30.6.12

ทดสอบรักจากความคิดถึง

 

   วันนี้เอาแบบทดสอบรักจากความคิดถึงมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ เพื่อนๆเคยคิดถึงใครมากๆไหม และเวลาที่เื่พื่อนๆคิดถึงใครมากๆ เพือนๆจะทำอย่างไร เราลองมาทำแบบทดคำทำนายนี้กันเลยดีกว่าค่ะ


1.ถ้าหลงยุคไปในสมัยคุณทวดยังหน้าเด้ง เธอจะเลือกวิธีไหน เพื่อแก้อาการคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล?

a.ฟิตร่างกายแล้วเดินเท้าไปหา

b.เขียนจดหมายผูกขานกพิราบ

c.เขียนจดหมายจ้างคนไปส่ง

d.อาของที่ระลึกมาดูต่างหน้า

2.เพื่อนเธอกำลังจะได้โกอินเตอร์ไปเรียนเมืองนอก สิ่งที่เธอจะมอบให้เพื่อเค้าจะได้คิดถึงเธอคือ…?

a.รูปถ่ายเธออัดใส่กรอบอย่างดี

b.สมุดบันทึกที่เธอเขียนไปแล้วครึ่งเล่ม

c.หนังสือนิยายที่มีนางเอกชื่อเดียวกับเธอ

d.ทอล์กกิ้งดิกเผื่อมีปัญหาคุยกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง

3.และแล้วเพื่อนเธอก็หายเข้ากลีบเมฆไป เธอจะทำยังไงเมื่อคิดถึงเค้ามาก?

a.โทรหากันให้วุ่นวาย

b.ส่งอีเมลล์วันละ 10 รอบ

c.ถามแก็งค์เพื่อนว่า เค้าติดต่อหาใครบ้างไหม

d.ไปบ้านเค้าแล้วถามข่าวคราวจากญาติ

4.วันหนึ่ง เพื่อนที่นึกหน้าแทบไม่ได้ นึกชื่อยิ่งไม่ออก โทรมาบอกว่าคิดถึงเธอเหลือเกิน เธอคิดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเค้าน่าจะเป็นอะไร?

a.ขอความช่วยเหลือ

b.โทรมาบอกข่าวดีสุดเซอร์ไพรส์

c.คิดถึงเธอด้วยใจจริง ๆ

d.ไม่ ๆ เค้าไม่ใช่เพื่อนเธอแน่ ๆ


************************************


เอาหล่ะเรา่มาดูคำเฉลยกันค่ะ

1.วิธีโบราณที่เธอเลือกใช้เมื่อคิดถึงใครสักคน ทำนายว่าถ้าเธอกล้าส่งจดหมายบอกรักใครสักคนเธอคาดหวังการตอบรับอย่างไร?

a.ฟิตร่างกายแล้วเดินเท้าไปหา = สิ่งที่เธอคาดหวังในเบื้องต้น หลังจากที่อุตส่าห์ส่งเลิฟเลตเตอร์บอกรักไป อยากให้เค้าตอบกลับมาว่าเค้ายังไม่มีแฟน เพราะเธอคงหัวใจสลายถ้าเค้าบอกไว้ “รับรู้ในความปราถนาดี แต่ว่ามีแฟนอยู่แล้ว” เธอคงต้องซดน้ำแห้วผสมน้ำตาอยู่นานเชียวละ จนกว่าจะเจอที่หมายใหม่หรือจนกว่าจะแยกย้ายแล้วไม่ได้เจอกันอีก

b.เขียนจดหมายผูกขานกพิราบ = จุดประสงค์เดียวในการส่งจดหมายรักของเธอก็คือ การที่เค้าจาได้รู้ว่าเธอน่ะชอบเค้ามากแค่ไหน เพราะเธอเป็นคนรักที่เอาแต่ใจ ไม่สามารถรักใครที่อยู่ใกล้แล้วหัวใจเต้นอ่อนได้เลย ไม่ว่าเค้าจะรัก เกลียด เธอหรือไม่ นึกเหรอว่าเธอจะสนใจจนเลิกรัก ถึงจะรู้ว่ายังไงยังไงต้องอกหัก ก็จะรักซะอย่างใครจะทำไม

c.เขียนจดหมายจ้างคนไปส่ง = สิ่งที่เธอคาดหวังไม่ใช่เค้า แต่เป็นการที่ได้ใครสักคน อยากมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าบ้าง เพราะให้ความสำคัญกับคำว่ารักน้อยกว่าคำว่าแฟน ดังนั้นเธอจึงเป็นคนที่ให้โอกาสทุกคน โดยไม่สนใจว่าต้องรักก่อนหรือไม่ เรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ของเด็กสายพันธุ์ใหม่ ที่ลัดขั้นตอนปลูกต้นรักก่อน ไม่จำเป็น

d.เอาของที่ระลึกมาดูต่างหน้า = นี่คงจะเป็นความกล้าครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตละมั้ง ของการส่งจดหมายให้ใครสักคน แต่ถ้าทำได้เธอจาต้องได้รับเชิญไปออกรายการมหัศจรรย์บันทึกโลกเลยทีเดียว เปรียบเทียบแล้วคนเป่าสากเงียบมากเท่าไหร่ ความรักของเธอเงียบกว่าหลายเท่า แล้วจะยังต้องคาดหวังอะไร เอาเป็นว่ากล้าเขียนจดหมายให้ได้ก่อนละกัน



2.ของที่ระลึกที่เธอจะมอบให้เพื่อเค้าจะได้คิดถึง ทำนายว่าเธอจะทำยังไงเพื่อแอบบอกใบ้ให้เค้ารู้ว่าเธอรักเค้า

a.รูปถ่ายเธออัดใส่กรอบอย่างดี = คนขี้อายแบบเธอจาทำอะไรได้มากไปกว่าการแอบมองเค้าอยู่ห่าง ๆ เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกัน เมื่อเค้าเข้าใกล้เธอจะรีบเด้งดึ๋ง วิธีบอกใบ้ให้คนที่เธอแอบปลื้มรู้ความในใจคือการแสดงออกทางสายตา เผื่อเค้าหันมาสบตาคนหน้าธรรมดาแต่มีลูกตาดำเป็นรูปหัวใจ ก็อาจทำให้เค้ารู้ได้ว่ามีใครกำลังแอบชอบอยู่

b.สมุดบันทึกที่เธอเขียนไปแล้วครึ่งเล่ม = เธอเป็นคนฉลาดและมั่นใจ แต่เพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์ จะให้เดินไปบอกโต้งๆ ว่าเรารักนายก็จะดูห้าวเกินใสไปหน่อย เธอจึงต้องใช้แผนการต่างๆ นานา เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจ อย่างเช่นสืบดูว่าเค้าชอบคนแบบไหน เพื่อที่เธอจะได้แปลงกายเป็นคนในฝันของเค้า ถ้าเค้าเผลอไผลมาจีบเธอเข้าก็เจ๋ง

c.หนังสือนิยายที่มีนางเอกชื่อเดียวกับเธอ = เธอเป็นคนใสซื่อ ไม่ค่อยมีอะไรซ่อนเร้น วิธีบอกใบ้ว่า ณ ตอนนี้ หัวใจเธอเป็นของเค้าเรียบร้อยเลยออกจะตรงไปตรงมา ไม่ค่อนซ้อนเร้นปิดบัง เพราะเธอไม่ค่อยคาดหวังว่าเค้าจะรักเธอตอบหรือไม่ เพียงแต่เธออยากบอกให้เค้ารู้ใจเธอเท่านั้น วิธีการเขียนจดหมายสารภาพความในใจ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

d.ทอล์กกิ้งดิกเผื่อมีปัญหาคุยกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง = เธอเป็นคนที่จริงใจและคิดว่าการทำอะไรเพื่อคนที่ชอบน่ะ มันทำให้หัวใจเธออิ่ม สุขมากกว่าอะไร ยิ่งถ้าเค้าเต็มใจรับความปราถนาดีที่เธอมอบให้ หัวใจเธอยิ่งพองเป่งเข้าไปใหญ่ วิธีบอกใบ้ของเธอคือ ไม่ว่าเค้าต้องการอะไรเธอจะคอยอำนวยความสะดวกให้ ไม่ว่าจะยากแค่ไหน แต่เพื่อให้เค้าพอใจเธอทำได้ทั้งนั้นแหละ



3. วิธีที่เธอเลือกจาทำเมื่อเก็บความคิดถึงไว้ไม่ไหว ทำนายว่าเธอมีความกล้าหว่านเสน่ห์ หรือบอกรักใครก่อนแค่ไหน

a.โทรหากันให้วุ่นวาย = ในเมื่อการบอกรักใครสักคน ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายพูดไปก็ไม่ติดคุก คนมั่น ทันโลกอย่างเธอ ถึงไม่พูดว่า “ชอบ” ตรงๆ แต่การโปรยยาเสน่ห์ของเธอ มันก็ออกจะชัดเจนโปร่งใส ว่ามีใจให้ ชนิดที่ต่อให้คนซื่อบื้อขนาดไหนก็น่าจะดูออก ว่าเธอคิดยังไง เพราะยาเสน่ห์ของเธอออกฤทธิ์ร้าย ชนิดตายยกรังทีเดียวล่ะ

b.ส่งอีเมลล์วันละ 10 รอบ = เธอจะกล้าโปรยเสน่ห์ ก็ในเฉพาะที่ลับหูลับตาคนเท่านั้น เพราะต่างคนก็ต่างใจ คนอื่นอาจจะเก็บเอาท่าหว่านเสน่ห์อันพิสดารของเธอ ไปเม้าท์ในตอนที่เมาน้ำอัดลมก็ได้ ส่งผลให้เธอต้องไปติดต่อขอซื้อปี๊ปจากคนขายของเก่า เอามาขัดล้างใว้คลุมหัว แต่ถ้าอยู่ในจังหวะที่เหมาะๆ ตาต่อตารับรองว่าเค้าต้องถูกเธอปาเสน่ห์ใส่เป็นเข่ง

c.ถามแก็งค์เพื่อนว่า เค้าติดต่อหาใครบ้างไหม = เธอเป็นประเภทต้องดูทิศทางลมก่อนจะโปรยผงเสน่ห์ ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าปาเข้าไปของอาจเข้าตัว เพราะเธอก็เป็นพวกมีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ถ้าเห็นว่าไม่มีทีท่าน่าจะเล่นเกมตบมือสองข้างกับเธอด้วย ขืนแสดงทีท่าออกไปก็เปลืองทรัพยากรฟรี เสียแรงตบมือข้างเดียวเปล่าๆ แต่ถ้าเค้าดูมีใจเธอไม่ปล่อยให้เค้าลอยนวลชัวร์

d.ไปบ้านเค้าแล้วถามข่าวคราวจากญาติ = ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะชอบผู้หญิงก๋ากั๋นกล้าหว่านเสน่ห์ แทนที่จะจับยามสามตาหรือหอบเงินไปหาหมอลักษณ์ช่วยฟันธงให้ เธอจะใช้วิธีสืบนิสัยเค้าจากคนใกล้ตัว ถ้าเค้าชอบผู้หญิงเปรี้ยวซ่า เธอก็จะสาดผงเสน่ห์เต็มที่ แต่ถ้าเค้าเป็นเพื่อนกับเต่าหัวโบราณเห็นว่ามันไม่ใช่งานของเกิร์ลแล้วค่อยว่ากันอีกที



