13.8.10

แม่



เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้ 
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง 
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา 
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น 
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน 
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน 
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า 'ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป...'' 
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว 
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก 
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม 
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง 
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู) 
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ 
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า "แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก" 
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ 
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง 
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว 
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน 
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า 
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น 
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า 'แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย' 
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุ ณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า 'หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่' 
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ 
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า 'มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร' 
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า 'แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย' 
เมื่อคุณอายุ 25 ปี (สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'อายคนอื่นเขาน่า แม่' 
(สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่' เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า 'สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่’ 
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า 'ตอนนี้ไม่ว่างเลย' 
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า 'มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ' 
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ 
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่'แม่' 
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ'แม่ 'ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ 
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม 
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น 
อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก'แม่'ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็'รัก'ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ'รูป'ของแม่เท่านั้น 

8.8.10

Kelly Newton-Wordsworth ฝรั่งผู้หลงรัก “ในหลวง”

ต่างชาติอีกคนที่น่ารัก....   

 เหตุใดฝรั่งออสเตรเลียคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เพียงปีกว่าๆ จึงหลงรัก “พ่อหลวง” ของปวงชนชาวไทยได้? ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป วันนี้เรามาทำความรู้จักกับตัวตนของ Kelly Newton-Wordsworth ฝรั่งผู้หลงรัก “ในหลวง” กัน



“ฉันมาจากออสเตรเลีย ฉันมาพำนักอยู่ที่ประเทศไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2550 นับถึงปัจจุบันก็ประมาณ 15 เดือนแล้ว แต่ฉันเดินทางร้องเพลงมาแล้วทั่วโลก ไม่ว่าจะคอนเสิร์ตไลฟ์เอิร์ธ ที่ลอสแองเจลิส รวมไปถึงคอนเสิร์ตเพื่อสันติภาพ และคอนเสิร์ตเพื่อสิ่งแวดล้อม” เคลลีกล่าวแนะนำตัวเองกับเรา พร้อมกับกล่าวถึงประวัติส่วนตัวด้วยว่า“โดยส่วนตัว ฉันมีสามีและลูกๆ 3 คน เราอยู่กันในไร่ (ฟาร์ม) ในแถบตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ฉันและสามี ยึดถือการทำการเกษตรเชิงชีวภาพในไร่ ซึ่งเราทำกันมายี่สิบปีแล้ว ในไร่ของเราปลูกต้นโอลีฟ เราทำน้ำมันมะกอก เราปลูกถั่วพิสทาชิโอ ปลูกส้ม ทำแยมผิวส้ม เราปลูกผักและผลไม้หลากหลายชนิด เลี้ยงแกะ เลี้ยงวัว เลี้ยงม้า ปลูกข้าวโอ๊ต ฯลฯ”

