่าไม่สนใจวิธีการ ขอไปให้ถึงเป้าหมายเพียงพอ ถึงแม้วิธีการนั้นๆจะทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง เกิดความสูญเสียมากมายเพียงใดแม้แต่ชีวิตเลือดเนื้อชาวบ้านก็ตาม
นอกจากนี้สังเกตได้จากการระดมอดีตนายทหาร อดีตตำรวจสารพัดรุ่นเข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทย หลายคนในกลุ่มอดีตท็อปบูตและสีกากีเหล่านี้เป็นที่รับรู้ในปูมประวัติกันดี บางส่วนคืออดีตทหารนักรบ มาเฟียสีกากี เป็นพวกเสพติดความรุนแรง นิยมการใช้กำลังและอาวุธเพื่อก่อการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจ หลายครั้งในอดีต  แต่คนกลุ่มนี้จะเกี่ยวข้องระเบิดหรือไม่ก็ตาม แต่คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในบริษัทการเมืองที่นายจ้างจะเรียกใช้งานใด ก็คาดการณ์กันได้ และเช่นกันว่า "คนแก่ โรคจิต"ที่ผบช.น. เอ่ยถึงผู้บงการเบื้องหลังเหตุวางระเบิด ตัวจักรสำคัญที่แฝงอยู่ในกลุ่มก๊วนนี้
เรื่องนี้ต้องฝาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย หรือพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ในฐานะที่เป็นสองพี่ใหญ่ ช่วยหาตัวมาพิสูจน์ และเป็นไปได้ช่วยห้ามปรามไม่ให้"เฒ่าโรคจิต"มาก่อกรรมทำเข็ญต่อบ้านเมืองอีก ที่ไม่ใช่คนแก่ ยังหนุ่มแน่น ปากแดงแจ๋ ส่วนจะป่วยทางจิตหรือไม่ ยังไม่ชี้ชัดได้ "จักรภพ เพ็ญแข"ผู้ต้องหาหนีคดี ที่ล่าสุดออกมาให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ด้วยนัยยะน่าสนใจ เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบในไทย และนายใหญ่ของเขา ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเกี่ยวข้องการให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศสถานี โทรทัศน์เอบีซี ประเทศออสเตรเลีย เข้าสัมภาษณ์ในสถานที่ที่ไม่เปิดเผย จักรภพ อดีตแกนนำคนเสื้อแดงในเหตุการณ์จลาจลเมื่อเดือนเม.ย.2552 ยืนยันว่าเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรง
แต่ ยอมรับว่ามีบทบาทในการให้คำปรึกษาแนะนำกับแกนนำบนเวทีเสื้อแดงระหว่างการ ชุมนุมเคลื่อนไหว เช่นเดียวกันกับการยอมรับกลายๆว่า "ทักษิณ"ก็มีส่วนรู้เห็นในม็อบเสื้อแดง แต่ทักษิณกำลังประเมินใหม่ว่า จะคุ้มค่าหรือไม่ที่จะสนับสนุนการเคลื่อนไหวในประเทศไทย
"การ เคลื่อนไหวจะได้รับการสนับสนุนมาจากไหน แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการสนับสนุนมาได้จากทุกที มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากคุณทักษิณและครอบครัวของเขา หรือคนที่เขาสั่งมา"
"ผม พูดถึงเงิน พูดถึงสถานที่ปลอดภัยที่จะอยู่ พูดถึงความร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศที่พวกเราไปเยือน ไปอยู่ ... ผมพูดถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเราได้รับ (การสนับสนุน) โดยธรรมชาติมากกว่าแต่ก่อน  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ก่อนหน้านี้เรามีระบบที่ค่อนข้างปิด และ ผมรู้สึกผ่อนคลายที่ในช่วงปีที่ผ่านมามีการสนับสนุนอย่างกว้างขวางเช่นกัน แต่เราก็มีภารกิจที่จะชี้ให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกเห็น โดยเฉพาะชาวต่างชาติ"
โดยเฉพาะในระดับ "นานาชาติ" "ทุนต่างชาติ"เข้ามาสนับสนุนม็อบเสื้อแดงก่อเหตุในประเทศไทย!
และ จากบทสัมภาษณ์ของจักรภพ พอจะประเมินได้ว่า เวลานี้ด้วยข้อจำกัดภายหลังความพ่ายแพ้ในการชุมนุมช่วงมี.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมา "ทักษิณ"กำลังคิดจะปรับเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้จากแนวรบด้านมวลชนไปในรูปแบบอื่น นอกเหนือจากใช้ล็อบบี้ยิสต์เดินเกมต่างประเทศกดดันไทย ยังคิดที่จะใช้แผนต่อสู้อื่น ที่ไม่พ้น "เกมใต้ดิน"  เกมที่แกนนำเสื้อแดง และกลุ่มคนในม็อบประกาศหลายครั้งว่า หากพ่ายแพ้ในการต่อสู้โดยอาศัยมวลชนกดดัน พวกเขาจะมุดลงใต้ดิน จัดตั้งกองกำลังหน่วยจรยุทธ์ เพื่อต่อสู้ และก็ปรากฏความเคลื่อนไหว แกนนำเสื้อแดงหลายรายหลบหนีไปอยู่ในกัมพูชา
ประเทศ เพื่อนบ้านที่ก่อนหน้านี้ผู้นำอย่าง"ฮุนเซ็น" เคยประกาศแบบไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า พร้อมต้อนรับและจัดสร้างบ้านไว้รับรองเป็นที่พักพิงคนเสื้อแดงจากประเทศไทย   ในเวลาเดียวกันกับที่ จักรภพ เปิดประเด็นทักษิณจะเปลี่ยนวิธีการสู้ และพูดถึงเงินทุนต่างชาติที่พร้อมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง ก็กำลังมีข้อพิพาทกรณีกัมพูชาเดินเกมผลักดันแผนพัฒนาปราสาทพระวิหารเป็นมรดก โลก ในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก  ข้อพิพาทระหว่างประเทศ ที่กำลังลุกลามบานปลายกระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดน และสุ่มเสี่ยงจะเกิดสงครามใหญ่ ย่อมเป็นที่สงสัยว่า "ทักษิณ"จะหันมาเปิดศึกด้านนี้ร่วมกับเขมร ขณะเดียวกันก็น่าสงสัยว่า "ทุนต่างชาติ"หนุน "ม็อบเสื้อแดง"มาจากกัมพูชา
แน่นอนข้อมูลดังกล่าวเป็นไปในทางเดียวกับข่าวที่มีต่อเนื่อง ประเทศเพื่อนบ้านของเรารู้เห็นเป็นใจกับแผนร้ายของนักโทษหนีคดี ทั้งเปิดประเทศต้อนรับ ตั้งเป็นที่ปรึกษา ประกาศช่วยลูกน้องทักษิณ รวมทั้งแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ และประกาศตัวเป็นศัตรูกับประเทศไทย
ไม่เท่านั้นการข่าวจากฝ่ายความมั่นคงเรื่องอาวุธสงครามที่ใช้ในการก่อเหตุช่วงการชุมนุม ม็อบเสื้อแดง เล็ดรอดมาจากชายแดนเพื่อนบ้าน ที่หนึ่งในนั้นคืออาวุธที่มาจากฝั่งกัมพูชา ทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่ประเมินกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ทักษิณ ใช้ทุกรูปแบบวิธีการเพื่อโค่นล้มทุกอำนาจ ทุกองค์กร ทุกสถาบันที่ขัดขวางการกลับสู่ประเทศ ลบล้างคดีความและคืนสู่อำนาจ
โดยที่ควบคู่กับแนวรบด้านมวลชน คือยุทธศาสตร์ "คีมยักษ"ใช้โลกล้อมประเทศ และแผนดึงเพื่อนบ้านมาร่วมถล่มประเทศไทย
ถามว่าถ้าข้อสงสัยเรื่องฮุนเซ็นสมคบคิดทักษิณ ป่วนประเทศ ล้มรัฐบาลไทย เป็นจริง ทางกัมพูชาจะได้อะไร ก็ต้องบอกว่า จากกรณีตัวอย่าง ปมความขัดแย้งในการเดินเกมผลักดันปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก สะท้อนผลประโยชน์แลกเปลี่ยนทักษิณ-ฮุนเซ็นเด่นชัด เพราะมีการพูดถึงข้อตกลงลับ ในการยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนระหว่างอดีตผู้นำขี้โกงจากไทย และผู้นำเผด็จการเขมร เกี่ยวกับการยกดินแดนแลกเปลี่ยน นอกจากฝั่งแผ่นดินที่ไทยสุ่มเสี่ยงต้องสูญเสียในกรณีปัญหาเส้นเขตแดนหากขึ้น ทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  ยังมีกรณีดินแดนทางทะเลอ่าวไทย พื้นที่ระหว่างชายฝั่งของสองประเทศที่ว่ากันว่ามีขุมทรัพย์พลังงาน ทั้งก๊าซ น้ำมัน ปริมาณมหาศาล อยู่ใต้ผืนน้ำแห่งนี้ ขุมทรัพย์ที่อาจเป็นเงื่อนไขงามๆในการขอรับการสนับสนุนจากกัมพูชาในการ เคลื่อนไหวปั่นป่วนในไทย
โดยหากทักษิณได้กลับมาครอบครองอำนาจอีกครั้ง ขุมทรัพย์นี้ย่อมเฉลี่ยแบ่งปันไปตามความพอใจของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะความพอใจของ"ฮุนเซ็น"ในสัดส่วนที่มากพอ ที่จะตัดสินใจเลือกแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับ"บุคคล"มากกว่า"ประเทศ" และ แน่นอนกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย และ เขมรจากประเด็นการเสนอแผนพัฒนาปราสาทพระวิหาร ต่อคณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก ที่ประเทศบราซิล ซึ่งจบลงโดยยังไร้ข้อยุติด้วยการเลื่อนการตัดสินไปในการประชุมปีหน้า อนุมานว่า"ทักษิณ"มีส่วนในเรื่องนี้ด้วยแน่ เนื่องจากถ้อยแถลงในเว็บไซต์ส่วนตัวของ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของทักษิณ ที่โจมตีรัฐบาลไทยว่าเป็น "อันธพาล" ไม่เคารพกติกาสากลและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาทางการเมืองด้วยการสร้างเรื่องโกหกให้เกิด สงครามเทียมกับกัมพูชา  ทนายฝรั่งลูกจ้างของทักษิณกำลังเดินเกมช่วยประเทศเขมรร่วมถล่มไทยอย่างเปิดเผย ควบคู่ไปอีกแนวทางการต่อสู้ของทักษิณที่จะเปลี่ยนไปใช้รูปแบบ"รบใต้ดิน" ที่ประเมินได้ว่าจะมีต่างชาติให้การสนับสนุน โดยต่างชาติที่ต้องสงสัยหนีไม่พ้นกัมพูชา
วันนี้จึงค่อนข้างชัดแล้วว่า "ทักษิณ" ได้จับมือ "ฮุนเซ็น"เตรียมประกาศสงครามกับประเทศไทย เปิดสมรภูมิแนวรบสงครามทุกรูปแบบ บนเงื่อนไข"ผลประโยชน์ต่างตอบแทน"
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา---k-นกหวีด....ผู้จัดการออนไลน์