4. จุดประสงค์ของคนๆ นั้น ทำนายว่า เธอกล้าพอไหมถ้าต้องไปเจอหนุ่มที่แชทด้วยตัวต่อตัว


a.ขอความช่วยเหลือ = ใจอยากจะกล้าหรอกนะ แต่คนสมัยนี้น่ะไว้ใจได้ที่ไหน บังเอิญเธอเติบโตมาได้เพราะเมล็ดข้าวไม่ใช่กองฟาง ถึงจะได้กล้าเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ถ้าเค้าขอเจอเธอแบบเดี่ยวไม่เอี่ยวเพื่อนไปด้วย แสดงว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอยู่ในหัวแน่ แล้วเรื่องอะไรเธอจะต้องไปด้วยละ ไม่มีทางชัวร์!!

b.โทรมาบอกข่าวดีสุดเซอร์ไพรส์ = เธอนี่อะไรๆ ก็ดีไปหมด เสียอย่างเดียวเชื่อคนง่าย ทั้งที่เค้าไม่ใช่ญาติพี่น้องสักหน่อย เหตุผลเพราะเธอเป็นคนมั่นใจว่าตาไม่ถั่วน่าจะมองคนไม่ผิดชัวร์ ดังนั้นเมื่อเค้าชวนเธอไปเจอะแบบตัวต่อตัว เธอถึงกล้าที่จะไปเพราะเชื่อว่าคนเรายังไงก็ไม่มีพิษ อาการคันเพราะกลากเกลื้อนคงไม่กำเริบแน่

c.คิดถึงเธอด้วยใจจริงๆ = เหตุผลของการไปเจอเค้าตัวต่อตัว ก็เพราะเธออยากรู้ว่าที่แชทผ่านนิ้วจิ้มทุกวันน่ะ เค้าน่าจะผสมเรื่องโม้สักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังแอบหวังว่าเรื่องเซอร์ไพรส์ น่าจะเป็นเรื่องดี ประมาณว่าเค้าน่าจะหล่อกว่าที่บรรยาย จะไม่แอบหวังมากไปหน่อยหรือจ๊ะ ระวังเจอเรื่องเซอร์ไพรส์กลับด้านแล้ว จะชิ่งหนีไม่ทัน

d.ไม่ๆ เค้าไม่ใช่เพื่อนเธอแน่ๆ = สำหรับคนที่เธอแชทด้วยไม่มีตัวตนจริง ๆ หรอก ถึงมันจะบอกได้ว่าเธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่นั้นก็เป็นการป้องกันตัวเองให้พ้นภัยได้เป็นอย่างดี เพราะเธอเป็นคนเชื่อใจคนที่อยู่ในโลกความจริงมากกว่า พวกที่หน้าสี่เหลี่ยมเป็นจอคอมพิวเตอร์น่ะ เธอไม่รู้สึกว่าจะต้องให้ความสำคัญถึงขั้นรู้จักกันเป็นตัวเป็นๆ สักหน่อย



credit -- sanook.com

28.6.12

อ่านนิสัยใจคอจากการใส่แว่นตา




     วันนี้เอาการอ่านนิสัยใจคอจากการใส่แว่นตามาฝากเพื่อนกันค่ะ เรามาลองดูกันสิว่าคนใกล้ตัวเรานี้เค้าเป็นคนมีลักษณะนิสัยอย่างไรกันบ้าง


แว่นตากรอบเงิน
ผู้ที่มักใส่แว่นสายตากรอบเงิน หรือกรอบสีบรอนซ์เสมอ เป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัีวเองไม่น้อย เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ดื้อดึง เกเร เหมือนเด็กๆในบางครั้ง
แต่ก็เป็นคนมีชีวิตชีวา ร่าเริงสดใส อยากรู้ อยากเห็น ไม่เฉื่อยเฉยต่อการดำเนินชีวิต มีความคึกคักกระตือรือร้นในสิ่งที่สนใจ แต่ก็เป็นคนที่เบื่อง่ายพอสมควร

แว่นตากรอบทอง
แว่นตากรอบทองเป็นเเว่นประจำตัวของคนที่มีนิสัยใจคอเรียบง่าย ไม่ชอบความขัดแย้ง มักใส่ใจในการปรับปรุงบุคลิกภาพ และการพัฒนาตนเอง ดูคล้ายคนเชื่อมั่นในตัวเองลึกๆ แล้วบางครั้งก็ไม่ค่อยจะมีความมั่นอกมั่นใจในตัวเองเท่าใดนัก

แว่นตากรอบกระ
ผู้ที่ชอบสวมแว่นตากรอบกระเป็นคนที่ยึดมั่นในตัวเองสูง เป็นคนมีรสนิยมดี หัวเเข็ง เอาจริงเอาจังในทุึกเรื่อง มีความคิดลึกซึ้ง แต่มัีกขาดอารมณ์ขัน และขาดการสร้างสีสันแปลกๆ ใหม่ๆ ให้กับชีวิตของตนเอง

แว่นตากรอบดำ
แว่นตากรอบสีดำเป็นแว่นประจำตัวของคนที่มีความอ่อนไหว รัีกอิสระ อาจดูเหมือนคนคร่ำเคร่ง แต่ีที่แท้แล้วเป็นคนรักสนุก รักเพื่อน มีน้ำใจไมตรี รสนิยมดี ชอบความคลาสสิค ชอบความแตกต่าง

แว่นตากรอบใหญ่
ผู้ที่ชอบสวมแว่นตากรอบใหญ่ มัีกเป็นคนที่ชอบความมั่นคง ไม่ชอบเสี่่ยง ไม่ชอบผจญภัย กลัวการเปลี่ยนแปลง และไม่ิค่อยจะมั่นอกมั่นใจในตนเองมากนัก  คนประเภทนี้มักจะเป็นคนขี้บ่น ขี้น้อยใจ แต่ก็ใฝ่รู้ และไม่ใช่คนที่มีพิษมีภัยกับใคร

แว่นตาเลนส์สี
คนที่ไม่สวมแว่นสายตาเลนส์ใสๆ แต่เลือกเลนส์ที่มีสีอ่อนๆ คือเป็นคนที่มีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ชอบความขัดแย้ง แม้จะขี้บ่น จุกจิกจู้จี้ และตระหนี่ในบางเรื่อง แต่ก็เป็นคนที่มีความคิดอ่านกว้างไกล รักเพื่อนและมีระเบียบวินัยเสมอ

คอนเเทคเลนส์
ผู้ที่มักสวมใส่คอนเเทคเลนส์เป็นประจำมากกว่าที่จะสวมแว่นสายตานั้น เป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตนค่อนข้างสูง กล้าเผชิญปัญหาในทุกสถาณ์ และต่อต้านการควบคุมบงการในทุกรูปแบบ

27.6.12

เคล็ดลับการเลือกแว่นให้เข้ากับรูปหน้า



        ทุกวันนี้จุดประสงค์ของการสวมแว่นกันแดดเบี่ยงเบนไป     กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับกายหรือให้เข้ากับแฟชั่นเสื้อผ้าเท่านั้นซึ่งแว่นที่ผลิตจากวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐานจะไม่สามารถป้องกันรังสียูวี   ไม่เพียงทำให้การมองภาพผิดเพี้ยน ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่รถ ทำให้กล้ามเนื้อตาหรือประสาทตาล้า เกิดอาการข้างเคียง วิงเวียนศีรษะตามมา ที่สำคัญ หากใส่เป็นเวลานานยังเสี่ยงเกิดโรคต้อเนื้อ ต้อลม หรือต้อกระจกได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแว่นกันแดดที่ใช้ได้มาตรฐานหรือไม่เราก็ต้องทำการเช็คคุณภาพเเว่น โดยก่อนซื้อทุกครั้งควรดูใบแจ้งคุณภาพว่าแว่นทำจากวัสดุชนิดใดผู้ที่มีความจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับแสงแดดจ้า เช่น ขับรถในเวลากลางวัน เล่นกีฬาหรือทำงานกลางเปลวแดด ควรเลือกแว่นกันแดดชนิดโพลาลอยด์ ซึ่งมีส่วนประกอบของโพลาไรซ์เพลต มีคุณสมบัติป้องกันแสงที่สะท้อนผ่านเลนส์ ไม่ทำให้สายตาพร่ามัว ทั้งยังช่วยตัดแสงที่เข้ามากระทบกับดวงตาได้ดีอีกด้วย ป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้หรือไม่ ดูจากค่า CE บนฉลากที่ทำกับแว่น ตามหลักฐานขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา กำหนดไว้ว่า แว่นกันแดดที่ได้มาตรฐานอย่างน้อยต้องสามารถป้องกัน UVA ได้ 95 เปอร์เซนต์ และ UVB 99 เปอร์เซ็นต์ กรองแสงได้กี่เปอร์เซ็นต์ หากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความสว่างมาก เช่น นักปีนเขาควรเลือกเลนส์ที่สามารถลดความเข้มแสงได้สูงถึง 97 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการใช้งานทั่วๆไป เช่น การเดินเล่นตามชายหาดหรือขับรถ เลือกเลนส์ที่ตัดแสงได้ 70-90 เปอร์เซ็นต์ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว และเลนส์ต้องไม่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยว หรือกระจายสีรุ้ง วิธีการตรวจสอบความบิดเบี้ยวทำไ้ด้ง่ายๆ โดยการาจ้องมองเลนส์ข้างหนึ่งไปยังภาพวัตถุึที่เป็นเส้น (เช่น แนวเส้นกระเบื้องปูพี้น) จากนั้นขยับเเว่นช้าๆ เลนส์ที่ดีต้องไม่ทำให้เส้นตรงนั้นเปลี่ยนเป็นคดงอในขณะขยับแว่น


       เลือกสีเลนส์ก็ควรจะให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน

       เลนส์สีชา น้ำตาล หรือเทา ไม่เพียงเหมาะสวมใส่ในสภาพแดดจ้า โดยเฉพาะแดดชายทะเลหรือบนภูเขา แว่นกันแดดที่มีกระจกเลนส์สีนี้จะช่วยให้มองเห็นโครงร่างต่างๆ ของวัตถุได้อย่างชัดเจน ในวันที่ท้องฟ้าขมุกขมัวมีหมอกจัด แว่นชนิดนี้ยังทำหน้าที่เสมือนไฟตัดหมอกของรถยนต์ช่วยให้ผู้สวมใส่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น


       เลนส์สีเหลืองหรือทอง เหมาะกับการใช้ในภูมิประเทศที่มีหิมะ ไม่เหมาะใส่ขณะขับรถ เพราะอาจทำให้การมองสีไฟจราจรผิดเพี้ยนไป

      เลนส์ม่วงหรือสีกุหลาบ เหมาะกับใช้ในการเดินป่าล่าสัตว์หรือเล่นกีฬาทางน้ำที่มาจาก mcot.net

      เลือกเลนส์คุณภาพดี อาจจ่ายแพงหน่อย แต่แลกกับสุขภาพตาคู่สวย ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

      และนอกจากเลือกเลนส์ได้แล้วก็ต้องดูให้รับกับใบหน้าด้วย ว่าเหมาะกับใบหน้าหรือไม่ เช่น หากคุณเป็นคนหน้ากลม ควรเลือกกรอบแว่นที่ช่วยทำให้รูปหน้าคุณดูยาวขึ้น คือ กรอบทรงเหลี่ยม หรือ เป็นลักษณะที่มีเหลี่ยมๆ มุมๆ สักหน่อย เพื่อลดความกลมแป้นของใบหน้า และควรเลือกกรอบแว่นที่มีสีเข้ม เช่น สีดำ สีน้ำเงินเข้ม น้ำตาลเข้ม สีกระ


  
       หากคุณเป็นคนหน้าเหลี่ยม ที่ส่วนใหญ่จะมีโหนกแก้มสูง และกรามใหญ่ ควรเลือกกรอบแว่นที่มีลักษณะกลมมน โค้งมน หรือรูปวงรี เพื่อช่วยลบเหลี่ยมบนใบหน้าให้น้อยลง และควรเลือกเลือกกรอบแว่นที่สวมแล้วอยู่ในระดับเดียวกับโหนกแก้ม เพื่อปิดบังความนูนสูงโหนกแก้มนั่นเอง

