20.7.13

ดูแลจิตใจเพื่อสุขภาวะสาว 40+



          วันนี้เอาหลักคิดตามคำแนะนำของนายแพทย์วิโรจน์ ตระการวิจิตร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช และผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน ที่กล่าวไว้ในงานเสวนา “พลังใจสาว 40+”ตอน ประตูสู่ความสำเร็จ และหลักคิดที่จะหยิบยกมาเป็นยาใจสูตรสามัญประจำบ้านในวันนี้เป็นประโยชน์กับสาววัย 40 ปีขึ้นไปที่กำลังอยู่ในช่วงวัยทองและต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จนเกิดความเครียดเชื่อมโยงมาถึงจิตใจ การเสริมความแข็งแกร่ง ดูแลจิตใจเพื่อสุขภาพ ควรเริ่มจากการแบ่งแยกปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียด และภาวะซึมเศร้า โดยมีทั้งจากครอบครัวสาววัย 40 มักจะมีบุตรที่กำลังโตและติดเพื่อน ถือว่าอยู่ในวัยที่ตักเตือนลำบาก งานอันที่จริงสาว 40 จะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง โดยปัญหาด้านนี้อาจมาจากการปกครองคน สุขภาพ ก็คือการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายเพราะฮอร์โมนเพศกำลังจะหมด และสังคม-สิ่งแวดล้อม เป็นสภาพที่พบในวงกว้างทั้งผู้คน หรือสิ่งต่างๆรอบตัว เมื่อทราบที่มาของความเครียดแล้ว ขั้นตอนต่อมาควรสำรวจตนเองเพื่อการปรับปรุง เริ่มจากการสำรวจทัศนคติ วันนี้คุณมีกัลยาณมิตรหรือเพื่อนคู่คิดที่ดีหรือไม่ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีผลต่อทัศนคติของตัวคุณ โดยส่งผลต่อไปยัง ความคิด’ หากคิดอย่างมีระบบเป็นเหตุเป็นผลตามหลักศาสนาย่อมได้ผลลัพธ์ในทางที่ดี หรือออกมาเป็น คำพูด’ ทั้งการพูดกับตนเองหรือสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กับ การกระทำ ที่ควรเป็นไปอย่างมีระเบียบวินัยแบบพอดี ไม่เข้มงวดเกินไป การสำรวจและปรับปรุงทัศนคติ ความคิด คำพูด และการกระทำ ให้เป็นไปในทิศทางที่ดีนั้น จะทำให้คนรอบข้างได้สัมผัสกับลักษณะนิสัยหรือคุณลักษณะประจำตัวของคุณอย่าง ชื่นชม และอาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่ชีวิตคุณได้เผชิญล้วนเป็นผลมาจากทัศนคติของตัวคุณเอง

ที่มา - จากเดลินิวส์ออนไลน์

16.7.13

กาแฟกับสุขภาพ



     
      เพื่อนๆเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบกลิ่นหอมกรุ่นและรสชาติขมอร่อยของกาแฟหรือไม่  กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่แพร่หลายมากรองจากชา เป็นเครื่องดื่มที่พบได้ทั่วทุกหนทุกแห่งทั้งในที่ทำงาน สถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในระหว่างการเดินทางที่ต่างๆของโลก 

       ในเมืองไทยเราก็มีร้านกาแฟในกรุงเทพและต่างจังหวัดจำนวนไม่น้อยมีตั้งแต่กาแฟไทยโบราณไปจนถึงกาแฟนำเข้าจากต่างประเทศนอกจากสารคาเฟอีนแล้วในกาแฟยังมีสารอื่นๆที่มีผลต่อร่างกายอีกมากมาย และเพื่อนๆที่รักการดื่มกาแฟจะอยากรู้กันไหมว่ากาแฟส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพของเราบ้าง 

กาแฟกับหัวใจ

        จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมิถุนายนปี2005 รายงานว่า หลอดเลือดของผู้ที่ดื่มกาแฟมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและในงานวิจัยฉบับนี้ยังได้แนะนำให้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือมีความเสี่ยงอื่นต่อการเกิดโรคหัวใจ(ไขมันในเลือดสูง อ้วน เบาหวาน สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย) ที่ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 3 แก้ว ให้ลดปริมาณการดื่มลง

      ในขณะที่งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนพฤษภาคมปี2006 รายงานว่า การดื่มกาแฟไม่ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แม้จะดื่มมากกว่าวันละ 6 แก้วก็ตาม(โห คนขายกาแฟรวยเละ)