13.8.10

แม่



เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้ 
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง 
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา 
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น 
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน 
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน 
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า 'ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป...'' 
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว 
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก 
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม 
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง 
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู) 
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ 
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า "แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก" 
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ 
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง 
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว 
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน 
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า 
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น 
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า 'แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย' 
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุ ณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า 'หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่' 
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ 
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า 'มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร' 
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า 'แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย' 
เมื่อคุณอายุ 25 ปี (สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'อายคนอื่นเขาน่า แม่' 
(สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่' เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า 'สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่’ 
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า 'ตอนนี้ไม่ว่างเลย' 
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า 'มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ' 
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ 
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่'แม่' 
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ'แม่ 'ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ 
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม 
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น 
อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก'แม่'ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็'รัก'ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ'รูป'ของแม่เท่านั้น 

8.8.10

Kelly Newton-Wordsworth ฝรั่งผู้หลงรัก “ในหลวง”

ต่างชาติอีกคนที่น่ารัก....   

 เหตุใดฝรั่งออสเตรเลียคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เพียงปีกว่าๆ จึงหลงรัก “พ่อหลวง” ของปวงชนชาวไทยได้? ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป วันนี้เรามาทำความรู้จักกับตัวตนของ Kelly Newton-Wordsworth ฝรั่งผู้หลงรัก “ในหลวง” กัน



“ฉันมาจากออสเตรเลีย ฉันมาพำนักอยู่ที่ประเทศไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2550 นับถึงปัจจุบันก็ประมาณ 15 เดือนแล้ว แต่ฉันเดินทางร้องเพลงมาแล้วทั่วโลก ไม่ว่าจะคอนเสิร์ตไลฟ์เอิร์ธ ที่ลอสแองเจลิส รวมไปถึงคอนเสิร์ตเพื่อสันติภาพ และคอนเสิร์ตเพื่อสิ่งแวดล้อม” เคลลีกล่าวแนะนำตัวเองกับเรา พร้อมกับกล่าวถึงประวัติส่วนตัวด้วยว่า“โดยส่วนตัว ฉันมีสามีและลูกๆ 3 คน เราอยู่กันในไร่ (ฟาร์ม) ในแถบตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ฉันและสามี ยึดถือการทำการเกษตรเชิงชีวภาพในไร่ ซึ่งเราทำกันมายี่สิบปีแล้ว ในไร่ของเราปลูกต้นโอลีฟ เราทำน้ำมันมะกอก เราปลูกถั่วพิสทาชิโอ ปลูกส้ม ทำแยมผิวส้ม เราปลูกผักและผลไม้หลากหลายชนิด เลี้ยงแกะ เลี้ยงวัว เลี้ยงม้า ปลูกข้าวโอ๊ต ฯลฯ”