      หากคุณเป็นคนหน้าสามเหลี่ยม (หน้าผากกว้าง คางแคบ) ควรเลือกแว่นที่สร้างความสมดุลให้กับใบหน้า คือแว่นทรงกลม หรือวงรี และกรอบแว่นต้องบาง มีสีอ่อน ควรเลี่ยงกรอบใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม แกนหนา หรือสีสด

      หากคุณเป็นคนหน้ารูปไข่ ถือว่าโชคดีมาก ๆ เลยค่ะ เพราะใส่อะไรก็สวย เพียงแค่สังเกตถึงความเหมาะสมนิดหน่อย คือถ้าคุณจมูกโต ก็ควรเลือกกรอบแว่นโต ๆ ถ้าจมูกยาว ให้เลือกกรอบแว่นที่มีก้าน 2 เส้นบนจมูก ส่วนคนจมูกเล็ก ให้เลือกกรอบแว่นที่มีก้านระหว่างจมูกสูง และมีสีอ่อน ๆ หน่อยค่ะ





25.6.12

อ่านนิสัยใจคอจากการได้รับคำชม



        เชื่อหรือไม่ว่าการที่บุคคลแต่ละคนที่รับได้คำชมนั้น จะมีปฏิกริยาที่สามารถบอกนิสัยของเจ้าตัวได้ ว่าเป็นคนนิสัยอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูคนรอบๆข้างเรากันดีกว่า ว่าเมื่อเค้าได้รับคำชมนั้น เค้ามีอากัปกริยาอย่างไร และเราจะรู้ได้ว่าเค้ามีนิสัยอย่างไรค่ะ

รับคำชม
เมื่อถูกชมแล้วมักกล่าวคำขอบคุณ หรือรับคำชมอย่างสุภาพ ลักษณะอย่างนี้เป็นนิสัยของคนซื่อตรง ไม่มีจริตมารยา หรือเลห์เหลี่ยมใดๆ มีอารมณ์มั่นคงเข้มเเข็ง

โต้ตอบ
ถ้าเอ่ยชมผู้ใดแล้วคนคนนั้นตอบโต้กลับมา เช่น หยอกเย้าว่า พูดถูกใจจัง หรือถามว่าจริงหรือเปล่า ลักษณะเเบบนี้จะเป็นนิสัยของคนที่อารมณ์ดี ขี้เล่น มีน้ำใจไมตรี ไม่ถือตัว ช่างพูดช่างเจรจา

เห็นด้วย
ถ้าถูกชมแล้วผู้ใดแสดงความเห็นด้วยกับคำชมนั้นเสมอ เช่น ถ้าชมว่าชุดสวย แล้วคนผู้นั้นตอบว่าแน่หล่ะ เพราะออกเเบบเอง หรือตัดเย็บเอง แสดงว่าเขาหรือเธอเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง มีอารมณ์ขัน ใฝ่รู้่ และทะเยอทะยานสูง


24.6.12

มาลดความอ้วนด้วยการกิน”ไข่”กันเถอะ


        วันนี้ไปเจออ่านเจอวิธีการลดความอ้วนด้วยการกินใข่มาฝากเพื่ อนกันค่ะ ซึ่งน่าสนใจมาก เพื่อนๆเชื่อหรือไม่ว่าจริงๆแล้ว การทานไข่ กลับช่วยทำให้คอเรสเตอรอลลดลงค่ะ ไข่ ก็คือ โปรตีน

       ด้วยความที่ ไข่ คือ โปรตีน, ดังนั้น โปรตีนจะช่วยปิดกั้นให้ แป้ง และ น้ำตาล ถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในปริมาณน้อยๆ ช้าๆ ส่งผลให้ อินซูลิน จะออกมาไม่มาก ร่างกายก็จะสร้างคอเลสเตอรอลลดลงนั่นเองค่ะ

       จากนี้ไป มั่นใจให้ไข่อยู่ในเมนูอาหารลดความอ้วน ของคุณได้แล้วนะคะ ไข่คน ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แกงจืดไข่ ไข่พะโล้ ผัดผักใส่ไข่ ผัดซีอิ้วใส่ไข่ ข้าวผัดใส่ไข่หันกลับมากินไข่ ช่วยอุดหนุนเกษตรกรไทยกันค่ะ

      การกินไข่ สามารถกินได้ถึงวันละ 2 ฟองค่ะ แต่ไม่ควรมากกว่านี้ เพราะ โปรตีน ควรจะมาจากหลายๆแหล่งทั้งจาก เนื้อสัตว์ และ จาก พืช ด้วยค่ะ*

     ข้อแนะนำสำหรับ ผู้ทานมังสวิรัติ ในการทานอาหารที่สมดุล เช่น ถ้าจะทานไข่ เป็นโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ก็ควรทานไข่แดงแค่ 2 ฟองค่ะ แต่ถ้าต้องการทานมากกว่านี้ ให้ทานเฉพาะ ไข่ขาว ค่ะ

     เทคนิค คือ ทานให้เป็นค่ะ ไม่มากหรือน้อยเกินค่ะ ยึดเดินทางสายกลางค่ะเหมือน การกิน เพื่อ ลดความอ้วน เน้นว่าทุกอย่างกินได้หมดค่ะเพียงแต่เราต้องรู้จักกินให้เป็นเท่านั้นเองค่ะ และต้องกินได้อย่างมีความสุข โดยคุณก็ยัง ผอม และ มีสุขภาพที่ดี ได้ตลอดไปค่ะ

* ไข่ มีคุณค่าของโปรตีน เทียบเท่ากับเนื้อสัตว์และ ยังมีคุณค่าสารอาหารอื่น ที่เหนือกว่าเนื้อสัตว์ เช่น โอเมก้า 3 เลซิธิน Lecithin วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E วิตามิน B – 5 Pantothenic Acid วิตามิน B – 12 โฟลิคแอซิด ไบโอติน ฟอสฟอรัส แมงกานีส เหล็ก ไอโอดีน ทองแดง แคลเซียม สังกะสี

* โปรตีน ใน ไข่ขาว และ ใน ไข่แดง มีโปรตีนในปริมาณ เท่าๆกันค่ะโดย โปรตีน ใน ไข่แดง จะมีชนิดที่มี กำมะถัน Sulfur – Bearing Amino Acid อยู่ด้วยซึ่งมีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant ค่ะ

       นอกจากนี้ ยังมีส่วนประกอบของลิวทีน Lutein ซีแซนธีน Xeaxanthin แคโรทีนอยด์ Carotenoids เป็น สารต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant ที่ป้องกัน โรคมะเร็ง บำรุงสายตา และป้องกัน ไม่ให้สภาพร่างกายเสื่อมโทรม ก่อนวัยอันควรได้อีกด้วยค่ะ

credit -- tinyurl.com

23.6.12

อ่านนิสัยใจคนเมื่อแนะนำให้รู้จักกัน



        เพื่อนๆเชื่อหรือไม่ว่า การที่เราได้รู้จักพบปะผู้คนในแรกพบนั้น กริยาท่าทางของเค้าก็สามารถบ่งบอกถึงนิสัยของผู้ที่เรารู้จักใหม่ได้ เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามีลักษณะอย่างไรกันบ้าง เพื่อนลองสังเกตกันดูค่ะ


ยิ้มและสบตา
ผู้ที่ยิ้มแย้มและสบสายตาในยามที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักและทักทายกันนั้น เป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูง มีความเป็นมิตร ร่าเริงสดใส กล้าหาญ และชอบความตื่นเต้น

หลบสายตา
ขณะที่ถูกแนะนำให้รู้จักกัน แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลัีบหลบสายตา ไม่กล้่าจ้องมองตรงๆ แสดงว่าฝ่ายนั้นเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่มีความมั่นใจในตนเอง รักสงบ ไม่ชอบเข้าสังคม

เขินอาย
คนที่มีท่าทีเขินอายเสมอกับคนที่ถูกแนะนำให้รู้จักกันเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย ขี้อาย ช่างคิดช่างฝัน จริงใจ ละเอียดละอ่อน เจ้าระเบียบและขยันขัีนเเข็ง

เขินแต่ควบคุมอาการ
คนที่มีอาการเขินอายแต่ก็พยายามควบคุมอาการความเขินด้วยการวางมาดหรือฟอร์มให้ปรกติ เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองนัก แต่เป็นคนมีศิลปะในการพูดจา กระตือรือร้น รักความก้าวหน้า ชอบเฮฮาปาร์ตี้

หลบสายตาแต่ลอบสังเกตุ
เมื่อแรกถูกแนะนำนั้น ถ้าผู้ใดมีท่าทีเขินอายไม่กล้าสบตา แต่พอเวลาผ่านไปสักครู่ก็กล้าลอบมองสังเกตุอีกฝ่าย แสดงว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองพอควร ไม่ใช่คนขี้อาย แต่มีความคิดอ่านลึกซึ้งเสมอ

ทักทายเป็นกันเอง
คนที่แสดงความเป็นกันเองเสมอกับคนที่เิ่พื่งรู้่จักกันนั้น เป็นคนที่มีมิตรไมตรีดี ชอบความเีรียบง่าย มีความอบอุ่นประนีประนอม มัีกแสวงหาความประท้บใจเสมอ แต่ลึกๆ แล้วค่อนข้างถือตัว และเลือกที่จะสนิทสนมกับผู้คน

ชมกลับ
คนที่มักชมผู้อื่นย้อนกลับไปเสมอหลังจากได้รับคำชม เป็นคนที่รักอิสระ เชื่อมั่นในตัวเองสูง เจ้าอารมณ์ ไม่บ้ายอเท่าใดนัก

ถ่อมตัว
เมื่อถูกชมแล้วถ้าเป็นผู้ใดมักจะปฏิเสธในเชิงถ่อมตัว แสดงว่าคนนั้ืนเป็นคนรักสงบ ไม่ชอบความโดดเด่น มีความมั่นใจในตัวเองไม่น้อย มีความรับผิดชอบสูง ไม่ชอบความโดดเด่น มีความมั่นใจในตัวเองไม่น้อย มีความรับผิดชอบสูง สติปัญญาดี


22.6.12

วิธีฟิตหุ่นให้สวย .. แบบไม่พึ่งเครื่องออกกำลังกาย





       ในวันหยุดที่จะถึงนี้เพื่อนๆจะมัวแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บ้านกันทำไมเอ่ย เราลองมาหากิจกรรมฟิตหุ่นให้สวยเช้งด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องออกกำลังกายดีกว่า พอดีไปอ่านเจอมาก็เลยอยากให้เพื่อนๆหุ่นสวยๆกันถ้วนหน้าค่ะ

* 10 นาที ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยออกกำลังกายเบา ๆ หลังตื่นนอน เพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานมากกว่าเดิม และความเพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าสำหรับวันหยุดสุดสบายนี้

* 15 นาที ใช้เวลาขณะดูนั่งทีวีหรือคุยโทรศัพท์ออกกำลังกายเบา ๆ โดยการเกร็งหน้าท้องเข้าออกและบิดเอวไปมา หรือยืนตัวตรงปล่อยไหล่สบาย ๆ แขม่วท้องแล้วผ่อนหายใจออกอย่างต่อเนื่อง ช่วยกระชับกล้ามเนื้อท้องให้เฟิร์มขึ้น

*  20 นาที เดินเร็ว ๆ ก่อนมื้ออาหารกลางวันและเย็น ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานดียิ่งขึ้น

