19.12.10

บทสรุปพระปราโมทย์ VS ฐิตินาถ เมื่อวิถีแห่งความรู้แจ้งลอกคราบ "เข็มทิศชีวิต"

 

- กรณี “พระปราโมทย์ ปาโมชโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้นั้น ถ้าหากจะมองด้วยใจที่เป็น “ธรรม” คงต้องแยกแยะปฐมเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมดออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือส่วนของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา              จากนั้นก็มาแยกแยะทีละประเด็นถึงเหตุผลของแต่ละฝ่ายว่า ใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน              กล่าวคือ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาคือตัวของพระปราโมทย์เองนั้นมีข้อกล่าวหาที่จะต้องตอบคำถามอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย              หนึ่ง-ข้อกล่าวหาในเรื่องทรัพย์สินที่ยักย้ายถ่ายเทให้กับ “แม่ชีอรนุช สันตยากร” อดีตภรรยา              สอง-ข้อกล่าวหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช              และสาม-ข้อกล่าวหาในเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม              ขณะที่ในส่วนของ “ผู้กล่าวหา” ที่นำโดย น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอกและประธานมูลนิธิบ้านเอื้ออารีย์ รวมทั้งนายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ก็มีประเด็นที่จะต้องชี้แจงให้กับสังคมเช่นกันว่า มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เพราะการที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ออกมาโจมตีพระปราโมทย์ด้วยข้อกล่าวหาที่หนักหนาสาหัส 3 ข้อพร้อมกับยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา              เนื่องเพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกศิษย์และได้รับผลประโยชน์จากการเป็นลูกศิษย์ของพระปราโมทย์ไปไม่น้อย              **หักเข็มทิศครั้งที่ 1       ที่ดิน-เงินไร้ปัญหา              เริ่มต้นจากตัวพระปราโมทย์เองนั้น ถ้าหากพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ก็ต้องบอกว่า เรื่องที่นำมาแฉโพย พระปราโมทย์ ยังไม่มีหลักฐานเด็ดหรือหมัดน็อกที่ทำให้จนมุมเลยแม้แต่ข้อเดียว              สำหรับประเด็นแรกคือ กรณีเรื่องที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นคนดูแลบัญชีนั้น สิ่งที่น่าจะตอบคำถามทั้งหมด ก็น่าจะเป็นการที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุชัดว่า การที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นผู้ถือบัญชีถือว่าไม่ผิดวินัยสงฆ์ ส่วนเรื่องที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องเช่นกัน              หรือดังเช่นที่ “นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์” เพื่อนร่วมรุ่นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ของพระปราโมทย์ที่ให้ความเห็นว่า “การตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นมาอุทิศตนสามีบวชพระ ภรรยาบวชชี และอยู่กินกันมากับภรรยาก็คงไม่รู้จะใส่ชื่อใครเพราะเป็นพระจะถือครองที่ดินไม่ได้ จะไปใส่ชื่อคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะนำไปขายเมื่อไหร่ แล้วคนอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องอาศัยที่ตรงนั้นจะทำอย่างไรแล้วเงินที่บริจาคมาจะไว้ใจใครได้นอกจากคนที่เชื่อถือกันมากที่สุด”              ขณะเดียวกันเมื่อรับฟังคำชี้แจงของนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของพระปราโมทย์ก็ต้องบอกว่าเป็นเหตุเป็นผลไม่น้อย              นายธนเดชอธิบายว่า ในช่วงของการซื้อที่ดิน น.ส.