*****เศรษฐกิจพอเพียง’ แนวทางที่ก้าวหน้า

เมื่อถามเคลลีว่า เธอรู้จักทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือไม่ เธอตอบอย่างทันทีทันควันว่า “รู้จัก” พร้อมเล่าต่อด้วยว่า “ฉันกับสามีทำการเกษตรชีวพลวัต (Biodynamic Agriculture) ที่ฉันเชื่อว่าเป็นการเกษตรที่ก้าวหน้าและยั่งยืนที่สุดในปัจจุบัน เราทำอย่างนี้มา 20 ปีแล้ว แต่ฉันทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำสิ่งเดียวกับที่เราทำมา 60 ปีแล้ว ฉันกับสามีทำการเกษตรแบบยั่งยืนอย่างโดดเดี่ยว ในตอนแรกไม่มีใครสนใจทำตามวิถีทางนี้เลย กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ถึงมีคนทำตามวิถีทางของเรา อย่างเช่น แยมผิวส้ม (Orange marmalade) จากไร่ของเราได้ไปวางขายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในลอนดอนอย่างห้างฮาร์วีย์ นิโคลส์ (Harvey Nichols) รวมไปถึงน้ำมันโอลีฟของเราด้วย”
ขณะเดียวกันเธอยังเล่าต่อถึงประวัติการเล่นดนตรีด้วยว่า “ฉันเล่นกีตาร์มาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ มันอยู่ในสายเลือด ... แต่เพลงที่ฉันแต่งและร้องส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับโลกใบนี้ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ฉันเริ่มแต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมานานมากแล้ว กว่า 20 ปีแล้ว ก่อนอัลกอร์ (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) นานมาก (หัวเราะ) ถ้าคุณเข้าไปในยูทิวบ์แล้วใส่ชื่อของฉันเข้าไปก็จะพบเพลงหลายๆ เพลงของฉันที่แต่งให้เกี่ยวกับอนาคตของโลกใบนี้
“ฉันเชื่อว่าเสียงเพลงสามารถปลุกผู้คนได้ และเข้าถึงจิตใจของผู้คนได้ ... ครั้งหนึ่งฉันเคยไปร้องเพลงในคอนเสิร์ตเพื่อสันติภาพโลก (World Peace Concert) ในประเทศอินเดีย ซึ่งถือเป็นคอนเสิร์ตเพื่อสันติภาพที่เคยจัดขึ้นในประเทศอินเดีย ทั้งคอนเสิร์ตเต็มไปด้วยทหารถือปืนกล แต่หลังจากที่ฉันร้องเพลง One world, One planet จบ เหล่าทหารก็เข้ามาหาฉันแล้วแตะที่หน้าอกตรงหัวใจของพวกเขา
“ประเด็นที่ฉันอยากจะบอกก็คือ การพูดแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไร แต่ฉันใช้ชีวิตและลงมือทำในสิ่งที่ฉันเชื่อไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตรแบบชีวภาพ รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ณ ตอนนี้หลังจากที่ฉันทำหน้าที่แม่และแม่บ้านมา 19 ปีเต็มๆ ฉันก็อยากทำสิ่งที่ฉันรักคือ การแต่งเพลงและร้องเพลง ฉันเพิ่งมีเวลาที่จะทำสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอดที่เมืองไทย”

*****ความประทับใจ และ แรงบันดาลใจจาก ‘ในหลวง’
สำหรับความประทับใจแรกที่มีต่อในหลวง เคลลีเล่าว่า “ครั้งแรกที่ฉันเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยนั้นคือบนเครื่องบินของการบินไทย ตอนนั้นฉันร้องไห้ออกมา ที่ร้องไห้ออกมาก็เพราะรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะท่านคือกษัตริย์ที่หาได้ยากยิ่งในโลกนี้ ฉันหมายความว่าสามีและฉันเป็นนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน และเราก็พบว่าภารกิจเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นภารกิจที่ยากลำบากมากเพราะผู้คนไม่ค่อยสนใจกัน เราทำไร่เชิงชีวภาพที่ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช่ปุ๋ย ทำตามธรรมชาติมายี่สิบปีแล้ว จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองที่คนหันมาสนใจจากกระแสโลกร้อน (Global Warming) จากกระแสที่มากับอัล กอร์ดังนั้นครั้งแรกที่ฉันเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
“ก่อนหน้าที่จะเห็นท่านในวิดีทัศน์บนเครื่องบินฉันเพียงรู้ว่าประเทศไทยมีกษัตริย์ แต่สำหรับฉันแล้วชาวตะวันตกโตมากับการสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่า เมื่อฉันเห็นท่านก็รู้สึกว่าท่านเป็นความน่าประหลาดใจที่งดงามยิ่ง เมื่อได้ทราบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งบนโลกนี้ที่ใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม การเกษตร และประชาชน มานาน 60 ปีแล้ว สำหรับฉันแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกอุ่นใจ”
ด้วยแรงบันดาลใจดังกล่าว เพลง Long Live the King of Thailand จึงถูกเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550
“แรงบันดาลใจหนึ่งในการเขียนเพลงนี้ก็เพราะเมื่อฉันมาถึงประเทศไทย ฉันเที่ยวถามผู้คนมากมายว่า พวกเขารู้สึกอย่างไรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งบางครั้งผู้คนก็ร้องไห้ออกมา เหมือนกับเมื่อครั้งที่ฉันเห็นท่านเป็นครั้งแรก สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันประทับใจมาก แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันต้องร้องไห้ออกมาและทำไมฉันถึงอ่อนไหวเหลือเกิน เมื่อมาพิจารณาดูฉันก็พบว่า คำตอบอยู่ในพระเนตร (ดวงตา) พระหทัย (หัวใจ) และ พระหัตถ์ (มือ) ของพระองค์ ซึ่งกลายมาเป็นท่อนหนึ่งของเพลง Long Live the King of Thailand”

*****กษัตริย์ผู้ชนะใจปวงชนด้วย “ความรัก”

“ฉันรู้สึกได้อย่างนั้นจริงๆ ในประเทศอื่นๆ ผู้คนมักจะมีการแสดงออกที่ไม่ดีนักต่อผู้นำของตน ซึ่งฉันคิดว่าสาเหตุก็เพราะประชาชนนั้นจะรักและเคารพต่อผู้ที่จริงใจเท่านั้น ฉันรู้ว่าความเสียสละขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชนะใจปวงชนชาวไทย และฉันพบเห็นเรื่องราวเหล่านี้ทุกวัน พบเห็นผู้คนพูดถึงความรักอันสุดซึ้งต่อพระองค์ ทั้งๆ ที่ฉันเป็นชาวต่างชาติและไม่รู้จักพวกเขามาก่อน การที่ผู้คนเอ่ยถึงพระองค์อย่างจริงใจด้วย ‘ความรัก’ ...’ความรัก’ นะมิใช่ ‘ความกลัว’ (เสียงเน้น) ทำให้ฉันประทับใจมาก เพราะโดยส่วนตัวฉันเองก็เชื่อใน ความรัก และ พลังของความรัก สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันเขียนเพลงนี้ออกมา” ศิลปินเพื่อชีวิตชาวออสเตรเลียกล่าว
พร้อมเสริมว่า “ฉันเขียนเพลงสำหรับพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยไม่มีเหตุผลทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง ฉันเขียนเพลงนี้ขึ้นก็เพราะว่าความรักล้วนๆ ฉันรู้ว่าฉันรักท่าน แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวเลยก็ตาม แต่ฉันได้ยินได้ฟัง พระราชกรณียกิจอันยอดเยี่ยมของท่านมากมาย สิ่งที่ท่านทำไม่เพียงมีคุณค่าสำหรับคนไทย แต่ควรถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ...ตอนที่ฉันนั่งลงเขียนเพลงนี้พร้อมกับกีตาร์ ฉันรู้สึกถึงอารมณ์ ความรู้สึกดังกล่าว แล้วฉันก็เริ่มเขียนเพลง”
เคลลีกล่าวด้วยว่า “ในประเทศของฉัน และจากประสบการณ์ของตัวเอง ฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อนว่าประชาชนจะรักผู้นำของตัวเอง นักการเมืองทุกหนทุกแห่งมักจะทำเพื่อตัวเอง อยู่ในอำนาจให้ได้ถึงการเลือกตั้งในสมัยหน้า นักการเมืองมักจะให้คำมั่นสัญญา แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจได้ก็ไม่เคยปฏิบัติตาม ผู้คนทั่วโลกรู้เรื่องนี้และเข้าใจข้อเท็จจริงเรื่องนี้ดี”
...เมื่อเราถามว่าแม้แต่ในโลกตะวันตกที่มีพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน นักการเมืองก็เป็นเช่นนี้ด้วยหรือ? เคลลีหัวเราะเสียงดังก่อนตอบว่า “(นักการเมืองในโลกตะวันตก) ถือเป็นฝันร้ายเลยล่ะ!”
“ฉันเคยสู้เพื่อปกป้องป่าไม้ในออสเตรเลีย (ถอนหายใจ) แต่มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสมาก ... ฉันเคยเขียนเพลงชื่อว่า What’s happening to our forest? เพื่อต่อต้านการขายไม้ซุงของรัฐบาลออสเตรเลียให้แก่ต่างชาติ โดยในขณะนั้นรัฐบาลออสเตรเลียตะวันตกขายไม้ซุงชั้นดีให้แก่ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ เพื่อไปทำกระดาษชำระ ตอนแรกเราเริ่มต้นกันด้วยกลุ่มคนเพียงเล็กๆ ซึ่งมีพลังไม่มากนัก บางครั้งฉันกลับมาที่ไร่และนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันเลยเขียนเพลง What is happening to our forest? ขึ้นมา และทำวิดีโอคลิปของเพลงนี้ไปใส่ไว้ใน Youtube หลังจากวิดีโอเพลงดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป พรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลก็นำวิดีโอคลิปดังกล่าวไปเผยแพร่ในวงกว้าง และก็ได้ผล รัฐบาลออสเตรเลียตะวันตกเชิญฉันไปพูดคุยด้วย ซึ่งฉันบอกกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกคุณไม่หยุดการตัดไม้ คุณจะแพ้การเลือกตั้งครั้งหน้า" ...พวกเขาหัวเราะใส่หน้าฉัน และท้ายที่สุดพวกเขาก็แพ้จริงๆ (หัวเราะ) และด้วยสิ่งที่เราทำ สามารถรักษาพื้นที่ป่าในออสเตรเลียไว้ได้มากถึง 1.5 ล้านเฮกเตอร์”