*  30 นาที หาดีวีดีออกกำลังกายที่คุณชอบมาลองทำตามที่บ้าน โดยสลับสับเปลี่ยนดีวีดีออกกำลังกายที่สนใจไปเรื่อย ๆ เช่น อาทิตย์นี้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก อาทิตย์ถัดไปออกกำลังกายแบบโยคะ ฯลฯ การออกกำลังกายเป็นประจำทุกสัปดาห์จะช่วยให้คุณร่างกายแข็งแรงและหุ่นเฟิร์ม เร็วขึ้น

*  35-40 นาที มีงานวิจัยรายงานว่า ระบบเผาผลาญในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลงหลังจากตื่นนอน 8 ชั่วโมงแล้ว คุณจึงควรไปวิ่งออกไปกำลังกายในช่วงเวลา 17.00-19.00 น. ประมาณ 35-40 นาที ให้ระบบเผาผลาญกลับมาทำงานตามปกติ แถมช่วยสลายไขมันขณะนอนหลับได้ดี

*  60 นาที ออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะหรือเดินชอปปิ้งไม่เพียงเป็นการพักผ่อนหย่อนใจใน ช่วงวันหยุดแต่ยังช่วยเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่คุณกินเข้าไปมากมายการเดิน เล่นแค่ 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญได้ถึง 240 แคลอรี

*  90 นาที งานบ้านทุกอย่างสามารถช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้อย่างเช่น ขัดห้องน้ำ 1 ครั้ง เผาผลาญพลังงานได้ 55 แคลอรี ล้างรถ 1 ครั้ง เผาผลาญพลังงานได้ 350 แคลอรี รีดผ้า 1 ครั้ง เผาผลาญพลังงานได้ 300 แคลอรี

*  2 ชั่วโมง การดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้ว ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำซึ่งจะทำให้คุณหิวมากขึ้นและกินหนักกว่าเดิม

*  8 ชั่วโมง คนที่นอนหลับสนิทครบ 8 ชั่วโมง และเข้านอนไม่เกินเที่ยงคืน ระบบเผาผลาญจะทำงานได้ดีมากกว่าคนอดนอนถึง 40% รู้อย่างนี้แล้วอย่ามัวไปเป็นตระเวนท่องราตรีจนใบหน้ามัวหมอง รีบกลับบ้านเข้านอน พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อผิวสวยสุขภาพดีกันดีกว่าน๊าเำพื่อนๆ.....


credit -- lisa

21.6.12

บริหารกระชับ "ใบหน้า"

  


      วันนี้เอาวิธีการบริหารกระชับใบหน้ามาฝากเพื่อนกันค่ะเอาแต่แต่งหน้าโบ๊ะนั่นโบ๊ะนี่กันอยู่ทู้กกกก...วัน รู้ไหมว่าหน้าเราๆก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ งั้นเรามาบริหารกระชับกล้ามเนื้อหน้าดีกว่า

         เรามาเริ่มจากห่อปากเป็นรูปวงกลม แล้วออกเสียง "อู-อิกซ์" เพื่อกระชับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของใบหน้า

         จากนั้นตรึงผิวบริเวณขมับขึ้นแล้วกะพริบตาแรงๆ เพื่อกระชับกล้ามเนื้อส่วนบนใบหน้า 

       อันดับสุดท้าย กำมือหลวมๆ ไว้ใต้คาง แล้วกดศีรษะลงเพื่อกระชับกล้ามเนื้อคอ 

          ไม่ยากเลยใช่ไหม ให้เวลากับตัวเอง ทำซ้ำท่าละ 3 ครั้ง แต่นี้จะรู้สึกว่าใบหน้ากระชับขึ้นแล้วล่ะค่ะ


credit -- 108lady

20.6.12

เคล็บลับหยุดความหิว!




วารสาร Science ของอเมริการายงานว่า การลองนึกถึงภาพตัวคุณเองกำลังนั่งกินอาหารแบบคำต่อคำ จะช่วยลดปริมาณอาหารที่คุณกินจริง ๆ

ทั้งนี้ นักวิจัยได้ทดลองใช้เทคนิคนี้ขณะกินขนม M&M พบว่า ผู้ลองกินขนมลดลง 61 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นดังนี้เพราะการจินตนาการว่าเรากำลังกินอยู่ ส่งผลให้สมองเราเชื่อว่าได้กินอาหารแล้ว ซึ่งจะลดความอยากของร่างกายได้


ดร.แครรี่ มอร์เวอจ์ แห่ง Carnegie Mellon University ประจำเมืองพิตต์เบิร์ก อเมริกา กล่าว

เคล็ดลับนี้ต้องใช้จินตนาการล้วน ๆ มันก็น่าจะเวิร์ค! นะคะสาว ๆ ไม่ลองไม่รู้นิ.....

credit -- เดลินิวส์ออนไลน์

19.6.12

สัญญาณเตือนของโรคตับ

  


สุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเมื่ออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งของร่างกายทำงานผิดปกติ ย่อมบั่นทอนสุขภาพของผู้เป็นเจ้าของให้ทรุดโทรมลง คงไม่มีใครอยากให้โรคภัยต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอวัยวะที่เรียกกันว่า “ตับ”

ตับ อวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา มีหน้าที่ผลิตน้ำดี เพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน และกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย นอกจากนั้นยังช่วยผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดได้ด้วย ส่วนโรคเกี่ยวกับตับนั้นมีหลายชนิดทั้งตับอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือจากสารพิษ กรรมพันธุ์ หรือภาวะภูมิแพ้ตนเอง ตับแข็งเกิดจากการสะสมของเนื้อเยื่อแข็งที่ทดแทนเซลล์ตับที่ตายไป โดยมักเกิดจากเชื้อไวรัส ภาวะพิษสุราเรื้อรัง หรือการได้รับสารพิษต่างๆ ผู้ป่วยโรคตับมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน  โรคตับ เป็นโรคร้ายที่กว่าเราจะรู้ตัวก็อาจจะสายไปเสียแล้ว แต่ถ้าหากเรารู้เท่าทันอาการ เราก็อาจรักษาได้ทันท่วงทีและอาจจะป้องกันได้  วันนี้จึงมีข้อสังเกตอาการเบื้องต้นของโรคนี้ สัญญาณบ่งบอกของการเป็นโรคตับ เพื่อที่จะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีมาฝาก.....

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคตับจำนวนมาก โดยสถิติมะเร็งตับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในผู้ชาย และเป็นอันดับ3 ในผู้หญิง รองจากมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม และมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงในเพศชาย อายุมากกว่า45 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปื หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ ในปีหนึ่งๆ พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งตับเกิดขึ้นใหม่อีกเพียบ และอาจมีผู้ที่เป็นโรคพยาธิใบไม้ในตับ และมักเป็นมะเร็งของท่อทางเดินน้ำดีภายในตับเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ซึ่ีงอาการแรกที่พบคือ

-เครียด ขี้หงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียว ตกใจง่าย 

-ปวดแน่นชายโครงเป็นบางครั้ง มีอาการตึงเกร็งที่กล้ามเนื้อช่องท้อง ปวดท้องน้อยบ่อย หรือรู้สึกร้อนวูบวาบในช่องอก 

- นอนหลับยาก มักง่วงนอนตอนกลางวัน และอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง 

- รู้สึกมีอะไรจุกอยู่ในคอหอย จะกลืนก็ไม่ลง จะคายก็ไม่ออก และเบื่ออาหาร ท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย เรอบ่อย 

- ผิวหน้าซีดเหลือง ไม่มีเลือดฝาด มีฝ้าบนใบหน้า 

-มุมปากและริมฝีปากหมองคล้ำ ลิ้นออกสีม่วงคล้ำ ขอบลิ้นมีรอยกดทับของฟัน 

- เจ็บหรือคัดเต้านม โดยเป็นหนักขึ้นช่วงก่อนมีประจำเดือน สำหรับผู้หญิง และปวดหน่วงอัณฑะ สำหรับผู้ชาย 

- รู้สึกหายใจไม่เต็มท้อง ต้องถอนหายใจบ่อย ๆ 
- ท้องร่วงหรืออุจจาระหยาบไม่จับตัวเป็นก้อน 

credit -- เดลินิวส์ออนไลน์

18.6.12

ไดเอ็ทด้วยการทานตามกรุ๊ปเลือด

 


     วันนี้เอาวิธีการไดเอทตามกรุ๊ปเลือดเป็นการลดน้ำหนักแบบไม่รีบร้อน เพราะถ้าเรารีบร้อนลดน้ำหนัก มันก็จะขึ้นแบบรวดเร็วทันใจเหมือนกันค่ะ เพราะว่า… กว่าเราจะสะสมน้ำหนักได้ขนาดนี้ก็ใช้เวลาหลายปี ดังนั้นการที่จะลดน้ำหนักเหลือเท่าเดิมก็ต้องใช้เวลาพสมควรเหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นเรามาลดน้ำหนักโดยการทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดกันดีกว่าค่ะ

       การรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด จะส่งผลดีในระยะยาว เพื่อสุขภาพควรรับประทานผักสดและผลไม้ที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือดมากๆ เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน กรุ๊ปเลือดแต่ละกรุ๊ปมีความแตกต่างกัน จึงต้องเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรังบางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่เพราะอาหารประเภทใดก็ตาม ถ้าเรารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ อาหารทุกอย่างจะมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง หากเลือกใช้ให้ถูกวิธีจะดีกับร่างกายมากค่ะ เพราะสุขภาพที่ดีมาจากการเอาใจใส่ร่างกาย การใช้ชีวิตประจำวันที่ถูกต้องและเหมาะสมค่ะ

กรุ๊ปเลือดโอ : จัดเป็นพวกโปรตีน (High Protein Diet)

ลักษณะเด่นของเลือดกรุ๊ปโอ คือน้ำย่อยในระบบย่อยอาหารมีความเป็นกรดสูง ซึ่งเหมาะกับอาหารประเภทเนื้อแดงหลายชนิด ผักและผลไม้ส่วนใหญ่มีประโยชน์กับกรุ๊ปเลือดโอ แต่นมวัวและชีสแทบทุกชนิดจะย่อยยากสำหรับคนเลือดกรุ๊ปโอ ที่สำคัญที่สุดคือ การหลีกเลี่ยง จนถึงการงดการรับประทานแป้งสาลี เพราะเลคตินในแป้งสาลีจะทำปฏิกิริยาที่เป็นผลเสียและรบกวนระบบเผาผลาญของร่างกาย

สิ่งที่ควรเน้นเพิ่มคือปลาและอาหารทะเล ทั้งนี้เพื่อเพิ่มแคลเซียมซึ่งร่างกายไม่ได้รับจากนมวัว และเพิ่มไอโอดีนเพื่อประโยชน์ของฮอร์โมนไทรอยด์ซึ่งมักจะไม่คงที่

อาหารที่ควรรับประทาน

- เนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง ยกเว้นเนื้อหมู เนื่องจากกระเพาะของคนกรุ๊ปเลือดโอมีความเป็นกรดสูงย่อยอาหารได้เร็วและดูดซึมได้ดีมาก

- อาหารทะเล ควรรับประทานเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัวและไทรอยด์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายในคนกรุ๊ปเลือดโอ

- ผักผลไม้ที่ดี ได้แก่ บร็อคโคลี่ สปินิช คะน้า สับปะรด พลับ ลูกพรุน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญอาหาร

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

- อาหารทุกชนิดที่ทำจากแป้งสาลี เพราะจะมีปฏิกิริยาต่อระบบย่อยและระบบเลือด ทำให้น้ำหนักเพิ่มและเสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อม

- ผักจากพวกกะหล่ำ ที่จะมีผลต่อระบบไทรอยด์ เห็ดหอม มะเขือยาว มันฝรั่งและข้าวโพดไม่ดีต่อกรุ๊ปเลือด