*****เศรษฐกิจพอเพียง’ แนวทางที่ก้าวหน้า

เมื่อถามเคลลีว่า เธอรู้จักทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือไม่ เธอตอบอย่างทันทีทันควันว่า “รู้จัก” พร้อมเล่าต่อด้วยว่า “ฉันกับสามีทำการเกษตรชีวพลวัต (Biodynamic Agriculture) ที่ฉันเชื่อว่าเป็นการเกษตรที่ก้าวหน้าและยั่งยืนที่สุดในปัจจุบัน เราทำอย่างนี้มา 20 ปีแล้ว แต่ฉันทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำสิ่งเดียวกับที่เราทำมา 60 ปีแล้ว ฉันกับสามีทำการเกษตรแบบยั่งยืนอย่างโดดเดี่ยว ในตอนแรกไม่มีใครสนใจทำตามวิถีทางนี้เลย กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ถึงมีคนทำตามวิถีทางของเรา อย่างเช่น แยมผิวส้ม (Orange marmalade) จากไร่ของเราได้ไปวางขายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในลอนดอนอย่างห้างฮาร์วีย์ นิโคลส์ (Harvey Nichols) รวมไปถึงน้ำมันโอลีฟของเราด้วย”
ขณะเดียวกันเธอยังเล่าต่อถึงประวัติการเล่นดนตรีด้วยว่า “ฉันเล่นกีตาร์มาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ มันอยู่ในสายเลือด ... แต่เพลงที่ฉันแต่งและร้องส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่เกี่ยวกับโลกใบนี้ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ฉันเริ่มแต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมานานมากแล้ว กว่า 20 ปีแล้ว ก่อนอัลกอร์ (อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) นานมาก (หัวเราะ) ถ้าคุณเข้าไปในยูทิวบ์แล้วใส่ชื่อของฉันเข้าไปก็จะพบเพลงหลายๆ เพลงของฉันที่แต่งให้เกี่ยวกับอนาคตของโลกใบนี้
“ฉันเชื่อว่าเสียงเพลงสามารถปลุกผู้คนได้ และเข้าถึงจิตใจของผู้คนได้ ... ครั้งหนึ่งฉันเคยไปร้องเพลงในคอนเสิร์ตเพื่อสันติภาพโลก (World Peace Concert) ในประเทศอินเดีย ซึ่งถือเป็นคอนเสิร์ตเพื่อสันติภาพที่เคยจัดขึ้นในประเทศอินเดีย ทั้งคอนเสิร์ตเต็มไปด้วยทหารถือปืนกล แต่หลังจากที่ฉันร้องเพลง One world, One planet จบ เหล่าทหารก็เข้ามาหาฉันแล้วแตะที่หน้าอกตรงหัวใจของพวกเขา
“ประเด็นที่ฉันอยากจะบอกก็คือ การพูดแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไร แต่ฉันใช้ชีวิตและลงมือทำในสิ่งที่ฉันเชื่อไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตรแบบชีวภาพ รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ณ ตอนนี้หลังจากที่ฉันทำหน้าที่แม่และแม่บ้านมา 19 ปีเต็มๆ ฉันก็อยากทำสิ่งที่ฉันรักคือ การแต่งเพลงและร้องเพลง ฉันเพิ่งมีเวลาที่จะทำสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอดที่เมืองไทย”

*****ความประทับใจ และ แรงบันดาลใจจาก ‘ในหลวง’
สำหรับความประทับใจแรกที่มีต่อในหลวง เคลลีเล่าว่า “ครั้งแรกที่ฉันเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของคนไทยนั้นคือบนเครื่องบินของการบินไทย ตอนนั้นฉันร้องไห้ออกมา ที่ร้องไห้ออกมาก็เพราะรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะท่านคือกษัตริย์ที่หาได้ยากยิ่งในโลกนี้ ฉันหมายความว่าสามีและฉันเป็นนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน และเราก็พบว่าภารกิจเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นภารกิจที่ยากลำบากมากเพราะผู้คนไม่ค่อยสนใจกัน เราทำไร่เชิงชีวภาพที่ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช่ปุ๋ย ทำตามธรรมชาติมายี่สิบปีแล้ว จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เองที่คนหันมาสนใจจากกระแสโลกร้อน (Global Warming) จากกระแสที่มากับอัล กอร์ดังนั้นครั้งแรกที่ฉันเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
“ก่อนหน้าที่จะเห็นท่านในวิดีทัศน์บนเครื่องบินฉันเพียงรู้ว่าประเทศไทยมีกษัตริย์ แต่สำหรับฉันแล้วชาวตะวันตกโตมากับการสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่า เมื่อฉันเห็นท่านก็รู้สึกว่าท่านเป็นความน่าประหลาดใจที่งดงามยิ่ง เมื่อได้ทราบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งบนโลกนี้ที่ใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม การเกษตร และประชาชน มานาน 60 ปีแล้ว สำหรับฉันแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกอุ่นใจ”
ด้วยแรงบันดาลใจดังกล่าว เพลง Long Live the King of Thailand จึงถูกเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550
“แรงบันดาลใจหนึ่งในการเขียนเพลงนี้ก็เพราะเมื่อฉันมาถึงประเทศไทย ฉันเที่ยวถามผู้คนมากมายว่า พวกเขารู้สึกอย่างไรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งบางครั้งผู้คนก็ร้องไห้ออกมา เหมือนกับเมื่อครั้งที่ฉันเห็นท่านเป็นครั้งแรก สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันประทับใจมาก แต่ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันต้องร้องไห้ออกมาและทำไมฉันถึงอ่อนไหวเหลือเกิน เมื่อมาพิจารณาดูฉันก็พบว่า คำตอบอยู่ในพระเนตร (ดวงตา) พระหทัย (หัวใจ) และ พระหัตถ์ (มือ) ของพระองค์ ซึ่งกลายมาเป็นท่อนหนึ่งของเพลง Long Live the King of Thailand”