*****หลงเสน่ห์ประเทศไทย

สำหรับเพลง Rain man ซึ่งเป็นหนึ่งในสองเพลงที่ถูกบรรเลงบนเวที โดยเนื้อหากล่าวถึงพระอัจฉริยภาพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เคลลีเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปว่า เธอเพิ่งแต่งเพลงนี้ขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2550 นี้เอง โดยเพลง Long Live the King of Thailand และ Rainman นั้นเป็นเพียงสองเพลงในบทเพลงประมาณ 10 ชิ้น ที่เธอเขียนขึ้นเกี่ยวกับประเทศไทย และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเพลงอื่นๆ ก็อย่างเช่น There must be peace in Thailand, Sukhumvit Road เป็นต้น

“ฉันเขียนเพลงเหล่านี้ขึ้นเพราะว่าฉันรักเมืองไทย ฉันรักคนไทย ฉันรักกรุงเทพฯ สำหรับฉันแล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากความรู้สึกและหัวใจของฉัน ฉันพบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าตื่นเต้นและมีเสน่ห์ที่สุดในโลกเหนือกว่าเมืองใดๆ ที่ฉันเคยรู้จัก สำหรับเสน่ห์นั้นฉันคิดว่าเกิดจากความหลากหลาย และอิสรเสรีของผู้คนในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเมืองเพิร์ทที่ฉันอยู่

“ฉันคิดว่าเมืองไทยมีเรื่องราวที่จะเขียนเพลงได้เยอะ โดยส่วนตัวแล้วฉันถือว่าประเทศไทยเป็นบ้านทางวัฒนธรรมของฉัน เป็นบ้านที่อยู่ในหัวใจของฉัน เมื่อมาถึงที่นี่ฉันรู้สึกว่าข้างในลึกๆ ฉันเป็นคนไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ฉันเดินทางไปหลายๆ ที่ในประเทศไทยไม่ว่าเป็น จังหวัดภูเก็ต เกาะสมุย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้ฉันก็เพิ่งไปบางคล้า (อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา) มา ฉันชอบชีวิตและทิวทัศน์ในชนบท”

*****บทเพลงและความฝันถึงโลกแห่งความเท่าเทียม

เมื่อเราถามเธอว่า รู้ได้อย่างไรว่ามีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ณ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนิน เธอตอบว่า “ฉันทำงานกับโปรดิวเซอร์ชาวไทยที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เขาชื่อเชิดชัย เขารู้ว่าฉันรักในหลวงมากแค่ไหน และฉันก็เขียนเพลงเกี่ยวกับประเทศไทยหลายเพลง เขาบอกกับฉันว่ามีเหล่าประชาชนที่จงรักภักดีในหลวงอย่างมากมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เขาเลยถามว่าฉันอยากจะมาร่วมงานนี้ไหม ถ่ายทอดเพลงที่ฉันแต่งให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ฟัง

“ฉันไม่รู้เรื่องราวทางการเมืองอะไรมากนัก ฉันรู้ชื่อสมัคร (สุนทรเวช) และ ทักษิณ (ชินวัตร) แต่ฉันไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพิมพ์มากนัก และ ฉันไม่ดูโทรทัศน์ ฉันต้องใช้สมาธิกับการแต่งเพลง และทำงานของฉันพอสมควร แม้แต่การเมืองในออสเตรเลียฉันก็ไม่ได้ติดตามมากนัก

“ตัวฉันเองเป็นศิลปินที่ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองนัก แต่ฉันใส่ใจในอิสรภาพของผู้คน ฉันคิดว่าทรัพยากรในโลกนี้ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน เพราะ บางคนขูดรีดทรัพยากรใส่ตัวมากเกินไป และเรื่องราวความไม่เท่าเทียมกันนี้เกิดขึ้นทั่วโลก"

“บางทีฉันอาจจะเป็นคนช่างฝันเกินไป เมื่อวานตอนเช้าฉันยังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เลยว่า เราจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมีกลุ่มคนจำนวนน้อยนิดที่ควบคุมทุกอย่าง บัญชาการชีวิตของคนส่วนใหญ่ ...ฉันรู้ว่ามันมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และฉันก็รังเกียจเผด็จการ แต่ฉันก็คิดว่าเรายังหาวิธีการอยู่ร่วมกันที่เหมาะสมที่สุดไม่เจอ แต่ฉันเชื่อว่ามีหนทางที่เราจะอยู่ร่วมกันได้ดีกว่านี้”
คนไทยควรเคารพและหวงแหนวัฒนธรรมไทย

เมื่อถามว่านอกจากเสียงเพลงอันล้ำค่าแล้ว เธออยากจะบอกอะไรกับคนไทยอีก เคลลีตอบว่า สิ่งแรกที่เธออยากบอกกับคนไทยก็คือ กรุณารักษาวัฒนธรรมไทยเอาไว้ “ฉันเคยเขียนเพลงๆ หนึ่งชื่อว่า Peace in Thailand เนื้อหาของเพลงนี้อธิบายถึงความล้ำค่าของวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมของพวกคุณ ทุกที่ในโลกที่ฉันเคยไป ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย แต่อนาคตของผู้คนและประเทศแห่งนี้ก็น่าเป็นห่วง เพราะ ในระยะเวลาเพียงแค่ 15 เดือนที่ฉันได้สัมผัสกับประเทศไทย ฉันก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายแล้ว