- เครื่องดื่มประเภท ชา กาแฟและเบียร์ ซึ่งจะเพิ่มกรดในกระเพราะอาหารที่มีมากอยู่แล้วค่ะ

กรุ๊ปเลือดเอ : จัดเป็นพวกมังสวิรัติ (Vegetarian Diet)

คนกรุ๊ปเลือดเอมีน้าย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ ทำให้ไม่เหมาะกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อแดง เพราะจะย่อยได้ยาก และเป็นเหตุให้เกิดสารท็อกซินขึ้นในร่างกาย เพราะฉะนั้นควรหันมารับประทานเนื้อสัตว์เบาๆคือ ประเภทเนื้อปลาและเนื้อไก่แทน แต่ควรเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียวและประจาระเม็ดเพราะปลาพวกนี้จะมี สารเลคตินที่รบกวนระบบย่อยของกรุ๊ป A

ที่น่าจะระวังเป็นพิเศษ คือ อาหารสำเร็จรูปประเภทไส้กรอกหรือแฮมเพราะมีสารประกอบไนเตรทอยู่มาก สามารถกระตุ้นการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารซึ่งมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ รวมทั้งเพิ่มการรับประทาน วิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานที่ดีของระบบภูมิคุ้มกันและยังช่วยลดปัญหาเรื่องของกรดในกระเพาะอาหารต่ำอีกด้วย

อาหารที่ควรรับประทาน

- ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ถั่วลิสงจะดีมาก เพราะมีเลคตินที่ต่อต้านมะเร็ง

- ผักผลไม้ที่ดี ได้แก่ หอมใหญ่และบร๊อคโคลี่ มีสารแอนตี้อ็อกซิเด้นท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขมและกระเทียม ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน สับปะรด ส้มโอและมะนาวมีกรดที่ช่วยย่อยและเพิ่มการทำงานของ ลำไส้เล็ก

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

- อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้ย่อยยากและเกิดการสะสมของไขมัน อาจทำให้เป็นโรคหัวใจและมะเร็ง ควรหันมารับประทานเนื้อไก่และเนื้อปลาแทน

- ผลิตภัณฑ์นมวัว และเนย ซึ่งจะชะลอระบบเผาผลาญอาหารและเกิดเสมหะเพิ่มขึ้น

- อาหารประเภทดองและอาหารสำเร็จรูป เช่น ไส้กรอกและแฮม เพราะมีไนไตรท์ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ง่ายสำหรับคนกรุ๊ปเลือดเอที่มีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ

- ผักผลไม้ ได้แก่ มะเขือเทศ ส้ม แตงโม แคนตาลูป เพราะจะทำให้ย่อยยาก

- เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมและเบียร์ค่ะ

กรุ๊ปเลือดบี : จัดเป็นพวกผสมผสาน (B–BALANCE)

ลักษณะเด่นคือ คนกรุ๊ปเลือดบีเป็นกรุ๊ปเดียวที่สามารถรับประทานอาหารประเภท นมวัว เนย และไข่ได้ตามปกติ ยกเว้น เนยแข็งรสเข้มเพราะจะย่อยยาก นอกจากนั้นยังรับประทานเนื้อสัตว์ได้หลากหลายในขณะที่เรื่องของพืชผัก ผลไม้นั้นรับประทานได้หลายชนิด โดนเฉพาะผักใบเขียว

ถึงแม้คนกรุ๊ปบีจะมีระบบย่อยที่ค่อนข้างสมดุลที่สุดแต่ยังคงต้องระวังเป็นพิเศษกับเนื้อไก่ ซึ่งมีเลคตินที่รบกวนระบบเลือด อย่างมาก สามารนำไปสู่อาการเส้นเลือดแตกในสมอง และภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ คนกรุ๊ปบีควรเปลี่ยนไปใช้ไก่งวงแทนเนื้อไก่จะเป็นทางเลือกที่ดีมาก และอีกประการหนึ่งคือ ควรงดหอยเชลล์ ปลาแซลมอนชนิดรมควัน กุ้ง ปู และหอยแครง ซึงเป็นอาหารที่ยังอยู่ในข่ายต้องสงสัยเช่นกัน

อาหารที่ควรรับประทาน

- อาหารจำพวกนมเนยไข่ ให้ประโยชน์อย่างมากต่อกรุ๊ปเลือดบี

- เนื้อแกะ ไก่งวงและกระต่าย และปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ ปลาจาระเม็ด

- ผัก ผลไม้ให้ผลดีเกือบทุกชนิด ควรรับประทานมากผักมากๆ เพื่อป้องกันโรคที่มาจากเชื้อไวรัสและภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นง่ายในคนกรุ๊ปเลือดบี

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

- เนื้อหมู และเนื้อไก่ ซึ่งจะรบกวนระบบเลือดที่อาจจะนำไปสู่อาการทางสมองและโรคข้อเสื่อม

- ถั่วต่างๆ ไม่ดีต่อคนกรุ๊ปเลือดบี โดยเฉพาะถั่วลิสงและงา ซึ่งจะรบกวนระบบอินซูลิน ที่จะทำให้เกิดการลดน้ำตาลในเลือดเฉียบพลัน

- อาหารทุกชนิดที่ทำจากแป้งสาลี ข้าวโพด ซึ่งมีผลต่อระบบเผาผลาญอาหารและจะทำให้น้ำหนักเพิ่ม ควรรับประทานข้าวเจ้าและเบเกอรี่ที่ทำจากแป้งสเปลท์แทน

- ผัก ผลไม้ ที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างเคร่งครัด ได้แก่ มะเขือเทศ ข้าวโพด มีมีผลต่อกระเพาะอาหารและระบบการย่อยอาหารและการลดน้ำตาลในเลือดเฉียบพลันค่ะ

คนกรุ๊ปเลือดเอบี : จัดเป็นพวกลูกผสมของกรุ๊ปเอและบี

คนกรุ๊ปเลือดเอบีนั้น มีลักษณะการรับประทานอาหารให้เหมาะสมค่อนข้างซับซ้อน เพราะเป็นส่วนผสมของลักษณะเลือดจากกรุ๊ปเอและกรุ๊ปบี ซึ่งนั่นหมายถึงอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายของคนเลือดกรุ๊ปเอและอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายคนเลือดกรุ๊ปบี ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายคนเลือดกรุ๊ปเอบีด้วย

แหล่งโปรตีนที่เหมาะสมได้แก่ อาหารทะเล (ยกเว้นปลาเนื้อขาวแลแซลมอนรมควัน) เต้าหู้ เนื้อแดง บางชนิด เช่น เนื้อแกะ และกระต่าย แต่ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากนักในแต่ครั้งครั้ง จึงจะย่อยได้ดี ที่สำคัญ คือ ควรรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายในแง่ป้องกันมะเร็ง คนกรุ๊ปเอบีควรหลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปประเภทไส้กรอกและแฮมซึ่งมีสารประกอบไนเตรต์เช่นเดียวกับคนกรุ๊ปเลือดเอ

อาหารที่ควรรับประทาน

- ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองและเต้าหู้ และอาหารจำพวกนมเนยไข่ แต่ทานได้ไม่มากนัก

- อาหารทะเล เนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงในปริมาณน้อยๆ ในแต่ละครั้ง เพราะร่างกายผลิตน้ำย่อยไม่เพียงพอในการย่อยโปรตีนที่มากเกินไป

- ผักสด มีประโยชน์มากๆ เพราะเป็นอาหารสำคัญที่สามารถป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายในคนกรุ๊ปเลือดเอบี

- ผลไม้ที่มีไวตามินC สูง เช่น ส้มโอ เชอร์รี่ สับปะรด จะช่วยต้านมะเร็งและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับหัวใจ

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

- เนื้อวัวเนื้อหมูและปลาแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร

- ถั่งแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้างโพด ชะลอการทำงานของอินซูลิน อาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเฉียบพลัน

- อาหารประเภทดองและอาหารสำเร็จรูป เช่นไส้กรอดและแฮม เพราะอาจทำให้เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารค่ะ

หวังว่าคงไม่ยากจนเกินไปนะคะ เพราะถ้าเราลองทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดแล้ว และเราทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้ออย่าอดอาหาร เพียงแต่เราทานมื้อเช้ากลางวันเต็มที่ ส่วนมื้อเย็นเบาหน่อยค่ะ เพราะถ้าหากเราอดอาหารหรือไม่ทานอาหาร เราจะยิ่งอ้วนและถ้าเรายิ่งเครียด เราก็จะยิ่งอ้วนขึ้นค่ะ ขอให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สามารถลดน้ำหนักได้ตามที่ตัวเองต้องการนะคะ รับรองว่าทุกคนต้องทำได้แน่นอนค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกๆคนค่ะ รวมทั้งตัวเองด้วย เหอะๆๆๆ


credit -- Nongda Oh



17.6.12

ความลับน่ารู้ของการเผาผลาญพลังงาน

 


      วิธีการเผาผลาญพลังงานอย่างง่าย ๆ ก็คือการดื่มน้ำนั่นเองมาดูกันว่า มีวิธีไหนเด็ดๆ บ้าง

1. ร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากกว่า เวลาย่อยอาหารและเครื่องดื่มเย็นจัดจริง แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปกินไอศกรีม ฟังนี่ก่อน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นอาจเล็กน้อยมากจนเห็นไม่ได้ชัดเจน โดยงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัด ๆ 5-6 แก้วต่อวัน อาจช่วยคุณเผาผลาญได้มากขึ้นราว 10 แคลอรีต่อวัน แต่ถึงแม้มันจะเล็กน้อยมาก ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะดื่มของเหลวไม่มีแคลอรีอย่างน้ำเปล่า ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่ครีมและน้ำตาล) กับน้ำแข็งเพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

2. การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายคุณทั้งหมด รวมทั้งการเผาลาญพลังงานต้องอาศัยน้ำ ถ้าคุณขาดน้ำ คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้น้อยลงราว 2% นี่เป็นผลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ซึ่งติดตามดูระดับการเผาผลาญพลังงานของผู้ใหญ่ 10 คนในขณะที่ดื่มน้ำในปริมาณที่ต่างกันในแต่ละวัน โดยคนที่ดื่มน้ำแก้วละ 8 ออนซ์ 8-12 แก้วต่อวันมีระดับการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนที่ดื่มแค่สี่แก้ว

3. อาหารเผ็ดร้อนจะทำให้ระบบเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น  เพราะแคปไซซิน สารประกอบที่ทำให้พริกมีความเผ็ดร้อนช่วยขับเหงื่อ ที่อาจทำให้การเผาลาญพลังงานของคุณเพิ่มขึ้น พร้อมทำให้รู้สึกอิ่มและลดความหิว การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินพริกราว1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งเท่ากับแคปไซชิน 30 ม. ทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 23%  ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ให้คนกินพริก 0.9 กรัมผสมในน้ำมะเขือเทศ หรือในรูปแคปซูล ก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ นักวิจัยพบว่า แต่ละคนลดปริมาณการรับแคลอรีลงไปได้ราว10 หรือ 16% เป็นเวลาสองวันหลังจากนั้น

4.     การกินโปรตีนช่วยให้การเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้นจริงโปรตีนให้ประโยชน์ทางด้านการเผาผลาญเมื่อเทียบกับไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานมากกว่าในการย่อยมัน การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้มากถึงสองเท่า ในขณะย่อยโปรตีนมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ตามปกติอาหารของเราจะมีโปรตีนราว14% ลองเพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัว (โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงเพื่อชดเชย) คุณจะเผาผลาญได้เพิ่มขึ้น 150-200 แคลอรีต่อวัน

credit -- lisa


16.6.12

7 วิธีช่วยฝึกสมองให้ลูกความจำดี




               สมองเป็นอวัยวะที่เป็นศูนย์รวมของความคิด จินตนาการ การวางแผน การแก้ปัญหา ตลอดจนความจำซึงช่วยบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราได้ประสบพบเห็นมาในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจดจำชื่อและลักษณะของคนที่เราเพิ่งรู้จัก การจดจำชื่อสิ่งของที่เราต้องใช้ การจด
จำชื่อสถานที่ ๆ เราได้ไปมา