*****กษัตริย์ผู้ชนะใจปวงชนด้วย “ความรัก”

“ฉันรู้สึกได้อย่างนั้นจริงๆ ในประเทศอื่นๆ ผู้คนมักจะมีการแสดงออกที่ไม่ดีนักต่อผู้นำของตน ซึ่งฉันคิดว่าสาเหตุก็เพราะประชาชนนั้นจะรักและเคารพต่อผู้ที่จริงใจเท่านั้น ฉันรู้ว่าความเสียสละขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชนะใจปวงชนชาวไทย และฉันพบเห็นเรื่องราวเหล่านี้ทุกวัน พบเห็นผู้คนพูดถึงความรักอันสุดซึ้งต่อพระองค์ ทั้งๆ ที่ฉันเป็นชาวต่างชาติและไม่รู้จักพวกเขามาก่อน การที่ผู้คนเอ่ยถึงพระองค์อย่างจริงใจด้วย ‘ความรัก’ ...’ความรัก’ นะมิใช่ ‘ความกลัว’ (เสียงเน้น) ทำให้ฉันประทับใจมาก เพราะโดยส่วนตัวฉันเองก็เชื่อใน ความรัก และ พลังของความรัก สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ฉันเขียนเพลงนี้ออกมา” ศิลปินเพื่อชีวิตชาวออสเตรเลียกล่าว
พร้อมเสริมว่า “ฉันเขียนเพลงสำหรับพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยไม่มีเหตุผลทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง ฉันเขียนเพลงนี้ขึ้นก็เพราะว่าความรักล้วนๆ ฉันรู้ว่าฉันรักท่าน แม้ว่าฉันจะไม่รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวเลยก็ตาม แต่ฉันได้ยินได้ฟัง พระราชกรณียกิจอันยอดเยี่ยมของท่านมากมาย สิ่งที่ท่านทำไม่เพียงมีคุณค่าสำหรับคนไทย แต่ควรถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ...ตอนที่ฉันนั่งลงเขียนเพลงนี้พร้อมกับกีตาร์ ฉันรู้สึกถึงอารมณ์ ความรู้สึกดังกล่าว แล้วฉันก็เริ่มเขียนเพลง”
เคลลีกล่าวด้วยว่า “ในประเทศของฉัน และจากประสบการณ์ของตัวเอง ฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อนว่าประชาชนจะรักผู้นำของตัวเอง นักการเมืองทุกหนทุกแห่งมักจะทำเพื่อตัวเอง อยู่ในอำนาจให้ได้ถึงการเลือกตั้งในสมัยหน้า นักการเมืองมักจะให้คำมั่นสัญญา แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจได้ก็ไม่เคยปฏิบัติตาม ผู้คนทั่วโลกรู้เรื่องนี้และเข้าใจข้อเท็จจริงเรื่องนี้ดี”
...เมื่อเราถามว่าแม้แต่ในโลกตะวันตกที่มีพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน นักการเมืองก็เป็นเช่นนี้ด้วยหรือ? เคลลีหัวเราะเสียงดังก่อนตอบว่า “(นักการเมืองในโลกตะวันตก) ถือเป็นฝันร้ายเลยล่ะ!”
“ฉันเคยสู้เพื่อปกป้องป่าไม้ในออสเตรเลีย (ถอนหายใจ) แต่มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสมาก ... ฉันเคยเขียนเพลงชื่อว่า What’s happening to our forest? เพื่อต่อต้านการขายไม้ซุงของรัฐบาลออสเตรเลียให้แก่ต่างชาติ โดยในขณะนั้นรัฐบาลออสเตรเลียตะวันตกขายไม้ซุงชั้นดีให้แก่ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ เพื่อไปทำกระดาษชำระ ตอนแรกเราเริ่มต้นกันด้วยกลุ่มคนเพียงเล็กๆ ซึ่งมีพลังไม่มากนัก บางครั้งฉันกลับมาที่ไร่และนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันเลยเขียนเพลง What is happening to our forest? ขึ้นมา และทำวิดีโอคลิปของเพลงนี้ไปใส่ไว้ใน Youtube หลังจากวิดีโอเพลงดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป พรรคการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลก็นำวิดีโอคลิปดังกล่าวไปเผยแพร่ในวงกว้าง และก็ได้ผล รัฐบาลออสเตรเลียตะวันตกเชิญฉันไปพูดคุยด้วย ซึ่งฉันบอกกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกคุณไม่หยุดการตัดไม้ คุณจะแพ้การเลือกตั้งครั้งหน้า" ...พวกเขาหัวเราะใส่หน้าฉัน และท้ายที่สุดพวกเขาก็แพ้จริงๆ (หัวเราะ) และด้วยสิ่งที่เราทำ สามารถรักษาพื้นที่ป่าในออสเตรเลียไว้ได้มากถึง 1.5 ล้านเฮกเตอร์”