“ฉันคิดว่าเป็นเรื่องดีที่คนไทยจะเรียนภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลของโลก แต่การส่งเด็กๆ ไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างเช่นไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา เมื่อพวกเขากลับมาเขากลับกลายเป็นคนอเมริกันมากกว่าคนอเมริกันที่เรียนภาษาไทยเสียอีก ซึ่งวิธีคิดแบบอเมริกันได้แผ่กระจายอิทธิพลไปทั่วโลกแล้วผ่านสื่อต่างๆ แม้แต่ในออสเตรเลียเอง

“ฉันคิดว่าแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการ สนับสนุนเศรษฐกิจของท้องถิ่นมากกว่าที่จะสนับสนุนชาวต่างชาตินั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก โอ้! ฉันเกือบลืมไปว่ารวมถึงโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย ฉันมีกระเป๋าที่ฉันรักมากใบหนึ่งที่ซื้อมาจากโครงการของท่าน ทั้งหลายแหล่ที่สนับสนุนวัฒนธรรมไทย การเกษตรของไทย ศิลปินของไทย และสนับสนุนเอกลักษณ์ของพวกคุณ สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าคุณควรจะคัดสรรสิ่งที่ดีจากตะวันตก รักษาเอกลักษณ์ของพวกคุณเอาไว้ และเคารพวัฒนธรรมของตัวเอง"

“วัฒนธรรมที่คุณมีเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และแข็งแกร่งมาก ส่วนคำแนะนำจากคนต่างชาติอย่างฉันถึงคนไทยก็คือ ให้ฟังในหลวงให้มากเข้าไว้ เพราะ ท่านตรัสในสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ท่านไม่เป็นเพียงแสงสว่างของคนไทยแต่ถือว่าเป็นแสงสว่างของโลก”

ที่มา--- ViTz`[เจ้าชายท้องฟ้า]

 

เนื้อเพลงและทำนอง 
http://www.gugalyrics.com/KELLY-NEWTON-LONG-LIVE-THE-KING-OF-THAILAND-LYRICS/96690/


อิ่มอุ่น




อุ่นใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตระกอง รักเจ้าจึงปลูก รักลูกแม่ย่อมห่วงใย ไม่อยากจากไปไกล แม้เพียงครึ่งวัน ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพัน อิ่มใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มรักลูกหลับนอน น้ำนมจากอก อาหารของความอาทร แม่พร่ำเตือนพร่ำสอน สอนสั่ง ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป ใช่เพียงอิ่มท้อง ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น อุ่นไอรัก อุ่นละมุน ขอน้ำนมอุ่นจากอกให้ลูกดื่มกิน 


http://www.youtube.com/watch?v=D-zZrklJtzY&feature=related

7.8.10

น่าเสียดาย



ข้อคิดดีดีจากท่าน ว.วชิรเมธี 

น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน....

************************************************************

5.8.10

อลัน เบท ปั่นจักรยานรอบโลก ถวายในหลวง

.....อดีตนักปั่นจักรยานทีมชาติอังกฤษ มร.อลัน เบท ฝรั่งหัวใจไทย วัย 45 ปี ท่านนี้ปั่นจักรยานรอบโลกเส้นทาง 29,500กม.รอบโลก ผ่าน 110 เมืองสำคัญ ใน 19 ประเทศเป็นตัวแทนประกาศความรักอันยิ่งใหญ่ของคนไทยที่มีต่อในหลวง ให้ชาวโลกรับรู้...

 
......อดีตนักปั่นจักรยานทีมชาติอังกฤษ มร.อลัน เบท ฝรั่งหัวใจไทยวัย 45 ปี ชายชาวลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ อาจเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เพราะเขาเป็นนักปั่นจักรยานฝีมือดี ติดอันดับท็อปเทนของโลก แต่สำหรับคนไทยแล้ว "อลัน เบท" อาจจะกลายเป็นแค่เพียงชาวต่างชาติที่มาปั่นจักรยานเที่ยวเมืองไทย แล้วก็กลับไปเหมือนคนอื่น ๆ หากไม่ใช่เช่นนั้น เพราะเมื่อ "อลัน เบท" มาเที่ยวเมืองไทย ได้สัมผัสวิถีชีวิตเมืองไทยแล้ว มันทำให้เขาซับความเป็นไทย และมีดวงใจจงรักภักดีต่อพ่อหลวง เหมือนคนไทยทั่ว ๆ ไปในแผ่นดินสยามเมืองยิ้ม และทำให้นาย "อลัน เบท" อยากมีสัญชาติไทย อยากเป็นคนไทย และอยากใช้ชื่อไทยว่า "นายอิสระ" 

 
.... "อลัน เบท" เริ่มปั่นจักรยานมาตั้งแต่อายุ13 ปี โดยเลิกเล่นรักบี้ที่เขารักมาคลุกคลีอยู่กับรถสองล้อ ทำให้ครอบครัวของ "อลัน เบท" ไม่พอใจเป็นอย่างมากจนไม่ยอมพูดคุยกับเขาเกือบปี แต่แล้วเมื่อ "อลัน เบท" เข้าแข่งขันขี่จักรยานและได้รับรางวัลมามากมาย พ่อของเขาจึงยอมยกโทษให้ และตั้งแต่นั้นมา "อลัน เบท" ก็ขี่จักรยานหาเลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด โดยอลัน เบท พูดเสมอว่าที่เขาชอบขี่จักรยานก็เพราะยามที่ได้นั่งอยู่บนอาน เขาได้สัมผัสถึงชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติอีกทั้งการขี่จักรยานจะเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีเพราะตลอดเส้นทางที่ขี่จะนำเพื่อนใหม่ ๆ มาให้ชีวิต

 
.....ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2548 "อลัน เบท" ได้ฝึกซ้อมจักรยานเตรียมเข้าแข่งขันไปยังประเทศลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทย แต่แล้วกลับเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานตกเหวทำให้ "อลัน เบท" ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เชียงของและน้ำใจของคนเชียงของนี่เอง ที่เป็นเหมือนมนต์สะกดให้ "อลัน เบท" ตัดสินใจแต่งงานกับภรรยาคนไทย และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ กับลูกชายตัวเล็ก ๆหนึ่งคนที่สามารถใช้ได้ 2 สัญชาติ แต่ "อลัน เบท" กลับเลือกให้ลูกชายใช้เพียงสัญชาติไทยเพียงอย่างเดียว
.....ตลอดเวลาที่ "อลัน เบท" ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเขาต้องการเผยแพร่ความรู้เรื่องจักรยานให้เยาวชนได้รับรู้ จึงได้เช่าบ้านเล็ก ๆ ไว้หลังหนึ่งเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์จักรยาน โดยรวบรวมจักรยานโบราณไว้มากมายในชื่อว่า "เดอะ ฮับ" จากนั้น "อลัน เบธ" มีโอกาสได้เรียนรู้พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากคำบอกเล่าของภรรยา และยังได้เข้าเยี่ยมชมโครงการในพระราชดำริต่าง ๆของพระองค์ จึงรู้สึกปลาบปลื้มในน้ำพระทัยเป็นอย่างมาก และยังมองว่า สิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี ซึ่งครอบครัวของ "อลัน เบท" ก็คือส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวง นั่นจึงทำให้ "อลัน เบท" คิดโครงการปั่นจักรยานเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้น
...และอลัน ต้องการทำลายสถิติโลกเดิมเพื่อให้สถิติใหม่นี้ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตราบนานเท่านานว่าเป็นการปั่นจักรยานรอบโลกในระยะทางที่ไกลที่สุดด้วย ระยะเวลาที่สั้นที่สุด ที่ทำด้วยความรักและเทิดทูนของคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีต่อ “พ่อ” ของแผ่นดินไทย