ฐิตินาถ ได้ร้องขอเป็นผู้ซื้อที่ดิน แต่ทางพระปราโมทย์ขอให้ใช้ชื่อของแม่ชีอรนุช เนื่องจากว่า ไว้วางใจมากกว่า จึงทำให้มีชื่อของแม่ชีอรนุช เป็นเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 มิใช่การโอนถ่ายให้แก่แม่ชีอรนุชในภายหลังแต่อย่างใด ส่วนการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และตลอดจนการดำเนินงานของสวนสันติธรรมได้กระทำอย่างโปร่งใส มีบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ได้เข้ามารับรู้และทราบเรื่องเป็นจำนวนมาก              ด้านการบริหารเงินที่ได้รับบริจาคมาของสวนสันติธรรม แม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว โดยในระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของแม่ชีอรนุชร่วมกับ น.ส.ฐิตินาถ ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดย น.ส.ฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่ายเนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และนายธนา รุจิพัฒนกุล เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย และในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของแม่ชีอรนุชและ น.ส.ฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม              ส่วนระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้าง น.ส.ฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว แม่ชีอรนุชจึงต้องรับภาระดูแลบัญชีตามลำพัง ในช่วงธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจาก น.ส.ฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อ 22 ส.ค.51 ในนามของแม่ชีอรนุช นายอภิชาติ อัศวเรืองชัย และน.ส.ชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้นายอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย อย่างไรก็ตามตั้งแต่นายอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อ 15 ม.ค.53 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด              นายธนเดชชี้แจงด้วยว่า สำหรับระยะปัจจุบัน เมื่อ 18 ก.พ.53 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของนายสุรพล สายพานิช นายธนา รุจิพัฒนกุล และ น.ส.กนิษฐวิริยา ต.สุวรรณ ทั้งนี้แม่ชีอรนุชทำหน้าที่เพียงการควบคุมการเบิกจ่ายเงินสดย่อย และสรุปยอดบัญชีรายเดือนส่งให้นายสุรพล ซึ่งได้จ้างนักบัญชีตรวจสอบบัญชีอีกชั้นหนึ่งด้วย              นี่คือความกระจ่างชัดจากคำตอบที่มาจากพระปราโมทย์              และตอกย้ำกันที่ผลการตรวจสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่สรุปข้อเท็จจริงเรื่องที่ดินและเงินของสวนสันติธรรมว่า จากรายงานของผู้อำนวยการ พศ.จังหวัด คณะกรรมการชุดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ตั้งขึ้นมา สรุปผลออกมาเรียบร้อยแล้วใน 2 ประเด็น คือ เรื่องเงินเรื่องและที่ดิน              กล่าวสำหรับเรื่องเงิน คณะกรรมการสรุปว่า มีการนำบัญชีรายรับรายจ่ายมาแสดงให้ดูอย่างถูกต้องตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 ส่วนเรื่องที่ดินที่ต้องให้มีบุคคลถือครองที่ดินเพราะความมุ่งหมายเดิมต้องการเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นวัด ต่อมามีความพร้อมจึงยื่นขอจดทะเบียนเป็นวัดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากได้รับอนุญาต ภายใน 5 ปี จะต้องดำเนินการก่อสร้างวัด และขออนุญาตตั้งชื่อวัด และในเวลานั้น จึงต้องแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นชื่อวัด       สรุปก็คือ สวนสันติธรรมที่มีมีเงินเหลืออยู่ในขณะนี้ทั้งหมด 21,154,992.10 บาทไม่ได้มีปัญหาตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด              ทว่า ปัญหาดูเหมือนจะไม่จบลงเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้กล่าวหาซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ย.