               สมองส่วนความจำของคนเรานั้นสามารถพัฒนาได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยสูงอายุเลยทีเดียว ซึ่งวิธีพัฒนาสมองส่วนความจำสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1.เขียนสมุดบันทึก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกจดบันทึกเรื่องราวต่างๆลงในสมุดบันทึกเป็นประจำทุกวัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยฝึกทักษะเรื่องของภาษาในการเขียนและการลำดับเรื่องราวอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ยังช่วยฝึกให้ลูกรู้จักการรวบรวมความคิดและฝึกการจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่พบเจอในแต่ละวันที่ผ่านมาได้ด้วย นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจจัดเตรียมปฏิทินที่มีช่องว่างของวันที่แต่ละวันไว้ให้ลูกได้ฝึกเขียนแผนการที่จะทำในแต่ละวันลงในปฎิทินนั้นเพื่อเป็นการฝึกการช่วยจำของลูกด้วย เช่น ในคืนวันศุกร์ลูกจะเขียนแผนการที่จะต้องทำในวันเสาร์ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ลูกก็จะต้องนึกทบทวนถึงกิจกรรมที่เขาต้องทำ เป็นต้นว่าตอนเช้าต้องไปตลาดกับคุณแม่ หลังรับประทานอาหารเช้าต้องทำการบ้านที่เหลืออยู่ให้เสร็จ ตอนบ่ายช่วยคุณพ่อล้างรถ ตอนเย็นพาสุนัขไปเดินเล่น นอกจากวิธีนี้จะช่วยจัดระบบความคิดและความจำให้ลูกแล้ว ยังช่วยสร้างวินัยในการดำเนินชีวิตให้กับลูกได้เป็นอย่างดี

2.เล่นเกมพัฒนาความจำ คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมเกมที่ช่วยฝึกความจำให้แก่ลูก เช่น เกมครอสเวิร์ด เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมหาคำศัพท์ เกมบิงโก เกมต่อจิ๊กซอว์ เกมเหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำของสมองเป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยให้มีสมาธิและฝึกความอดทนในการที่จะต้องพยายามแก้ปัญหาให้สำเร็จ

3.ดนตรีช่วยเพิ่มความจำ ดนตรีเป็นสื่อที่นอกจากจะช่วยคลายเครียด พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการให้แก่เด็กแล้ว ยังช่วยเพิ่มทักษะในด้านความจำของเด็กที่ได้ผลดีเป็นอย่างมากอีกด้วย เพราะการที่เด็กได้ฟังเพลง ร้องเพลงและเล่นเครื่องดนตรี เด็ก ๆ จะต้องใช้ความจำในเรื่องของการจดจำทำนอง เนื้อร้องและจังหวะของแต่ละบทเพลง นอกจากนี้การเล่นเครื่องดนตรี เด็กๆต้องฝึกอ่านโน้ตดนตรี ซึ่งเป็นการฝึกในเรื่องของความจำโดยตรงอีกด้วย

4.ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิเป็นวิธีการที่ดีมากอย่างหนึ่งในการช่วยเพิ่มพลังความจำอย่างได้ผล การทำสมาธิสำหรับเด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องให้เขาฝึกจิตให้สงบด้วยการนั่งสมาธิเอามือประสานกันวางไว้ที่ตักแล้วท่อง ยุบหนอ พองหนอ เพราะบางครั้งวิธีนี้อาจใช้ไม่ได้สำหรับเด็กบางคนเนื่องจากเขาอาจรู้สึกอึดอัด แต่การทำสมาธิสำหรับเด็กง่าย ๆ คือหมายถึงการที่เขาได้พักสงบกับตนเอง เช่น การที่เด็กได้นอนหนุนตักคุณพ่อคุณแม่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบสงบในเวลาประมาณ15นาที ก็เป็นการฝึกสมาธิได้แล้ว การฝึกสมาธิจะช่วยผ่อนคลายความเครียดและช่วยเตรียมให้สมองได้เปิดรับการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ และจดจำบทเรียนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

5.รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความจำ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ทานอาหารที่มีคุณค่าและช่วยเพิ่มความจำ เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งมีวิตามินบีสอง กรดโฟลิค ที่ช่วยป้องกันสมองเสื่อม นอกจากนี้ควรให้ลูกทานเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพราะมีธาตุเหล็กที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายในเรื่องของความจำได้


6.การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของความจำของเด็กได้เป็นอย่างดี เพราะขณะที่เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะเดิน กระโดด วิ่ง จะส่งผลในการกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ทำให้สมองพร้อมที่จะเปิดรับต่อการจดจำในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้กิจกรรมการออกกำลังตามจังหวะเพลง เช่น แอโรบิคแด๊นซ์ ยังช่วยพัฒนาความจำของเด็กผ่านในการจดจำท่าเต้น ทำนอง และจังหวะของเพลงด้วย

7.นอนหลับพักผ่อน คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกนอนอย่างน้อยวันละ7 ชั่วโมง และไม่ควรให้ลูกนอนเกินวันละ 9 ชั่วโมง เพราะการนอนมากทำให้ความตื่นตัวน้อยลงและทำให้ลูกเกิดความซึมเซา ซึ่งมีผลทำให้ประสิทธิภาพของความจำลดน้อยลง นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรให้ลูกนอนน้อยกว่า7ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะทำให้เด็กขาดสมาธิซึ่งทำให้ความสามารถในการจดจำลดน้อยถอยลงไปด้วยเช่นกัน.....

        จะเห็นได้ว่าการฝึกให้ลูกมีความจำที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาความจำให้กับลูก เช่น กิจกรรมดนตรี กิจกรรมเกม การฝึกสมาธิ การให้ลูกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุและวิตามินครบถ้วน อีกทั้งการให้ลูกได้ออกกำลังกายและนอนหลับพักผ่อนอย่างเหมาะสมเพียงพอ ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่นำมาใช้กับลูกได้ทั้ง7วิธีนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าจะช่วยพัฒนาให้ลูกเป็นเด็กที่มีความจำที่ดีได้อย่างแน่นอน......

15.6.12

ชา กาแฟ ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ?

  



      วันนี้ได้เจอะเจอเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ก็เลยคุยกันสัพเพเหระ รวมถึงการพูดถึงเกี่ยวกับรูปร่างที่เปลี่ยนไปตามวัย ก็อย่างว่าเเหละเนอะ คนเราสังขารมันของไม่เที่ยง หุ หุ ก็พยายามเอาธรรมะมาข่มปมด้อยเข้าไว้กัน  แต่ก็ยังมีการคุยต่อถึงวิธีการลดความอ้วน ด้วยวิธีต่างๆนาๆ และอีกหลายวิธีการ แต่ทีมาแรงกระแสฮิตติดตลาดในระยะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ที่ผ่านมาก็มีาบางข่าวคราวที่น่าสะเทือนใจที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนัก และกินยาเพื่อลดน้ำหนักเกินขนาด จนเป็นอันตรายถึงชีวิต

      ซึ่งหลายๆ ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวคราวในทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ น่าเสียดายที่เรามองข้ามความปลอดภัยของการใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในการลดน้ำหนัก ทำให้แทนที่จะมีสุขภาพดีกลับกลายเป็นอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินเพิ่มขึ้นไปอีก

      และถ้าเราลองมากกดค้นหาใน Google โดยใช้คำว่า ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักหรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก มีรายชื่อ Website เป็นล้าน นี่ขนาดว่าเป็นแค่ Web ภาษาไทยเท่านั้นนะ และจำนวนไม่น้อยเป็นผลิตภัณฑ์ชาหรือกาแฟเพื่อลดน้ำหนัก อันเป็นที่มาของการหัวขอการคุยกันของ web ที่เปิดเจอวันนี้ ระหว่างบทความของหมอ และคนใข้รายหนึ่ง  

       ที่มีคนไข้มาถามหมอว่า เธอซื้อชายี่ห้อหนึ่งมา คนขายบอกว่าให้กินหลังอาหาร 3 มื้อ จะช่วยลดน้ำหนักได้และยังจะช่วยลดระดับ น้ำตาลในเลือดซึ่งเธอกำลังมีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มผิดปกติ

ชา หรือ tea ลดน้ำหนัก

หมอ : แล้วน้ำหนักลดหรือเปล่าล่ะคะ

คนไข้ : ยังเลยค่ะ เหมือนจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่เขาบอกว่าต้อง 2-3 เดือนนะคะถึงจะเห็นผล

คนใข้ด้นเชื่อคนขายมากกว่าเชื่อหมอซะอีกน่ะ ทั้งที่ก็มีแต่  ‘เขาว่า’ ทั้งนั้นแหละค่ะที่จะเห็นผล(ดี) พอเป็น ‘หมอว่า’ บ้างมักจะกลายเป็นเห็นผลตรงกันข้ามไปเสีย

       ทั้งที่่จริงๆแล้ว ที่ชาหรือกาแฟมาฮิตมากในช่วงหลังๆ ในการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักนั้น มีที่มาที่ไปโดยมีการศึกษาทางการแพทย์มาเป็น 10 ปี ที่พบว่ากาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมหลักในชาหรือกาแฟนั้น เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะมีผลในด้าน Thermogenesis ทำให้ร่างกายมีการ เผาผลาญใช้พลังงานมากขึ้น เคยมีการศึกษาของชาเขียว พบว่าถ้าดื่มชาเขียววันละ 5 แก้ว ร่างกายจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 70-80 แคลอรี 
(ซึ่งสำหรับชาเขียวแล้วผลของการเพิ่มการใช้พลังงานของร่างกายเมื่อดื่มชา อาจจะเป็นผลพวงขององค์ประกอบอื่นๆ ในชานอกเหนือจากกาเฟอีน) 
การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากการดื่มชา/กาแฟนี้เองที่ทำให้ผู้ผลิตนำชา/กาแฟมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก

       อันที่จริงหลักการลดน้ำหนักนั้นง่ายมากเลยค่ะ คือกินให้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ เมื่อร่างกายมีการใช้พลังงานมากกว่าที่กินก็จำต้องสลายเอาไขมันที่สะสมตามร่างกายมาเป็นพลังงานแทน แต่การจะเอาไขมันที่พอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกายให้หายไป 1 ปอนด์ หรือเกือบครึ่งกิโลกรัมนั้น เราต้องใช้พลังงานมากกว่าที่ได้จากการกินเข้าไป (Calories Deficit) ถึง 3,500 แคลอรี!