*****หลงเสน่ห์ประเทศไทย

สำหรับเพลง Rain man ซึ่งเป็นหนึ่งในสองเพลงที่ถูกบรรเลงบนเวที โดยเนื้อหากล่าวถึงพระอัจฉริยภาพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เคลลีเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปว่า เธอเพิ่งแต่งเพลงนี้ขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2550 นี้เอง โดยเพลง Long Live the King of Thailand และ Rainman นั้นเป็นเพียงสองเพลงในบทเพลงประมาณ 10 ชิ้น ที่เธอเขียนขึ้นเกี่ยวกับประเทศไทย และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเพลงอื่นๆ ก็อย่างเช่น There must be peace in Thailand, Sukhumvit Road เป็นต้น

“ฉันเขียนเพลงเหล่านี้ขึ้นเพราะว่าฉันรักเมืองไทย ฉันรักคนไทย ฉันรักกรุงเทพฯ สำหรับฉันแล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากความรู้สึกและหัวใจของฉัน ฉันพบว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าตื่นเต้นและมีเสน่ห์ที่สุดในโลกเหนือกว่าเมืองใดๆ ที่ฉันเคยรู้จัก สำหรับเสน่ห์นั้นฉันคิดว่าเกิดจากความหลากหลาย และอิสรเสรีของผู้คนในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเมืองเพิร์ทที่ฉันอยู่

“ฉันคิดว่าเมืองไทยมีเรื่องราวที่จะเขียนเพลงได้เยอะ โดยส่วนตัวแล้วฉันถือว่าประเทศไทยเป็นบ้านทางวัฒนธรรมของฉัน เป็นบ้านที่อยู่ในหัวใจของฉัน เมื่อมาถึงที่นี่ฉันรู้สึกว่าข้างในลึกๆ ฉันเป็นคนไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ฉันเดินทางไปหลายๆ ที่ในประเทศไทยไม่ว่าเป็น จังหวัดภูเก็ต เกาะสมุย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้ฉันก็เพิ่งไปบางคล้า (อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา) มา ฉันชอบชีวิตและทิวทัศน์ในชนบท”

*****บทเพลงและความฝันถึงโลกแห่งความเท่าเทียม

เมื่อเราถามเธอว่า รู้ได้อย่างไรว่ามีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ณ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนิน เธอตอบว่า “ฉันทำงานกับโปรดิวเซอร์ชาวไทยที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เขาชื่อเชิดชัย เขารู้ว่าฉันรักในหลวงมากแค่ไหน และฉันก็เขียนเพลงเกี่ยวกับประเทศไทยหลายเพลง เขาบอกกับฉันว่ามีเหล่าประชาชนที่จงรักภักดีในหลวงอย่างมากมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เขาเลยถามว่าฉันอยากจะมาร่วมงานนี้ไหม ถ่ายทอดเพลงที่ฉันแต่งให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ฟัง