 
... การเดินทางครั้งแรกของ "อลัน เบท" เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2549 โดยเขาปั่นจักรยานจากเชียงใหม่-กรุงเทพฯ รวมระยะทาง 760 กิโลเมตร ใช้เวลา 26.04 ชั่วโมง ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2550 เขาปั่นจากภูเก็ต-กรุงเทพฯ ด้วยระยะทาง 860 กิโลเมตร ใช้เวลา 29.15 ชั่วโมง และครั้งที่ 3 อลัน เบท เดินทางจาก อ.เชียงของ เข้าตัวเมืองเชียงรายด้วยระยะทาง 105 กิโลเมตร ใช้เวลา 2.42 ชั่วโมง ซึ่งการปั่นจักรยานทั้ง 3 ครั้งของ อลัน เบท สามารถทำลายสถิติโลกได้ทั้งหมด และทุกครั้ง "อลัน เบท" ยังเริ่มเดินทางในวันที่ 5 ธันวาคมด้วย

 

...และครั้งล่าสุด "อลัน เบท" ได้ลงมือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ปั่นจักรยานถวายในหลวง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2553 โดยก่อนเดินทางรอบโลก "อลัน เบท" ได้ไปร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นเขาได้เดินทางไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า สถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ โดยแผนการของ อลัน เบท คือการเริ่มปั่นจักรยานลงใต้ไปสู่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ นั่งเครื่องบินข้ามไปยังออสเตรเลีย ปั่นต่อไปที่นิวซีแลนด์ ซานฟราสซิสโก นิวยอร์ก แคนาดา อาร์เจนตินา อุรุกวัย บราซิล โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส ลอนดอน ย้อนกลับไปฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อข้ามฝั่งไปยังเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เยอรมนี ตุรกี อินเดีย พม่า และมุ่งสู่เชียงของ ก่อนจะมาสิ้นสุดระยะทางที่กรุงเเทพฯ อันเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะปั่นจักรยานผ่าน 20 ประเทศ ด้วยระยะทางกว่า 29,500 กิโลเมตร ที่ไม่นับรวมการเดินทางโดยรถยนต์ และเครื่องบิน ภายในเวลา 165 วัน และอีกหนึ่งความหวังของ "อลัน เบท" ที่มีต่อการปั่นจักรยานครั้งนี้คือ การทุบสถิติของ "จูเลี่ยน ซาเยอร์" ที่ได้ปั่นจักรยานรอบโลก ระยะทาง 28,970 กิโลเมตร ในเวลา 165 วัน และฝรั่งหัวใจไทยคนนี้เค้าก็ทำใด้สำเร็จ
...แน่นอนว่า ความพยายามของ "อลัน เบท" ที่จะปั่นจักรยานถวายในหลวง ยังไม่จบอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเขาได้คิดโครงการปั่นจักรยานรอบโลกขึ้น ด้วยความปรารถนาที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมไทย และบอกเล่าพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ออกไปสู่สายตาชาวโลก นอกจากนี้ "อลัน เบท" ยังหวังลึก ๆ ให้การเดินทางของเขาครั้งนี้ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่ ก้าวเข้ามาเป็นนักกีฬาที่มีประสิทธิภาพต่อไป...

และโดยตลอดการเดินทาง "อลัน เบท" จะได้บอกเล่าเรื่องราวต่างผ่านการสื่อสารทางเฟซบุ๊ก (Facebook) ไฮไฟว์ (hi5) และเว็บไซต์ที่สนับสนุนช่วยเหลือการเดินทางของ "อลัน เบท" ครั้งนี้

 

...อลัน เบท กล่าว
..."ผมอยากใช้ชื่อไทยว่า นายอิสระ เพราะปัจจุบันคนเกิดมาพร้อมประสาทสัมผัสที่เย้ายวน ให้คนหลงในวัตถุจนเกินไป แต่จากประสบการณ์การปั่นจักรยานมาหลายแห่งในเมืองไทย ได้เห็นความงดงามหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ ทำให้รู้สึกชีวิตมีอิสระ"
......"ผมอยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และพิเศษเท่าที่จะทำได้ ผมทำสิ่งที่เชื่อมั่นว่า ดีที่สุดเพื่อตอบแทนแผ่นดินไทย ผมรู้สึกประทับใจภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของในหลวง พระองค์ท่านทรงเก็บสุนัขข้างถนนมาเลี้ยง ถ้าเป็นคนมีเงิน คงหาสุนัขพันธุ์ดี ราคาแพงมาเลี้ยง ผมได้ศึกษาโครงการพระราชดำริและนำมาปรับใช้กับชีวิต"
..."สิ่งที่ผมทำเพื่อเป็นของขวัญให้คนไทย เพราะผมอยากเป็นคนไทย สัญชาติไทย หากวันที่ผมขี่จักรยานกลับมาเมืองไทย แล้วผมรู้ว่า ผมได้สัญชาติไทย ก็คงดี เพราะโลกจะได้บันทึกว่า ผมเป็นคนไทยที่ขี่จักรยานรอบโลกและทำลายสถิติได้สำเร็จ" 
แต่ประโยคที่เค้าทิ้งท้ายไว้ได้น่ารักคือ “ผมรักเมืองไทย และรักในหลวง”

ที่มา-- oknation.net/blog-- kapook.com










17.7.10

มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี

 


๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้วคุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้ เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงวาระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
1)จู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
2)ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ มีลูกค้า 
๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเอ??ว่า เราเกิดมาจากใคร

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัสเนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

**.:*:. **.:*:. *♥* .:*:.**.:*:**


11.6.10

forward เศร้า....

 