โดยในเอกสารประกอบการแถลงข่าว นายเทิดศักดิ์ได้ตั้งคำถามอีกว่า บัญชีเงินฝากของสวนสันติธรรมมีเพียง 21 ล้านบาทใน 7บัญชีเท่านั้น ใช่หรือไม่ ถ้ามีเพิ่มจากบัญชีในชื่อนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยา หรือ การตกแต่งบัญชีเงินบริจาค ถือเป็นการยักยอกหรือไม่  พร้อมทั้งยังระบุอีกว่า มีบัญชีเงินฝากในนามนางอรนุช 1 บัญชีที่ไม่ได้ถูกยื่นให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบ  ในเบื้องต้นมีการตรวจสอบบัญชีรายรับ/จ่าย ของนายอภิชาต อัศวเรืองชัย  พบว่า น่าจะมีบางรายการที่ไม่ได้ถูกรวมเข้ามาอยู่ในบัญชีรายรับ/จ่ายของสวนสันติธรรมด้วย ซึ่งจะนำให้ดีเอสไอพิจารณาต่อไป              สิ่งที่ผิดสังเกตก็คือ กลุ่มอดีตลูกศิษย์เหล่านี้ทำได้แค่เพียงตั้งข้อสงสัยและไม่ได้มีการนำหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมมาแสดงเพื่อให้เกิดความเชื่อถือแต่อย่างใด              **หักเข็มทิศครั้งที่ 2       ไร้หลักฐานโยงความสัมพันธ์แม่ชีอรนุช              ประเด็นที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชนั้น สิ่งที่พุทธศาสนิกชนต้องพึงทราบก็คือ แม้พระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชจะไม่ได้หย่าขาดกันทางกฎหมาย แต่ในทางธรรมแล้ว “ขนบ” และ “ประเพณี” ซึ่งเป็นที่รับรู้และปฏิบัติกันมาโดยตลอดก็คือ เมื่อมีการบรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนา และเป็นสมณเพศแล้ว ก็ถือเป็นการขาดจากกันในความสัมพันธ์ที่เคยมีมาในทางโลกไปด้วย              ขณะเดียวกันเมื่อมีการพาสื่อมวลชนไปตรวจสอบกุฏิที่อาศัยระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช ก็จะเห็นว่า ตั้งอยู่ห่างกัน 120-130 เมตร ซึ่งก็เป็นระยะที่ห่างกันพอสมควร นอจากนี้ยังมีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฏิของพระอุปัฏฐากอยู่ใกล้กุฏิพระปราโมทย์เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถเป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐากเพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์และแม่ชีอรนุชยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้านอนาลโยของ น.ส.ฐิตินาถก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง              เช่นเดียวกับปัญหาเรื่อง “เขตห้ามเข้า” ที่มีความพยายามที่จะตีประเด็นว่า มีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่จึงห้ามเข้า ก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่า เป็นเรื่องปกติของเขตพื้นที่ปฏิบัติธรรม เขตสังฆาวาสที่จะห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะที่สวนสันติธรรมเท่านั้น หากแต่วัดสายปฏิบัติเกือบทุกวันก็มีข้อห้ามเยี่ยงนี้เช่นกัน              **หักเข็มทิศครั้งที่ 3       ใครกันแน่อวดอุตริมนุสธรรม              ส่วนเรื่องการอวดอุตริมนุสสธรรมที่ฝ่ายผู้กล่าวหากำลังเร่งเครื่องอย่างหนักในเวลานี้นั้น ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะวินิจฉัยกันได้โดยง่าย หากแต่ต้องอาศัยผู้ทรงภูมิธรรมว่าวิเคราะห์กันทีละประเด็นว่าเข้าข่ายหรือไม่              ที่สำคัญคือหลักฐานที่ฝ่ายผู้กล่าวหานำมาแสดงเป็นคลิปเสียงต่างๆ ก็ไม่ได้นำมาแสดงทั้งหมด แต่ตัดเอามาจากบางส่วนบางตอนของคำเทศนา ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมที่จะกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมในทันที เพราะถ้าฟังคำเทศนาโดยรวม อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ซึ่งในประเด็นนี้ ก็คงต้องรอการพิสูจน์จากผลสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกันต่อไป       เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรมที่อ้างจากหนังสือ “วิมุตติปฏิปทา” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยระบุว่า “ผู้เขียน(ซึ่งหมายถึงพระปราโมทย์) ก็สามารถรู้สภาวะจิตของผู้อื่นได้เหมือนสภาวะจิตของตนเอง” ก็เป็นข้อกล่าวหาซึ่งผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงอดเศร้าใจไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พระปราโมทย์เขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นฆราวาส เขียนในนามปากกาที่ชื่อว่า “สันตินันท์”              ที่สำคัญคือการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการจัดพิมพ์ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 ก็เป็นการดำเนินการโดยลูกศิษย์ พระปราโมทย์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวแต่ประการใด              นอกจากนั้น ถ้าหันกลับไปพิจารณาจากคำให้การของลูกศิษย์ที่ยังคงศรัทธาในธรรมะและตัวหลวงพ่อปราโมทย์ก็จะพบว่า เป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม ดังเช่นในรายของ “สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา” ที่สรุปเอาไว้ว่า....”