“ฉันไม่รู้เรื่องราวทางการเมืองอะไรมากนัก ฉันรู้ชื่อสมัคร (สุนทรเวช) และ ทักษิณ (ชินวัตร) แต่ฉันไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพิมพ์มากนัก และ ฉันไม่ดูโทรทัศน์ ฉันต้องใช้สมาธิกับการแต่งเพลง และทำงานของฉันพอสมควร แม้แต่การเมืองในออสเตรเลียฉันก็ไม่ได้ติดตามมากนัก

“ตัวฉันเองเป็นศิลปินที่ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองนัก แต่ฉันใส่ใจในอิสรภาพของผู้คน ฉันคิดว่าทรัพยากรในโลกนี้ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน เพราะ บางคนขูดรีดทรัพยากรใส่ตัวมากเกินไป และเรื่องราวความไม่เท่าเทียมกันนี้เกิดขึ้นทั่วโลก"

“บางทีฉันอาจจะเป็นคนช่างฝันเกินไป เมื่อวานตอนเช้าฉันยังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เลยว่า เราจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร ในเมื่อมีกลุ่มคนจำนวนน้อยนิดที่ควบคุมทุกอย่าง บัญชาการชีวิตของคนส่วนใหญ่ ...ฉันรู้ว่ามันมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และฉันก็รังเกียจเผด็จการ แต่ฉันก็คิดว่าเรายังหาวิธีการอยู่ร่วมกันที่เหมาะสมที่สุดไม่เจอ แต่ฉันเชื่อว่ามีหนทางที่เราจะอยู่ร่วมกันได้ดีกว่านี้”
คนไทยควรเคารพและหวงแหนวัฒนธรรมไทย

เมื่อถามว่านอกจากเสียงเพลงอันล้ำค่าแล้ว เธออยากจะบอกอะไรกับคนไทยอีก เคลลีตอบว่า สิ่งแรกที่เธออยากบอกกับคนไทยก็คือ กรุณารักษาวัฒนธรรมไทยเอาไว้ “ฉันเคยเขียนเพลงๆ หนึ่งชื่อว่า Peace in Thailand เนื้อหาของเพลงนี้อธิบายถึงความล้ำค่าของวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมของพวกคุณ ทุกที่ในโลกที่ฉันเคยไป ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย แต่อนาคตของผู้คนและประเทศแห่งนี้ก็น่าเป็นห่วง เพราะ ในระยะเวลาเพียงแค่ 15 เดือนที่ฉันได้สัมผัสกับประเทศไทย ฉันก็พบเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายแล้ว

“ฉันคิดว่าเป็นเรื่องดีที่คนไทยจะเรียนภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลของโลก แต่การส่งเด็กๆ ไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างเช่นไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา เมื่อพวกเขากลับมาเขากลับกลายเป็นคนอเมริกันมากกว่าคนอเมริกันที่เรียนภาษาไทยเสียอีก ซึ่งวิธีคิดแบบอเมริกันได้แผ่กระจายอิทธิพลไปทั่วโลกแล้วผ่านสื่อต่างๆ แม้แต่ในออสเตรเลียเอง

“ฉันคิดว่าแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการ สนับสนุนเศรษฐกิจของท้องถิ่นมากกว่าที่จะสนับสนุนชาวต่างชาตินั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก โอ้! ฉันเกือบลืมไปว่ารวมถึงโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถด้วย ฉันมีกระเป๋าที่ฉันรักมากใบหนึ่งที่ซื้อมาจากโครงการของท่าน ทั้งหลายแหล่ที่สนับสนุนวัฒนธรรมไทย การเกษตรของไทย ศิลปินของไทย และสนับสนุนเอกลักษณ์ของพวกคุณ สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าคุณควรจะคัดสรรสิ่งที่ดีจากตะวันตก รักษาเอกลักษณ์ของพวกคุณเอาไว้ และเคารพวัฒนธรรมของตัวเอง"