..... เราย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายปี เพื่อนบ้านก็ดี มีน้ำใจ ข้างบ้านรั้วติดกันมีคุณลุงคนหนึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ เกษียณมาหลายปีแล้ว ภรรยาเสีย ตั้งแต่เรายังไม่ย้ายเข้ามา ลูก ๆ ทั้ง 3 คน ต่างก็แต่งงาน มีครอบครัว ไปอยู่ที่จังหวัดอื่น ๆ กันหมด..... ลุงแกก็อยู่บ้านคนเดียวมาเกือบ 10 ปี
เราได้รู้จักลุง ก็ได้เห็นในน้ำใจไมตรี เป็นคนใจดี อบอุ่น น่ารัก.....มีโรคประจำตัวตามประสาคนแก่ คือ เบาหวาน ความดัน และเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตามปกติ.....
ด้วยความที่อยู่บ้านคนเดียว บางครั้งเจ็บป่วย ก็ลำบากหน่อย เพราะไม่มีลูกหลาน คอยช่วยเหลือ ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราก็ได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือ พาไปหาหมอ พาไปทำธุรต่าง ๆ และถ้าป่วยหนักถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล ก็จะช่วยโทรตามลูก ๆ ของแกให้..... ลูก ๆ ก็จะมาเยี่ยมบ้าง ไม่มาบ้าง แล้วแต่โอกาส เรารู้ว่า คุณลุงเหงา .....
....... บ่อยครั้งที่คุณลุงจะบ่นถึงคุณป้า ซึ่งเราไม่เคยเจอตัวจริง ได้เห็นแต่ในรูป เพราะท่านเสียไปหลายปีแล้ว ก่อนที่เราจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่
ช่วงเทศกาล ปีใหม่ สงกรานต์ เมื่อบ้านอื่น ๆ เขามีลูก ๆ มาเยี่ยม เราเห็นคุณลุงนั่งเหงาเพียงลำพังเราก็ซื้อของขวัญ ของกิน ของใช้ บางครั้งก็เป็นพวกผลไม้บ้าง เครื่องดื่มบ้าง ไปไหว้
.....ลุงก็ดีใจ ให้ศิลให้พร กันยกใหญ่.....แล้วก็บ่น รำพึง รำพัน ถึงลูก ๆ .....น้ำตาไหล นั่งมองแต่ประตูหน้าบ้านรอว่าเมื่อไร จะมีรถของลูก ๆ กลับมาเยี่ยมบ้าง ...
หลายปีมานี้ คุณลุงก็ได้แต่รอ......เราก็ได้แค่ปลอบว่าลูก ๆ เขาคงติดธุระ วันไหนเขาว่างก็คงมาเยี่ยม ไม่ต้องคิดมาก เสียสุขภาพไปเปล่า ๆ .....
หลังบ้านคุณลุง มีต้นมะม่วงพันธุ์ดีอยู่หลายต้น มีต้นหนึ่งที่ลูกโต หวานอร่อยเป็นนิเศษ เราไปช่วยลุงเก็บเป็นประจำ และคุณลุงก็จะแบ่งมาให้ทุกครั้ง.......ลุงจะคัดลูกสวย ๆ เก็บใส่กล่องดูแลเป็นพิเศษ..... เก็บไว้รอลูก ๆ อยากให้ลูกได้กินของดี ๆ หลายครั้งหลายหน เราเห็นคุณลุงรอลูก ๆ จนมะม่วงเน่าเสียไป ไม่รู้กี่หน ต่อกี่หน.....
หลายปีมานี้ ก็ไม่เคยเห็นลูก ๆ กลับมากินมะม่วงที่พ่อบ่มไว้แม้แต่ครั้งเดียว
มีที่แปลงหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณลุงบอกว่าอยากขาย ให้เราช่วยดำเนินการให้หน่อย เราก็เขียนป้ายไปติด แล้วลงประกาศให้ ..... 5 เดือนเศษ ๆ หลังจากประกาศขาย ในที่สุดก็มีผู้สนใจและก็ขายได้ในที่สุด ในราคา 1 ล้านบาท ...
เมื่อได้เงินมา สิ่งแรกที่คุณลุงพูดถึงคือ..... คิดถึงลูก ๆ ถ้ารู้ว่าพ่อขายที่ได้คงดีใจ ลุงบอกว่าจะแบ่งเงินให้ลูกทั้ง 3 คน เท่า ๆ กัน ...
วันรุ่งขึ้น ลุงก็มาหาเราแต่เช้า บอกว่าวันนี้ ขอแรงหน่อย ช่วยพาลุงไปธนาคารที จะไปโอนเงินให้ลูก เราก็พาไป วันนั้นเป็นลูกค้ารายแรกของธนาคาร......คุณลุงโอนเงิน ให้ลูกคนละ 3 แสนบาท .....
..... เมื่อกลับมา จอดรถส่งลุงหน้าบ้าน..... ก่อนลงจากรถ คุณลุงหยิบเงิน ในกระเป๋า 1 แสนบาทยื่นส่งให้ บอกว่า.....เอานี่ ลุงให้.......เรารีบปฏิเสธ บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องให้ผมลุงเก็บไว้ใช้เถอะ ให้ลูก ๆ ไปเกือบหมดแล้ว...... ลุงบอกว่า เอาไปเถอะ ลุงได้รับบำนาญทุกเดือน ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ที่แปลงนี้ที่ขายได้ ก็เพราะเราต้องรับโทรศัพท์และพาคนไปดูที่ หลายเดือนมานี้ไม่รู้ขับรถไป-กลับกี่รอบแล้ว และอีกอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลุงก็ได้แต่รบกวน ไม่เคยได้ให้อะไร ตอบแทนบ้างเลย พ่อหนุ่มไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลาน แต่ก็ยังอุตส่าห์เสียเวลาเป็นธุระจัดการเรื่องราวให้สารพัด รับไว้เถอะ ลุงอยากให้จริง ๆ ถ้าไม่รับลุงจะเสียใจนะ......เราก็ไหว้ ขอบคุณครับลุง
กลับมานอนคิด ไตร่ตรอง รู้สึกไม่สบายใจ ดึก ๆ จึงหยิบเงินไปหาลุงอีกรอบ.....แต่ลุงไม่รับคืนและยืนยันว่าตั้งใจจะให้เราจริง ๆ .....
อีก 2 วันถัดมา มีรถยนต์มาจอดที่บ้านลุง ลูกสองคน คนเล็กและคนกลางมาเยี่ยมและทวงถามเราถึงเงิน 1 แสนบาท พูดจาประมาณว่า.....เราไปหลอกเอาเงินคนแก่ เรารีบเข้าไปในบ้านหยิบเงิน 1 แสน เดินไปที่บ้านลุง แล้วคืนเงินให้ลุง
ลุงปฏิเสธและพยายามอธิบายให้ลูก ๆ ฟัง แต่ทั้งสองคนไม่ยอม เราจึงวางเงินไว้ แล้วเดินออกมา
ก่อนตะวันตกดิน ได้ยินเสียงรถขับออกไป ..... สักพักลุงก็มาหา เล่าว่าสองคนนั้นแบ่งเงินกันคนละ 5 หมื่นแล้วก็ลากลับไปแล้ว
คุณลุงกล่าวคำขอโทษอย่างที่สุด..... ลุงน้ำตาไหล บอกว่าเสียใจ ไม่คิดว่าลูก ๆ จะเป็นไปถึงขนาดนี้ .....ลุงบอกว่าจะเอาเงินบำนาญที่ได้รับทุกเดือนมาทยอยคืนให้ จนกว่าจะครบ 1 แสนบาท.....เราบอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องทำอย่างนั้น....
..... อีก 3 วัน เกือบ ๆ เที่ยงคืน ลุงมาที่บ้าน พร้อมกับลูกชายคนโต 
" เมื่อ 3 วันที่แล้ว พ่อโทรฯ ไปเล่าเรื่องให้ฟัง พี่ก็ไม่สบายใจ.... พอดีที่ทำงานส่งไปสัมมนาหลายวันออกมาไม่ได้ พอเสร็จธุระ ก็รีบขับรถมาเลย มาถึงซะดึก....พี่ต้องขอโทษแทนน้อง ๆ สองคนด้วย เสียมารยาทจริง ๆ เดี๋ยวต้องคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักครั้ง อายุก็มากแล้วแต่ก็ไม่รู้จักโต แย่จริง ๆ ...... เอาอย่างนี้ ขอเลขบัญชีธนาคารให้พี่ได้ไหม เดี๋ยวกลับไปพี่จะรีบโอนเงินมาคืนให้ "
"ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เป็นไร..... เราปฏิเสธไป"
วันถัดมาเมื่อลูกชายคนโตกลับไป ลุงเล่าให้ฟังด้วยความดีใจ 
" เจ้าใหญ่มันบอกว่า วางแผนไว้แล้วอีก 5 ปี จะย้ายมาทำงานที่บ้าน จะพาลูกมาเมียมาอยู่ที่นี่ "
เราสังเกตุเห็นแววตาอันสดใส ของคุณลุง...บ่งบอกถึงความ ปิติ ยินดี อย่างที่สุด
ดีใจด้วยครับลุง ต่อไปลุงจะได้ไม่เหงาแล้ว...
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เกือบ 4 ปีแล้วซินะ...... ที่ลุงนับวันรอว่าจะมีลูก ๆ กลับมาอยู่ด้วย เราเห็นปฏิทิน ที่คุณลุงขีดฆ่า วันแล้ววันเล่า...... เดือนแล้วเดือนเล่า..... ปีแล้วปีเล่า.....และสุดท้าย.....
ลุงน่าจะอดทนรออีกนิด .. อีกนิดเดียวเองครับลุง
ในห้องไอซียู เรากับพี่ใหญ่นั่งอยู่คนละข้างเตียงคนไข้.....ช่วงเวลา สุดท้ายของชีวิต
คุณลุงขยับนิ้วมือ เรากับพี่ใหญ่เอื้อมมือไปจับมือลุง.....ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ
คุณลุงจากไปด้วยอาการสงบ ....
หลังงานศพ เสร็จสิ้น.....
ค่ำคืนนั้น พี่ใหญ่มาหาเราที่บ้าน ยื่นถุงกระดาษส่งให้ บอกว่า.....
"พ่อฝากไว้ให้ พ่อกำชับไว้ตั้งแต่ก่อนตาย ว่าต้องให้เรารับไว้ ไม่งั้นพ่อจะนอนตายตาไม่หลับ"
เราแกะถุงเปิดดูข้างใน มีซองจดหมายทั้งหมด 10 ซอง
จ่าหน้าว่า........คืนเงินเดือนที่ 1-2-3... ไปจนถึง คืนเงินเดือนที่ 10
ในแต่ละซอง ข้างในมีธนบัตรใบละ 1,000 บาท สิบใบ....ซองสุดท้าย มีข้อความว่า
ถึง...
หลานที่ไม่ใช่สายเลือด แต่ก็เป็นหลานที่ดีกับลุงเหลือเกิน ..... ลุงคืนเงินให้ตามที่เคยสัญญาขอบคุณที่ช่วยเหลือ เป็นธุระให้ ในทุก ๆ เรื่อง และเป็นเพื่อนคนแก่มาตลอด
.... ป้ามารอลุงแล้ว..... ลุงต้องไปก่อน.
อีก 2 วันถัดมาที่บ้านคุณลุง มีคนเข้ามาทำความสะอาด.....เราสังเกตุเห็นปฏิทินที่คุณลุงใช้ขีดฆ่าเพื่อนับวันรอลูก ๆ ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้าน เดินไปที่ถังขยะหน้าบ้านลุง มองไปที่ประตู มีป้ายประกาศติดไว้
ขายบ้าน ด่วน !
เราไปเก็บปฏิทินมาทำความสะอาด .......นึกถึงภาพคนแก่ ที่หยิบดินสอขีดฆ่าตัวเลขบนปฏิทิน ด้วยอาการมือสั่นเทา ลูก ๆ คงไม่รู้หรอกว่า ภายใต้ปฏิทินเก่า ๆ ไร้ค่าใบนี้
..... มันซ่อนความห่วงหาอาลัยซ่อนความเงียบเหงา ว้าเหว่ ..ซ่อนความเจ็บปวดร้าวลึก ของคนแก่คนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดียวเพียงลำพังมานานกว่า 10 ปี 
เราตั้งใจจะเก็บปฏิทินนี้ไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก...ตลอดไป...
ขอให้บุญกุศล และคุณงามความดี ทั้งหลายทั้งปวง ที่คุณลุงได้สั่งสมมาตลอดชั่วชีวิต
จงนำพาดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณลุง ไปสู่สุคติในดินแดน อันสงบ ร่มเย็น ชั่วนิจนิรันดร์..... 
***********************************************************
อ่านแล้วเศร้า......