        ส่วนงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคมปี2006 รายงานว่า กาแฟอาจก่อให้เกิดอาการหัวใจพิบัติ (Heart attack) ได้ภายใน 1 ชั่วโมงหลังการดื่ม โดยพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 – 3 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติถึงร้อยละ 60

      ส่วนผู้ที่ดื่มกาแฟน้อยกว่าวันละ 2 - 3 แก้วหรือดื่มเป็นครั้งคราว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติหลังการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่า ที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องจากผู้ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ ร่างกายอาจไม่ชินกับสภาวะที่หัวใจเต้นเร็วขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราวจากการได้รับสารคาเฟอีน จึงทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจพิบัติสูงกว่า

      สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป การดื่มกาแฟอาจเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดอาการหัวใจพิบัติได้มากขึ้นกว่า 2 เท่า 

    ในขณะที่การศึกษาในหญิงวัยหมดประจำเดือนพบว่า อัตราการตายจากโรคหัวใจของผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ1-3 แก้ว น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟถึงร้อยละ24 แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟและสุขภาพหัวใจยังมีความขัดแย้งกันอยู่ แต่สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาก็แนะนำเสริมว่า การดื่มกาแฟพอประมาณหรือวันละ1-2 แก้วไม่น่าจะทำให้เกิดอันตราย

กาแฟกับเบาหวาน

     การวิเคราะห์ข้อมูลจาก 8 งานวิจัยในปี 2005 ได้ข้อสรุปว่า ผู้ใหญ่ที่ดื่มกาแฟวันละ 6-7 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานลดลง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มวันละ2 แก้ว และจากการศึกษาล่าสุดเมื่อปีที่แล้วพบว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ2-3 แก้ว มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานลดลงร้อยละ13 ในขณะที่ผู้ที่ดื่มตั้งแต่วันละ 4 แก้วขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานลดลงมากกว่าร้อยละ40 ซึ่งการค้นพบนี้เป็นที่ประหลาดใจของทีมนักวิจัย

   เนื่องจากในการศึกษาเฉพาะสารสกัดคาเฟอีนพบว่า มีผลในการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลและลดการเผาผลาญน้ำตาล คาเฟอีนจึงน่าจะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานเพิ่มขึ้นมากกว่า ดังนั้นผลในการป้องกันเบาหวานน่าจะมาจากสารอื่นที่อยู่ในกาแฟ แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยยังไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการดื่มกาแฟเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน หากแต่แนะนำให้ป้องกันโรคนี้ด้วยการบริโภคธัญพืชที่ไม่ขัดสี เพิ่มการออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

กาแฟกับมะเร็ง

  มีการศึกษาเกี่ยวกับการดื่มกาแฟกับโรคมะเร็งชนิดต่างๆพบว่าการดื่มกาแฟเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนได้และการดื่มกาแฟปริมาณมากในขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว(ลูคีเมีย) และการดื่มกาแฟเป็นประจำจะยังทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นร้อยละ 60-70

กาแฟช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้

      กาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และนอกจากนี้กาแฟยังมีผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆอีก เช่นช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กิ๊บสัน ช่วยระงับอาการซึมเศร้าและช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง

    โดยมีการพบว่าคาเฟอีนเพียงแค่32 มิลลิกรัม จะช่วยกระตุ้นให้มีสมาธิและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากกว่าวันละ 3-4 แก้วเป็นประจำ จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน

     กาแฟมีมากมายหลายพันธุ และมีวิธีการผลิต และวิธีการชงที่หลากหลาย จึงทำให้กาแฟมีกลิ่นและรสที่แตกต่างกัน ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละพันธุ์ก็ไม่เท่ากัน โดยกาแฟพันธุ์อาราบิก้าซึ่งปลูกมากในบราซิล มีคาเฟอีนประมาณร้อยละ0.8-1.5  ส่วนพันธุ์โรบัสต้าจากแอฟริกา มีสารคาเฟอีนประมาณร้อยละ1.6-2.5 

   นอกจากนี้วิธีการชงกาแฟที่ต่างกันก็มีผลต่อปริมาณสารประกอบต่างๆที่ได้รับจากกาแฟ การชงกาแฟโดยไม่ผ่านการกรองจะทำให้ได้รับสารคาเฟสทอล(cafestol) และคาเวออล(kahweol) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น และทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น

    จากข้อมูลต่างๆเราจะเห็นได้ว่า กาแฟนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคละกันไป ซึ่งไม่ต่างจากทุกสิ่งในโลกนี้ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟควรดื่มอย่างพอเพียง คือไม่น้อยเกินไปเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางสุขภาพจากการดื่มกาแฟ และไม่มากเกินไปเพื่อป้องกันโทษที่เกิดจากกาแฟ 

    เมื่อเราได้รู้ถึงประโยชน์และโทษของมันแล้ว เราก็สามารถที่จะระวังกันได้ ยังไงก็ขอให้เพื่อนๆมีความสุขและสุขภาพดีจากการจิบกาแฟที่หอมกรุ่นและรสชาติกลมกล่อมกันน๊าาาา.....