“วัฒนธรรมที่คุณมีเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และแข็งแกร่งมาก ส่วนคำแนะนำจากคนต่างชาติอย่างฉันถึงคนไทยก็คือ ให้ฟังในหลวงให้มากเข้าไว้ เพราะ ท่านตรัสในสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ท่านไม่เป็นเพียงแสงสว่างของคนไทยแต่ถือว่าเป็นแสงสว่างของโลก”

ที่มา--- ViTz`[เจ้าชายท้องฟ้า]

 

เนื้อเพลงและทำนอง 
http://www.gugalyrics.com/KELLY-NEWTON-LONG-LIVE-THE-KING-OF-THAILAND-LYRICS/96690/


อิ่มอุ่น




อุ่นใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตระกอง รักเจ้าจึงปลูก รักลูกแม่ย่อมห่วงใย ไม่อยากจากไปไกล แม้เพียงครึ่งวัน ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพัน อิ่มใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มรักลูกหลับนอน น้ำนมจากอก อาหารของความอาทร แม่พร่ำเตือนพร่ำสอน สอนสั่ง ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป ใช่เพียงอิ่มท้อง ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น อุ่นไอรัก อุ่นละมุน ขอน้ำนมอุ่นจากอกให้ลูกดื่มกิน 


http://www.youtube.com/watch?v=D-zZrklJtzY&feature=related

7.8.10

น่าเสียดาย



ข้อคิดดีดีจากท่าน ว.วชิรเมธี 

น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง

น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด

น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด

น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน....

************************************************************

5.8.10

อลัน เบท ปั่นจักรยานรอบโลก ถวายในหลวง

.....อดีตนักปั่นจักรยานทีมชาติอังกฤษ มร.อลัน เบท ฝรั่งหัวใจไทย วัย 45 ปี ท่านนี้ปั่นจักรยานรอบโลกเส้นทาง 29,500กม.รอบโลก ผ่าน 110 เมืองสำคัญ ใน 19 ประเทศเป็นตัวแทนประกาศความรักอันยิ่งใหญ่ของคนไทยที่มีต่อในหลวง ให้ชาวโลกรับรู้...

 
......อดีตนักปั่นจักรยานทีมชาติอังกฤษ มร.อลัน เบท ฝรั่งหัวใจไทยวัย 45 ปี ชายชาวลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ อาจเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เพราะเขาเป็นนักปั่นจักรยานฝีมือดี ติดอันดับท็อปเทนของโลก แต่สำหรับคนไทยแล้ว "อลัน เบท" อาจจะกลายเป็นแค่เพียงชาวต่างชาติที่มาปั่นจักรยานเที่ยวเมืองไทย แล้วก็กลับไปเหมือนคนอื่น ๆ หากไม่ใช่เช่นนั้น เพราะเมื่อ "อลัน เบท" มาเที่ยวเมืองไทย ได้สัมผัสวิถีชีวิตเมืองไทยแล้ว มันทำให้เขาซับความเป็นไทย และมีดวงใจจงรักภักดีต่อพ่อหลวง เหมือนคนไทยทั่ว ๆ ไปในแผ่นดินสยามเมืองยิ้ม และทำให้นาย "อลัน เบท" อยากมีสัญชาติไทย อยากเป็นคนไทย และอยากใช้ชื่อไทยว่า "นายอิสระ" 