       สมมติว่าเราต้องการลดน้ำหนัก 1/2 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์ นั่นหมายถึงใน 1 สัปดาห์หรือ 7 วันนี้เราต้องมี Calories Deficit ประมาณ 3,500 แคลอรี หรือคิดง่ายๆ ว่าวันละ 500 แคลอรี

       ซึ่งเราจะประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานมากกว่าที่ร่างกายได้รับวันละ 500 แคลอรีได้ 3 ทางคือ

1. กินให้น้อยลงวันละ 500 แคลอรี โดยใช้พลังงานหรือทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลมที่เคยดื่มวันละ 2 ขวด กับเปลี่ยนจากกินข้าวมันไก่มาเป็นสุกี้น้ำไก่ ก็จะลดแคลอรีจากอาหารที่กินได้ประมาณ 500 แคลอรี วิธีนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ และน้ำหนักที่ลดได้มักจะคงอยู่ได้ไม่นาน

2.  กินลดลงบ้าง ร่วมกับการออกกำลังกาย เช่น เลิกดื่มน้ำอัดลม 2 ขวด แต่ยังขอกินข้าวมันไก่ แต่ยอมไปออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ 1 ชั่วโมง วิธีนี้ดีต่อสุขภาพที่สุด และจะลดน้ำหนักได้ถาวรที่สุด (แต่อย่างไรข้าวมันไก่ก็ไม่ควรกินบ่อยนะคะ)

3. ไม่ยอมอดอาหารเลยแต่ยอมออกกำลังกายแทน ซึ่งถ้าเราหนัก 80 กิโลกรัม ต้องการออกกำลังกายเพื่อจะเผาผลาญให้ได้ 500 แคลอรี ต้องพยายามอย่างสูง เช่น วิ่งเหยาะ 1 ชั่วโมง หรือเดินเร็ว 1 ชั่วโมงครึ่ง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จยกเว้นเป็นนักกีฬาที่ต้องออกกำลังกายทั้งวัน

    สำหรับชา/กาแฟ ที่มีฤทธิ์เพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายดังกล่าว จะเปรียบเสมือนกับการออกกำลังกายที่ร่างกายใช้พลังงานเพิ่ม

     ลองดูว่าถ้าเราเลือกทำตามข้อ 3 คือ ดื่มแต่ชา/กาแฟเพื่อช่วยลดน้ำหนัก  แทนการไปออกกำลังกาย อาจจะต้องดื่มชาถึงวันละกว่า 30 แก้ว (ชา 5 แก้วเพิ่มการใช้พลังงานประมาณ 70-80 แคลอรี) ซึ่งคงจะไม่ไหว

      นอกจากนี้กาเฟอีนในชากาแฟหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ถ้าดื่มมากเกินไปอาจจะเกิดปัญหาใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ นอนไม่หลับ ท้องผูก ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน เป็นต้น

       ดังนั้นหมอส่วนมากเค้าก็เลยแนะนำคนไข้กันว่าถ้าอยากจะลดน้ำหนักให้สุขภาพดี คงต้องลงทุนลงแรงด้วยการคุมอาหารบ้าง ออกกำลังกายบ้าง และถ้าตนเองไม่มีข้อห้ามกับการดื่มชา/กาแฟ ก็อาจจะดื่มได้ เช่น วันละ 1-3 แก้ว ไม่ใช่แค่ดื่มชาหรือกาแฟ (โดยไม่ทำอะไรอื่นอีกเลย) แล้วหวังว่าน้ำหนักตนเองจะลดลงได้ แต่ทั้งนี้ระวังนมและน้ำตาลที่ใส่ลงในชา/กาแฟด้วยนะคะ น้ำตาล 2 ช้อนชา ให้แคลอรีเท่ากับข้าว 1/2 ทัพพีค่ะ

credit -- lisa & Woman plus




5 พฤติกรรม..ป้องกันความจำเสื่อม




       เพื่อนที่เป็นมนุษย์ทำงานทั้งหลายที่วัน ๆ สมองวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาไม่เคยได้หยุดพัก ให้ระวังเป็นโรคความจำเสื่อมกันนะคะ และเพื่อนๆคนใหนที่ไม่อยากความจำเสื่อมก่อนวัยอันควร ก็ควรทำตาม 5 พฤติกรรมดังต่อไปนี้ค่ะ เอาหล่ะเรามาดูกันเลยดีกว่าว่ารายละเอียดจะเป็นอย่างไรกันบ้าง…


*  ทานอาหารเช้าทุกวัน โดยขอให้มีผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และอาหารที่มีโปรตีนสูงรวมอยู่ด้วย


กินทุก ๆ 3 – 4 ชั่วโมง และควรกินคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เช่น ธัญพืช หรือผักที่มีแป้ง จำพวกลูกเดือย เผือก มันด้วย


*เลี่ยงอาหารไขมันสูง เป็นไปได้ให้กินอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ก็พอ


* กินอาหารตามหมวดแป้ง หรือธัญพืชไม่ขัดสีอย่างน้อยวันละ 6 ส่วน ผักผลไม้วันละ 8 – 10 ส่วน โดยมีผักใบเขียวอย่างน้อย 2 ส่วน อาหารที่มีแคลเซียมสูง 3 ส่วน จะเป็นนมพร่องไขมัน หรือนมเสริมแคลเซียมก็ได้ กินถั่วต่าง ๆ มีปลา 2 มื้อ และอาหารที่มีโคลีนสูง เช่น ถั่วเหลืองเสริมวิตามินบีรวม วิตามินซี และวิตามินอีเพิ่มเติมเลี่ยงแอลกอฮอล์และสารนิโคติน


*เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนสารปรอท ตะกั่ว และโลหะอื่น ๆ

เอาหล่ะที่นี้เพื่อนก็ห่างไกลโรคความจำเสือมกันแล้วค่ะ

credit -- Woman’s Story

14.6.12

สูตร ลดไขมันในเลือด

 



     ห่างหายไปหลายวันเนื่องจากติดธุระ กลับมาพร้อมกับน้ำหนักที่พุ่งพรวดเดียวอีกเกือบ 5 kg. ก็เลยมีเรื่องคุยเกี่ยวกับไขมันในเส้นเลือดกัน เพราะโรคอ้วนที่เกิดขึ้นมา ส่วนมากจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และอีกหลายๆสารพัดโรคตามมา วันนี้ก็เลยมีสูตรการลดไขมันในเส้นเลือดมาฝากเพื่อนๆและราคาก็ไม่เเพงด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านเรานี่เอง ซึ่งมีดังนี้

สูตรลดไขมันในเลือด (Cholesterol)
      
กระเจี๊ยบ + พุทราจีน + มะตูมแห้ง

วิธีทำ

1. นำกระเจี๊ยบ + พุทราจีน + มะตูมแห้ง จำนวนให้เท่ากัน

2. ล้างให้สะอาด นำใส่หม้อเติมน้ำ 3 ลิตรต้ม

3. ต้มประมาณ 20 นาที แล้วยกลงกรองกากทิ้ง

4. เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย

5. ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น

สรรพคุณ

1. ลดไขมันในหลอดเลือด (ซึ่งเป็นไขมันตัวที่ทำให้หลอดเลือดตีบ)

2. ป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ

3. ล้างหินปูนที่เกาะในสมอง

4. ช่วยแก้อาการสมองเสื่อม

5. ลดความดันโลหิตสูง

6. ช่วยในเรื่องเซลล์ประสาทปลายนิ้วชา

7. ทำให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นได้

8. ช่วยไม่ให้หลอดเลือดเปราะแตกง่าย

9. ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด

10. ช่วยลดอาการของหัวใจโต


credit -- คุณทราย บ้านเพื่อสุขภาพ 





7.6.12

การเขินอายบอกนิสัย.....

  



          เพื่อนๆเชื่อกันหรือไม่ว่าอาการเขินอายของแต่ละบุคคลสามารถบ่งบอกถึงนิสัยของเจ้าตัวแต่ละคนว่าีเป็นคนแบบใหน เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าคนใกล้ตัวของเราๆทั้งหลายเป็นคนนิสัยแบบใหนกัน

  • หน้าแดง

เมื่อใดก็ตามที่ใครคนหนึ่งตกอยู่ในภาวะที่ต้องประหม่าหรือเขินอาย แล้วมีสีหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันทีทันใดนั้น  บ่งบอกได้ถึงลักษณะนิสัยใจคอของคนผู้นั้นว่าเป็นคนที่มีความอ่อนโยน มีน้ำจิตน้ำใจกับเพื่อนฝูงและคนรอบข้างเสมอ แต่ก็หวั่นไหวง่าย เป็นคนค่อนข้างจะใจอ่อนไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเท่าใดนัก แต่ก็เป็นเพื่อนฝูงที่จริงใจ และแสวงหาความรักจากคนรอบข้างเสมอ


  • แกล้งไม่เขิน

ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังเขินหรืออายอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่คุณกลับแกล้งทำเป็นเหมือนไม่อายโดยอาจจะแกล้งชวนคนข้าง ๆ พูดจาไปถึงเรื่องอื่น ๆ หรืออาจจะแกล้งทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแบบไม่รู้ไม่ชี้หรือ แกล้งกลบเกลื่อนความอายนั้นเอาไว้  บ่งบอกได้ว่าท่าทีเช่นนี้เป็นท่าทีของคนที่มีนิสัยมั่นอกมั่นใจใจตัวเอง เป็นคนที่ไม่ชอบเอะอะเกรียวกราววุ่นวายครึกครื้นมากนัก ค่อนข้างชอบความสงบ รักธรรมชาติ รักศิลปะ มีความสามารถในการทำงานค่อนข้างสูง จิตใจหนักแน่น เด็ดเดี่ยว มีความคิดอ่านละเอียดรอบคอบ มีปัญญาดี 


  • ท่าทางปกติ

ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าเมื่อใครสักคนหนึ่งอยู่ในสภาวะที่จะต้องมีความรู้สึกเขินอายแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีใด ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นอกจากจะมีการยิ้มเล็กน้อย แต่ในท่าทีนั้นก็เหมือนกับยามปกติทั่วไป คือมีท่าทีธรรมดา มิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แตกต่างแสดงให้เห็นว่า คนผู้นั้นเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงในระดับหลงตัวเองว่าตัวเองมีทุกอย่างดีหรือเหนือกว่าคนอื่นอยู่แล้ว และค่อนข้างจะเป็นคนเจ้าอารมณ์พอสมควร แต่ก็มีจิตใจดีงามไม่ชอบคิดร้ายเบียดเบียนใคร สามารถที่จะเข้ากับผู้คนได้ง่าย ให้ความเป็นกันเองกับผู้คนได้ มิใช่คนเย่อหยิ่งทะนงตนเพียงแต่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่ถึง อย่างไร ก็ไม่ค่อยจะมีไหวพริบมากนักและขาดความระมัดระวังในตนเอง



  • ทำท่าตลก

ถ้าใครเขินอายแล้วทำท่าตลกกลบเกลื่อนความเขินของตนเองขึ้นมาทันที เพื่อจะทำให้คนอื่นขบขันแล้วตนเองจะได้ไม่รู้สึกเขินอาย ลักษณะท่าทีเช่นนี้บ่งบอกได้ถึงนิสัยที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูงไม่ชอบเปิดเผยหรือแสดงความรู้สึกใดๆให้ใครได้รับรู้ นิสัยของคนที่ชอบทำตลกกลบความเขินอายของตัวเองเช่นนี้ มักเป็นคนที่ชอบเรื่องเสี่ยง เรื่องโลดโผน กล้าผจญภัย รักอิสระ เกลียดระบบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ และมีเสน่ห์มิใช่น้อยโดยเฉพาะเรื่องเสน่ห์ของคารมคมคาย



  • มือเย็น

คนที่เขินอายแล้วมือเย็นนั้นบ่งบอกได้ถึงนิสัยใจคอที่มีความจริงใจ ซื่อตรง เป็นคนที่มีความรู้สึกดี ๆให้กับผู้คนอยู่เสมอสามารถที่จะช่วยเหลือ เผื่อแผ่คนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่ก็มักจะเผื่อช่องว่างไว้ไม่ให้ตนเองได้ใกล้ชิดกับใครมากมายจนเกินไปนัก



  • อึกอักอ้ำอึ้ง

เมื่อคุณรู้สึกประหม่าอายอย่างมากจนกระทั่งมีท่าทีอึกอักอ้ำอึ้งพูดจาอะไรไม่ถูก หรือไม้เกะกะไม่รู้จะวางตัวเช่นใดในสถานการณ์เช่นนั้น แสดงถึงความเป็นคนที่มีจิตใจดี มีอารมณ์ร่าเริงสดใส แต่ก็ไม่ใช่คนที่กระตือรือร้นหรือทะเยอทะยานมากมายนัก เป็นคนรักอิสระ มีความโรแมนติคแต่ก็สับสนในตัวเองไม่น้อย เพราะคนผู้นั้นอาจดูฉลาดปราดเปรื่องแต่ก็ไม่
ได้มีไหวพริบพอที่จะทันคนได้เสมอไป 