ที่มา -- จากหนังสือสาระประโยชน์ของกาเเฟ

11.7.13

มาทำสครับใช้เองกันเถอะ



      “สครับ” คือการขัดขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกระตุ้นระบบไหลเวียนของทั้งเลือดและน้ำเหลือง คุณๆที่เคยไปใช้บริการแล้วติดใจ หรือบางคนไม่สะดวกไปสปา วันหยุดคราวนี้มาทดลองทำสครับที่บ้านกันดีกว่า 

หลักคิดของการทำสครับ

อย่างแรกต้องรู้ก่อนว่า โดยเฉลี่ยร่างกายของเรามีการผลัดเซลล์ผิวทุก 28 วัน ฉะนั้นการขัดผิวเดือนละ 2 ครั้ง เป็นความถี่ที่กำลังดี ผิวหน้ากับผิวกายมีความละเอียดต่างกัน จึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน ผลิตภัณฑ์สำหรับหน้าต้องมีความละเอียดเป็นพิเศษ ส่วนผสมช่วยขัดไม่มีเหลี่ยมคม ไม่ใส่น้ำหอม เวลาขัดตัวใช้ 4 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย หรือฝ่ามือขัดลงน้ำหนักได้เต็มที่ ในขณะที่ขัดผิวหน้าควรใช้เพียงนิ้วกลางกับนิ้วนางเท่านั้น ที่สำคัญต้องนุ่มนวล เบามืออย่างที่สุด คนที่ผิวแห้งไม่ควรเลือกสครับที่มีส่วนผสมของพืชผักผลไม้ที่มีความเป็นกรดสูง ในขณะที่คนผิวมันควรเลี่ยงส่วนผสมที่มีน้ำมันมากเกินไป 

สครับทำจากอะไรได้บ้าง

       ถ้าเราอยากจะทำสครับใช้เองสดๆ ที่บ้าน ลองหาความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทย เลือกพืชที่มีสรรพคุณตามที่เราต้องการ หรือหาข้อมูลจากสครับที่เขาทำขายก็ได้ ถ้าไม่อยากหาส่วนผสมหลายชนิดให้ยุ่งยาก ก็ดูผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือ มีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่น และมีวิตามินตรงกับความต้องการของเรา

มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซีซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิเดนซ์สูง แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง

ส้มเช้ง มีคุณสมบัติคล้าย 2 ชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรด

ใยบวบ มีความสาก ขัดผิวได้ดี

มะละกอ วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก

มะนาว เป็นกรด ช่วยให้ผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้า นุ่มขึ้น

แตงกวา ช่วยให้ผิวสดชื่น

มะพร้าวขูด มีน้ำมันช่วยบำรุงผิว

      ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียก ก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกชนิดที่มีผิวสัมผัสนุ่มนวลอย่างมะละกอ ก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย

วิธีเลือก bead ในการขัดหรือขจัดเซลล์ผิว

บีทช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือน และมีโอกาสแพ้น้อยที่สุดเช่น

เกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว

ข้าวสาร ช่วยให้ผิวขาว

น้ำตาลทราย มีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง

งา เนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง

กาแฟ กระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ

    อย่างไรก็ตาม เกลือ น้ำตาล ข้าวสาร มีเหลี่ยม มีความคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อน นอกจากนี้อาจเพิ่มน้ำมันลงไป เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานด้วย

น้ำมันช่วยหล่อลื่น

       สำหรับน้ำมันที่ใช้เป็นตัวหลัก สามารถเลือกใช้ได้หลายชนิด เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์ น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันมะพร้าว จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และช่วยเป็นตัวลดความเข้มขนของกรดสำหรับคนผิวแห้ง รวมทั้งช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

       นอกจากนี้อาจเพิ่มนม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิวได้ด้วย แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัวอยู่บนผิวได้ สะดวกแก่การขัด