 
.... "อลัน เบท" เริ่มปั่นจักรยานมาตั้งแต่อายุ13 ปี โดยเลิกเล่นรักบี้ที่เขารักมาคลุกคลีอยู่กับรถสองล้อ ทำให้ครอบครัวของ "อลัน เบท" ไม่พอใจเป็นอย่างมากจนไม่ยอมพูดคุยกับเขาเกือบปี แต่แล้วเมื่อ "อลัน เบท" เข้าแข่งขันขี่จักรยานและได้รับรางวัลมามากมาย พ่อของเขาจึงยอมยกโทษให้ และตั้งแต่นั้นมา "อลัน เบท" ก็ขี่จักรยานหาเลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด โดยอลัน เบท พูดเสมอว่าที่เขาชอบขี่จักรยานก็เพราะยามที่ได้นั่งอยู่บนอาน เขาได้สัมผัสถึงชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติอีกทั้งการขี่จักรยานจะเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีเพราะตลอดเส้นทางที่ขี่จะนำเพื่อนใหม่ ๆ มาให้ชีวิต

 
.....ย้อนกลับไปเมื่อ พ.ศ.2548 "อลัน เบท" ได้ฝึกซ้อมจักรยานเตรียมเข้าแข่งขันไปยังประเทศลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทย แต่แล้วกลับเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานตกเหวทำให้ "อลัน เบท" ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เชียงของและน้ำใจของคนเชียงของนี่เอง ที่เป็นเหมือนมนต์สะกดให้ "อลัน เบท" ตัดสินใจแต่งงานกับภรรยาคนไทย และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ กับลูกชายตัวเล็ก ๆหนึ่งคนที่สามารถใช้ได้ 2 สัญชาติ แต่ "อลัน เบท" กลับเลือกให้ลูกชายใช้เพียงสัญชาติไทยเพียงอย่างเดียว
.....ตลอดเวลาที่ "อลัน เบท" ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยเขาต้องการเผยแพร่ความรู้เรื่องจักรยานให้เยาวชนได้รับรู้ จึงได้เช่าบ้านเล็ก ๆ ไว้หลังหนึ่งเพื่อเปิดพิพิธภัณฑ์จักรยาน โดยรวบรวมจักรยานโบราณไว้มากมายในชื่อว่า "เดอะ ฮับ" จากนั้น "อลัน เบธ" มีโอกาสได้เรียนรู้พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากคำบอกเล่าของภรรยา และยังได้เข้าเยี่ยมชมโครงการในพระราชดำริต่าง ๆของพระองค์ จึงรู้สึกปลาบปลื้มในน้ำพระทัยเป็นอย่างมาก และยังมองว่า สิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี ซึ่งครอบครัวของ "อลัน เบท" ก็คือส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวง นั่นจึงทำให้ "อลัน เบท" คิดโครงการปั่นจักรยานเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้น
...และอลัน ต้องการทำลายสถิติโลกเดิมเพื่อให้สถิติใหม่นี้ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตราบนานเท่านานว่าเป็นการปั่นจักรยานรอบโลกในระยะทางที่ไกลที่สุดด้วย ระยะเวลาที่สั้นที่สุด ที่ทำด้วยความรักและเทิดทูนของคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีต่อ “พ่อ” ของแผ่นดินไทย

 
... การเดินทางครั้งแรกของ "อลัน เบท" เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2549 โดยเขาปั่นจักรยานจากเชียงใหม่-กรุงเทพฯ รวมระยะทาง 760 กิโลเมตร ใช้เวลา 26.04 ชั่วโมง ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2550 เขาปั่นจากภูเก็ต-กรุงเทพฯ ด้วยระยะทาง 860 กิโลเมตร ใช้เวลา 29.15 ชั่วโมง และครั้งที่ 3 อลัน เบท เดินทางจาก อ.เชียงของ เข้าตัวเมืองเชียงรายด้วยระยะทาง 105 กิโลเมตร ใช้เวลา 2.42 ชั่วโมง ซึ่งการปั่นจักรยานทั้ง 3 ครั้งของ อลัน เบท สามารถทำลายสถิติโลกได้ทั้งหมด และทุกครั้ง "อลัน เบท" ยังเริ่มเดินทางในวันที่ 5 ธันวาคมด้วย

 