******************************************************








5.6.12

10 สาวทีหนุ่มๆต้องงดจีบ

  


        สำหรับผู้ชายแล้วคงไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่ากับการปิ๊งสาวอีกแล้ว แน่แหละพอคุณปิ๊งใคร สิ่งที่ควรทำลำดับต่อไปก็คือหาทางทำความรู้จักเธอให้ได้ ถ้าเธอมีสเน่ห์เย้ายวนน่าสนใจหรือคุณรู้สึกถูกคอด้วยก็คงจะหาทางพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป แต่หากคุณพบหญิงสาว 10 ประเภทนี้ คำแนะนำเดียวที่อยากบอกก็คือ “อย่าเสียเวลาต่อเลย”

1. ผู้หญิงที่ชอบให้ทุกอย่างอยู่ในกำมือ 
นิยามง่าย ๆ ของสาวประเภทนี้ก็คือสาวเผด็จการนั่นเอง เธอจะชอบชี้นิ้วบงการคุณ อยากได้อะไร เมื่อไหร่ คุณก็ต้องสรรหามาให้เธอ คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้ก็คือหัดพูดคำว่า “ได้จ้ะ” ให้ชินปาก

2. ผู้หญิงที่สนใจแต่ผลประโยชน์ 
เข้าทำนองว่าถ้าคุณมีค่าฉันคบ ถ้าค่าคุณถูกลบฉันเลิกนั่นแหละ หญิงสาวประเภทนี้น่ากลัวเอามาก ๆ เธอจะให้ความสนใจเฉพาะเพียงคนที่สนองตอบความต้องการทางวัตถุให้เธอได้เท่านั้น คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้ก็คือภาวนาให้ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เพื่อจะได้ตอบสนองเธอได้ทุกอย่าง

3. ผู้หญิงเอาใจยาก 
สาวประเภทนี้ไม่ว่าคุณจะพยายามทำอะไรให้เธอ สิ่งที่ตอบแทนกลับมามีแค่เพียงความไม่พอใจเท่านั้น ก็เหมือนกับการตักน้ำเทใส่ในตุ่มที่รั่ว ย่อมไม่มีวันเต็มขึ้นมาได้แน่นอน คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือ หันมาเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้นดีกว่า ไม่ช้ำใจด้วย

4. ผู้หญิงเห็นแก่ตัว 
ถ้าคุณยึดมั่นคติพจน์ที่ว่า “ความรักคือการเสียสละ” ล่ะก็ คุณจะพบว่าบางครั้งมันก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน ก็เธอออกจะคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลขนาดนั้น เธอจะไปคิดถึงหัวใจใครได้ล่ะ คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือ ลบคติพจน์แห่งความรักประจำใจข้างต้นไปเสีย

5. ผู้หญิงที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง 
ต่อให้เธอสวยงามสักปานใดแต่ถ้าเธอไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจเอง จิตใจวอกแวก ลังเล มันก็น่ารำคาญเสียจริง ดีไม่ดีขนาดของกิน ของใช้ยังเปลี่ยนใจไปมาเลยแล้วกับคุณ เธอจะไม่โลเลหรือ? คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือให้คุณเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองก่อนด้วยการจากเธอมาซะ

6. ผู้หญิงขี้เหนียว 
สาวประเภทนี้ไม่รู้ว่าจะเคยพกกระเป๋าตังค์ออกจากบ้านหรือเปล่า? คติพจน์ประจำใจของเธอก็คือ “กินได้ จ่ายไม่เป็น” แน่ล่ะ ถ้าคุณจีบเธอก็ต้องเป็นคุณน่ะสิที่ต้องเป็นฝ่ายควักกระเป๋าจ่าย คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้ก็คือสังเกตว่าคนอื่นเรียกคุณว่าอะไร? ถ้าไม่มีคำว่า “เสี่ย” หรือ “เฮีย” นำหน้าก็ถอยดีกว่า

7. ผู้หญิงไม่มีเหตุผล 
สาวประเภทนี้อายุมากขึ้นแต่จิตใจกลับไม่ยอมโตตามแฮะ ถ้าคุณลองคบเป็นแฟนล่ะก็ สัมพันธภาพของคุณกับเธอมีหวังลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นแน่ คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือเสาะหาโรงพยาบาลโรคประสาทดี ๆ สักแห่ง ไม่ใช้สำหรับส่งเธอเข้าไปหรอกนะ แต่เป็นคุณนั่นแหละที่จะเครียดกับความไร้เหตุผลของเธอ

8. ผู้หญิงขี้บ่น 
แม้โดยธรรมชาติของผู้หญิงแล้วมักจะชอบพูดจาเจื้อยแจ้ว แต่ลองสาวไหนพูดได้ทั้งวัน แต่ไม่ได้พูดจาฉอเลาะให้คุณชื่นใจนะ กลับเป็นการหาเรื่องบ่นได้ทุก ๆ เรื่อง ไหนจะด่าคุณอีกถ้าคุณสร้างความไม่พอใจให้เธอ คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือหาซื้อซาวด์อะเบาท์ดี ๆ สักเครื่อง

9. ผู้หญิงที่เป็นลูกสาวคนโปรดหรือคุณหนู 
สาวประเภทนี้ทั้งเอาแต่ใจตัวเอง ออเซาะเก่ง เพียบพร้อมด้วยลูกอ้อนเที่ยวล่าสุด ถ้าคุณริจะปิ๊งเธอก็เตรียมเวลามาโอ๋เธอได้เลย คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้ก็คือเอาเวลาที่จะไปโอ๋เธอมาโอ๋น้องสาวสุดที่รักของคุณแทนดีกว่าเผื่อคุณจะคว้ารางวัลพี่ชายที่แสนดีมาครอบครอง

10. ผู้หญิงชอบเอาเปรียบแฟน 
สาวประเภทนี้จะจับจ่ายซื้อของเพื่อตัวเองแต่ละอย่าง จ่ายได้ไม่อั้น แต่พอจะซื้ออะไรมาฝากคุณบ้างกลับเลือกที่ราคาถูกสุด ๆ ไปไหนมาไหนด้วยกันคุณก็ต้องเป็นฝ่ายลงแรงและลงเงินมากกว่า คำแนะนำสำหรับการจีบสาวประเภทนี้คือแปลงร่างเป็นปูซะ เธอจะได้รีดเลือดจากคุณไม่ได้

       เมื่อรู้แบบนี้แล้วจะปิ๊งสาวไหนก็ดูให้ดีก่อน แล้วจะได้ตัดสินใจถูกว่าจะเริ่มหรือเลิกที่จะสานความสัมพันธ์ต่อไปดี ถ้าเธอเข้าข่ายคุณสมบัติ 10 อย่างที่ว่ามาล่ะก็ ถอยออกมารักษาความสัมพันธ์ไว้แค่เพื่อนดีกว่าเพราะการหาคู่ใจสักคนควรมองอะไรที่มากกว่าความสวย......



แบบทดสอบ…ซิกเซ้นส์ในตัวคุณ

 




1. แจกันในห้องคุณเป็นลักษณะไหน

ก. แจกันสีฟ้ามีดอกไม้สีแดงหรือชมพูปักอยู่   

ข. แจกันสีน้ำตาลข้างในแจกันมีดอกไม้สีฟ้าสด   

ค.แจกันสีครีม ดอกไม้สีม่วง    

ง.แจกันสีขาวมีดอกไม้สีแดงหรือชมพู

2. กระจกในห้อง ตอนที่คุณเข้าไปมันอยู่ในลักษณะใด

ก. วางคว่ำ

ข. วางตะแคงเอียงขวา

ค. วางตะเคียงเอียงซ้าย ง.หงายอยุ่

3.บนโต๊ะเครื่องแป้งของคุณมีอะไรวางอยู่

ก. รูปที่คนรักถ่ายให้

ข.ตั๋วรถเมล์ที่นั่งกับคนรักครั้งแรก

ค. ตั๋วหนังเรื่องแรกที่ไปดูกัน ง. กรอบรูปที่ถ่ายคู่กับคนรัก

4.รูปทรงเตียงนอนแบบไหนที่คุณชอบ

ก. รูปหัวใจ

ข. รูปดาว

ค. รูปแปดเหลี่ยม

ง. รูปวงกลม

5. ระหว่างที่นั่งรอโทรศัพท์คุณจะทำอะไรระหว่างนั้น

ก. นั่งเฉยๆ มองบรรยากาศรอบตัว

ข. มองโทรศัพท์ว่าเมื่อไหร่จะโทรมาสักที

ค. อ่านหนังสือระหว่างที่รอ

ง. เย็บตุ๊กตา

6.ดอกไม้ที่เพิ่งซื้อมาวันนี้คุณคิดว่ามันจะเป็นยังไงถ้าพรุ่งนั้เช้าตื่นมาเห็น

ก. กลีบบานเบอะ

ข. บานสวยกำลังดี

ค. ดอกหายไป

ง. กลีบร่วงหล่นพื้นไปหมดแล้ว

7.ในความฝันของคุณมีภาพสีหรือเปล่า

ก. เป็นบ่อยๆ

ข. นานๆจะฝันสักที

ค. จำไม่ได้

ง. ไม่ว่าเป็นขาวดำหรือสีเพราะแยกไม่ออก

8.คุณชอบอ่านหนังสือประเภทไหน

ก. หนังสือแนวปรัชญาและชีวิต

ข. หนังสือลี้ลับ ชวนสยองขวัญ

ค.หนังสือแนวชวนหัวเราะ ตลกขำขัน

ง. หนังสือแนวโรแมนติก









มาดูเฉลยกันเลยค่ะ

    ก.     ข.      ค.     ง.

  1. 5      0      1       10
  2. 10    5      5       1
  3. 1      5      5       10
  4. 5      1      10     10
  5. 10    1      5       5
  6. 5      5      1       0
  7. 10    5      1       5
  8. 5      10    1       5


60-80 คะแนน

คุณเป็นคนที่มีซิกเซ้นส์ที่น่าเชื่อถือได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่ของตัวเองและของคู่อื่นว่าคนที่คบอยู่ด้วยเป็นคู่แท้หรือคู่เทียม จึงทำให้ใครต่อใครพากันมาปรึกษาและขอคำ แนะนำคุณอยู่เสมอ

45-59 คะแนน

คุณก็พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้บางครั้งเท่านั้น แต่คุณจะเป็นคนที่สังเกตท่าทางและอาการแล้วนำมาประมวลผลว่าใช่หรือไม่

20-44 คะแนน

เรื่องซิกเซ้นส์ของคุณจะไม่มีมากมายอะไร แต่คุณจะใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจที่จะคบใคร เมื่อคบใครแล้วคนๆนั้นไม่ใช่อย่างที่คุณคิดคุณก็จะเลิกทันที โดยไม่ร้องฟูมฟาย อะไร แหม ช่างเป็นสาวที่ใจเด็ดจริงๆ

19 หรือต่ำกว่านั้น

เรื่องซิกเซ้นส์กับคุณดูจะเป็นอะไรที่อยู่ห่างไกลกันมาก แต่คิดในแง่ดีมันก็ดีไปอย่างเพราะจะได้ไม่ต้องมานั่งวิตกกังวลเวลาคบใคร ดีก็คบกันไปเรื่อยๆแต่ไม่ดีก็เซย์กูดบายกัน ไปก็เท่านั้นเอง