เลือกกลิ่นตามชอบ

       คนที่ไม่ชอบกลิ่นของสมุนไพรเพียวๆ อาจหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว (massage oil) ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมัน เพราะน้ำมันหอมระเหยเพียวๆ จะทำให้ผิวไหม้

       การเลือกกลิ่นน้ำมันให้เหมาะกับสภาวะร่างกายและจิตใจขณะนั้นก็สำคัญ กลิ่นบางกลิ่นก็เหมาะกับร่างกายในบางช่วง เช่น จัสมินเหมาะสำหรับผู้หญิงใกล้มีรอบเดือนแต่ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงท้อง โรสแมรี่ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคความดันสูง เป็นต้น

สครับให้ถูกวิธี

      ถ้าใช้สครับที่ทำเอง จะทดสอบด้วยกับครึ่งล่างลงไปถึงเท้าก่อนก็ได้ เพราะเท้าเป็นส่วนที่หนาที่สุดสามารถขัดได้ทุกวัน แล้วค่อยๆ ขัดสูงขึ้นมา เวลาขัดจะใช้วิธีลูบยาวๆแบบเทคนิคการนวดอโรมา หรือนวดวนเป็นวงก็ได้ แต่ไม่ควรถูไปถูมาเหมือนถูขี้ไคล เพราะนอกจากเจ็บแล้ว ยังไม่ได้ประโยชน์ในแง่ของการผ่อนคลาย

       นวดลงน้ำหนักตามความชอบ เน้นบริเวณผิวกร้าน เช่น ข้อศอก ตาตุ่ม เข่า และวนเป็นวงบริเวณข้อพับต่างๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลือง ดังนั้นคนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรลดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหาย เพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น


8.7.13

สรรพคุณและประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ



          วันนี้ได้นำเอาเกร็ดน่ารู้ที่เกี่ยวกับสรรพคุณของเมล็ดกาแฟและประโยชน์ของเมล็ดกาแฟมาฝากคอกาแฟทั้งหลาย  เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยดื่มกาแฟกัน   และก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จนถึงขั้นติดกาแฟเลย ก็อย่างว่าแหละข้อดีของกาแฟที่เรารู้กันก็คือถ้าดื่มกาแฟแล้วจะไม่ง่วง แต่วันนี้คอกาแฟทั้งหลายต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษเพราะว่าวันนี้เราได้นำเอา สรรพคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ มาบอกกันครับ สรรพคุณของเมล็ดกาแฟ และประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ ไม่ใช่แค่จะทำให้กาแฟสดใหม่ หอมอร่อยแค่นั้นนะครับ สรรพคุณของเมล็ดกาแฟ และประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ นี้ยังมีประโยชน์อีกตั้งมากมาย งั้นวันนี้เราเข้าไปรู้จักกับ สรรพคุณของเมล็ดกาแฟ และประโยชน์ของเมล็ดกาแฟกันอย่างละเอียดกันเลยดีกว่า รับรองว่าเพื่อนๆได้สาระและประโยชน์จากเครื่องดื่มที่คุณชื่นชอบอย่างแน่นอน

สรรพคุณ – ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ

1. ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง

2. กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของเรามีกลิ่นกระเทียม,ปลาหรือกลิ่นอาหารแรงๆ เมล็ดกาแฟเล็กน้อยจะสามารถช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับเอากลิ่นเหม็นๆออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด

3. ยัดไส้เก้าอี้ เป็นเก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถเอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ห้องได้ด้วย