27.5.10

เดินตามฝัน...ของคุณ

 

เป็น fw; เก่าๆที่ได้มานานแล้ว" เดินตามฝัน...ของคุณ " 

เด็กชายอายุ 16 ปี คนหนึ่ง ชื่อว่า มอนตี้ ซึ่งคุณครูสั่งให้เขียนเรียงความเรื่อง "โตขึ้นอยากเป็นอะไร"

มอนตี้ก็เขียนบรรยายไป 7 หน้ากระดาษ ถึงความฝันของเขาที่จะเป็นเจ้าของคอกม้า พร้อมด้วยบ้านพื้นที่ 4,000 ตารางฟุต บนเนื้อที่ 200 เอเคอร์ เขาบรรยายพร้อมกับวาดแผนผังแสดงรายละเอียดไว้ทุก ๆ ส่วน แต่เมื่อเขานำไปส่ง... กลับได้คะแนน F และเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียน

หลังเลิกเรียน มอนตี้ ก็เข้าไปพบคุณครู และถามว่าทำไมเรียงความของเขาจึงได้ F ก็ได้รับคำตอบว่า "สิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันต้องใช้เงินมากมายเกินกว่าฐานะ เกินกว่าฐานะ ของครอบครัวของมอนตี้ จะสามารถทำได้" แม้ว่ามอนตี้จะชี้แจงให้ฟังว่ามันเป็นแค่ความฝันของเขา แต่คุณครูไม่รับฟังและขอให้มอนตี้ไปเขียนเรียงความมาใหม่ โดยขอให้เขียนถึงเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้บ้างแล้วจะแก้คะแนนให้

.................................

มอนตี้ก็กลับบ้านและนำปัญหานี้ไปปรึกษากับพ่อของเขา ซึ่งพ่อของเขาก็ให้คำตอบว่า "เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรลูกไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกเอง แต่พ่อมีความรู้สึกบางอย่างว่า การตัดสินใจของลูกครั้งนี้ จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่ออนาคตของลูกอย่างแน่นอน"

มอนตี้ ใคร่ครวญกับเรื่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ เขานำเรียงความเรื่องเดิมไปส่งคุณครูพร้อมกับพูดว่า "ให้คะแนน F กับผมก็แล้วกัน ผมจะรักษาความฝันของผมไว้"

.................................

มอนตี้เล่าเรื่องนี้ให้กับผู้มาเยือนเขาฟังพร้อมกล่าวว่า "ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง เพราะว่าขณะนี้มอนตี้กำลังนั่งอยู่หน้าเตาพิงในบ้าน พื้นที่ 4,000 ตารางฟุต ซึ่งตั้งอยู่กลางคอกม้าเนื้อที่ 200 เอเคอร์ และเรียงความ 7 หน้ากระดาษนั้น ได้ใส่กรอบเรียงอยู่เหนือเตาพิง"

และเขาได้เล่าต่อว่า "ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ ในฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้ว คุณครูคนเดิมพาเด็กนักเรียน 30 คน มาพักค้างแรมที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจากไปท่านพูดกับผมว่า "มอนตี้ สมัยครูเป็นครูของเธอ ครูคงเป็น นักขโมยความฝัน ครูเสียใจนะที่ครูได้ขโมยความฝันของเด็กๆ ไปตั้งมากมาย แต่ครูก็ดีใจที่เธอไม่ยอมให้ครูขโมยความฝันของเธอ"



"เดินไปตามความฝันของคุณอย่ายอมให้ใครขโมยมันไปได้"

เรียบเรียงจากบทความเรื่อง "follow your dreams" คัดมาจากกระทู้ในห้องสวนลุมของ panthip.com
ที่มา : บ้านใส่ใจ www.carefor.org