...และครั้งล่าสุด "อลัน เบท" ได้ลงมือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ปั่นจักรยานถวายในหลวง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2553 โดยก่อนเดินทางรอบโลก "อลัน เบท" ได้ไปร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นเขาได้เดินทางไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า สถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ โดยแผนการของ อลัน เบท คือการเริ่มปั่นจักรยานลงใต้ไปสู่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ นั่งเครื่องบินข้ามไปยังออสเตรเลีย ปั่นต่อไปที่นิวซีแลนด์ ซานฟราสซิสโก นิวยอร์ก แคนาดา อาร์เจนตินา อุรุกวัย บราซิล โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส ลอนดอน ย้อนกลับไปฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อข้ามฝั่งไปยังเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เยอรมนี ตุรกี อินเดีย พม่า และมุ่งสู่เชียงของ ก่อนจะมาสิ้นสุดระยะทางที่กรุงเเทพฯ อันเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะปั่นจักรยานผ่าน 20 ประเทศ ด้วยระยะทางกว่า 29,500 กิโลเมตร ที่ไม่นับรวมการเดินทางโดยรถยนต์ และเครื่องบิน ภายในเวลา 165 วัน และอีกหนึ่งความหวังของ "อลัน เบท" ที่มีต่อการปั่นจักรยานครั้งนี้คือ การทุบสถิติของ "จูเลี่ยน ซาเยอร์" ที่ได้ปั่นจักรยานรอบโลก ระยะทาง 28,970 กิโลเมตร ในเวลา 165 วัน และฝรั่งหัวใจไทยคนนี้เค้าก็ทำใด้สำเร็จ
...แน่นอนว่า ความพยายามของ "อลัน เบท" ที่จะปั่นจักรยานถวายในหลวง ยังไม่จบอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเขาได้คิดโครงการปั่นจักรยานรอบโลกขึ้น ด้วยความปรารถนาที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมไทย และบอกเล่าพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ออกไปสู่สายตาชาวโลก นอกจากนี้ "อลัน เบท" ยังหวังลึก ๆ ให้การเดินทางของเขาครั้งนี้ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กรุ่นใหม่ ก้าวเข้ามาเป็นนักกีฬาที่มีประสิทธิภาพต่อไป...

และโดยตลอดการเดินทาง "อลัน เบท" จะได้บอกเล่าเรื่องราวต่างผ่านการสื่อสารทางเฟซบุ๊ก (Facebook) ไฮไฟว์ (hi5) และเว็บไซต์ที่สนับสนุนช่วยเหลือการเดินทางของ "อลัน เบท" ครั้งนี้

 

...อลัน เบท กล่าว
..."ผมอยากใช้ชื่อไทยว่า นายอิสระ เพราะปัจจุบันคนเกิดมาพร้อมประสาทสัมผัสที่เย้ายวน ให้คนหลงในวัตถุจนเกินไป แต่จากประสบการณ์การปั่นจักรยานมาหลายแห่งในเมืองไทย ได้เห็นความงดงามหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ ทำให้รู้สึกชีวิตมีอิสระ"
......"ผมอยากทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และพิเศษเท่าที่จะทำได้ ผมทำสิ่งที่เชื่อมั่นว่า ดีที่สุดเพื่อตอบแทนแผ่นดินไทย ผมรู้สึกประทับใจภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของในหลวง พระองค์ท่านทรงเก็บสุนัขข้างถนนมาเลี้ยง ถ้าเป็นคนมีเงิน คงหาสุนัขพันธุ์ดี ราคาแพงมาเลี้ยง ผมได้ศึกษาโครงการพระราชดำริและนำมาปรับใช้กับชีวิต"
..."สิ่งที่ผมทำเพื่อเป็นของขวัญให้คนไทย เพราะผมอยากเป็นคนไทย สัญชาติไทย หากวันที่ผมขี่จักรยานกลับมาเมืองไทย แล้วผมรู้ว่า ผมได้สัญชาติไทย ก็คงดี เพราะโลกจะได้บันทึกว่า ผมเป็นคนไทยที่ขี่จักรยานรอบโลกและทำลายสถิติได้สำเร็จ" 
แต่ประโยคที่เค้าทิ้งท้ายไว้ได้น่ารักคือ “ผมรักเมืองไทย และรักในหลวง”

ที่มา-- oknation.net/blog-- kapook.com