ที่มา -- จากหนังสือประโยชน์ของกาเเฟ


6.7.13

น้ำมันหอมระเหยส้ม สาระพัดประโยชน์


     เรื่องน่ารู้ของในวันนี้ที่จะมาบอกให้รู้เกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยส้ม สาวๆ คนไหนที่หลงไหลในกลิ่นหอมๆของส้มหล่ะก็ต้องฟังทางนี้เลยเชื่อได้เลยว่าสาวๆที่ชอบส้มไม่ว่าจะเป็นการชอบทานส้ม ชอบน้ำส้ม ชอบวิตามินซีจากส้มที่ดีกับผิว หรืออาจจะชอบในกลิ่นหอมๆของส้มที่ไม่ว่าจะมาจากเปลือกส้ม หรือเครื่องสำอางค์ที่มีกลิ่นของส้ม เช่น อย่างเจลอาบน้ำหรือครีมรสส้มที่พอดมทีไรก็อารมณ์ดีทุกที วันนี้เพื่อนๆจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะว่าวันนี้ได้นำเอาความรู้เกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยส้มสาระพัดประโยชน์มาบอก ว่ากันว่าคนเรานั้นรู้จักการนำส้มมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ยุคอดีตแล้ว และยังรู้อีกว่าในเปลือกของส้มมีน้ำมันอยู่จำนวนมากที่สามารถใช้ในการรักษาโรคและใช้ในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดีนั่น เพราะในน้ำมันหอมระเหยส้มมีฤทธิ์ทางกลิ่นบำบัดว่าแล้วเราก็เข้าไปทำความรู้จักเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยส้มกันเลยดีกว่าว่า ในน้ำมันหอมระเหยส้มจะมีประโยชน์อีกมากมายขนาดไหนแล้วเพื่อนๆทั้งหลายจะได้อะไรจากน้ำมันหอมระเหยส้มกันบ้างไปดูกันเลย

-น้ำมันหอมระเหยส้มบำรุงผิวช่วยผ่อนคลาย

-เอาความมหัศจรรย์จากน้ำมันหอมระเหยส้มไปปรับใช้เกี่ยวกับความงามดูสิ เชื่อได้เลยว่าไม่เพียงแค่ผิวใสๆ เท่านั้น แต่ยังอารมณ์ดีได้ทุกวัน แค่สูดดมอีกด้วย 

-นวดผิวด้วยน้ำมันนวดที่มีส่วนผสมจากน้ำมันหอมระเหยส้มดูบ้าง เพราะมีคุณสมบัติทำให้ผิวและกล้ามเนื้อผ่อนคลาย เสริมสร้างคอลลาเจนและยังคลายเครียดได้อย่างดี

-หยดน้ำมันหอมระเหยส้มลงในอ่างอาบน้ำอุ่นสัก 6–8 หยด จะรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

-อาบน้ำด้วยสบู่หรือเจลอาบน้ำที่ผสมน้ำมันหอมระเหยส้มแท้ๆ (ได้ผลต่างกันมากหากเป็นกลิ่นส้มจากน้ำหอม) ตามด้วยการทาครีมบำรุงผิวที่ผสมน้ำมันหอมระเหยส้มรับรองเลยว่าจะสดชื่นทั้งผิวและรู้สึกสดใสทันที

2.7.13

สิ่งที่ได้รับจากการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาติ




         การพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาตินั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยให้เรานั้นมีความสุขและทำให้การพักผ่อนนั้นเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพราะเนื่องจากทำให้ได้พักผ่อนที่ดีและทำให้ส่งผลต่อสุขภาพได้ค่ะ ดังนั้นจึงเอาสาระน่ารู้เกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับจากการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาติมาฝากเพื่อนๆ

        สำหรับการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาตินั้นสามารถที่จะช่วยให้เกิดสิ่งที่ดีมากมายหลายอย่างเกิดขึ้นได้ค่ะ เพราะเนื่องจากการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาตินั้นจะทำให้เกิดความผ่อนคลาย ทำให้สบายตัว ทำให้เกิดความสุขได้อย่างแท้จริงจากการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาติ และนอกจากนี้แล้วยังช่วยให้เรื่องของการมีสุขภาพที่ดีได้ค่ะ เพราะเนื่องจากในเมืองหรือที่อยู่อาศัยของเรานั้นอาจจะมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม จึงทำให้สุขภาพจิตแย่หรือทำให้สุขภาพแย่ได้ค่ะ

        ดังนั้นการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาตินั้นจะทำให้ได้รับอากาศที่ดี ส่งผลให้ได้รับออกซิเจนที่ดีให้กับร่างกายให้ระบบการไหลเวียนโลหิตที่ดี จึงส่งผลต่อการมีสุขภาพดีได้ค่ะ และการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาตินั้นจะทำให้สามารถทำกิจกรรมตามที่สามารถจะเอาอุปกรณ์ที่มีตามธรรมชาติมาเล่นได้ค่ะ และทำให้ได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ เรียกได้ว่าทำให้ได้รับความสุขจากการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาติได้ค่ะ

       และนี่ก็เป็นสิ่งที่ได้รับจากการพักผ่อนตามสถานที่ธรรมชาติที่ทำให้ได้รับสิ่งที่ดีๆ มากมายหลายอย่างจากสถานที่ธรรมชาติ และทำให้เกิดความสุขจากการพักผ่อนและทำให้มีสุขภาพที่ดีได้