ในประเด็นอวดอุตริมนุสธรรมนั้น ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ เพราะเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่จะต้องดำเนินการ.....ผมเชื่อมั่นว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอนนั้น สามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ครับ เพราะหลวงพ่อสอนให้มีสติ มีจิตตั้งมั่นและหัดรู้รูปนามเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ซึ่งจากการได้ปฏิบัติตาม ก็เห็นไตรลักษณ์ได้จริงๆ”              ขณะที่เมื่อไปตรวจสอบผู้กล่าวหาคนสำคัญจากมูลนิธิบ้านอารีย์อย่าง “วีรณัฐ โรจนประภา” ที่ให้สัมภาษณ์ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ก็มีข้อให้ชวนให้ขบคิดเช่นกันเช่นกัน              “เท่าที่ผมสังเกตดู ก่อนหน้านี้จะไม่มีการดูจิตทายใจเป็นถี่ๆ หรือมากๆ แบบหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งเพิ่งจะมีมาตอนที่หลวงพ่อปราโมทย์มาสอนนี่แหละ ตอนแรกที่เรียนก็จะได้ผลดีจริงๆ อย่างที่ทุกคนประสบ อย่างผม เห็นญาติธรรมที่เข้ามาตั้งแต่วันแรกที่มีทุกข์ เข้ามาก็มาพึ่งธรรมะ พึ่งคำสอนในระบบนี้ไป สามเดือนห้าเดือนทุกข์จากคลาย มีความสุขมากขึ้น ผ่านไปปีนึ่งก็มีความอยากให้พ้นทุกข์ยิ่งๆ ขึ้น ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกภูมิใจ ดีใจที่ได้เผยแผ่การสอนในระบบนี้ แต่พอมาถึงช่วงหนึ่ง จุดหนึ่ง นานวันเข้า ความสุขอะไรก็ยังมีอยู่จริง แต่ว่าความอ่อนแอตามาด้วย คือทุกคนรอที่จะถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากหลวงพ่อปราโมทย์ท่าน”              และเมื่อถามว่าพิสูจน์จากอะไร              นายวีรณัฐตอบว่า “จากที่เวลารับกิจนิมนต์ คนจองคิวกันยาวเหยียด การสอบทานเรื่องการปฏิบัติก็ต้อมีการจับฉลากบัตร จัดคิว ระบบการเรียนการสอนเองที่พอเรียนเข้าจริงๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องบอกแต่ว่า วันเสาร์ไปส่งการบ้าน วันไหนไปให้หลวงพ่อตรวจ อันนี้ต้องให้หลวงพ่อดู ทั้งหลายทั้งปวงในระบบนี้ สุดท้ายเรากลับไปพึ่งความสามารถพิเศษของพระรูปหนึ่ง จุดนี้เองที่ผมทักท้วงไปว่า อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือ ที่ตอนหลังคนเรียนมีการพึ่งพิงตนเองได้น้อยลงขนาดนี้”              **เข็มทิศชีวิตที่หลงทาง       ของ “อ้อย-ฐิตินาถ”              ดังนั้น เมื่อประจักษ์พยานและหลักฐานปรากฏออกมาในลักษณะนี้ สังคมก็มีสิทธิที่จะย้อนกลับไปตั้งคำถามกับกลุ่มผู้กล่าวหาเช่นกัน เพราะถ้าย้อนกลับไปดูเส้นทางของคนเหล่านี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นกลุ่มที่เคยมีผลประโยชน์จากธรรมะของพระปราโมทย์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ฐิตินาถหรือมูลนิธิบ้านอารีย์              โดยเฉพาะน.ส.ฐิตินาถนั้น การที่เธอออกมาเรียกร้องขอคืนเงินบริจาค 4.3 ล้านบาท ที่ได้ร่วมก่อสร้างสวนสันติธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะที่ดินที่ซื้อมาด้วยเงินบริจาคนั้น พระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล ก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวเองว่าน่าจะเป็นเรื่องของความผิดหวังที่ไม่สามารถเป็น “เข็มทิศชีวิต” ให้กับสวนสันติธรรมและพระปราโมทย์ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา              เพราะถ้า น.ส.ฐิตินาถสามารถดำรงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของพระปราโมทย์เหมือนเช่นที่ผ่านมา ดังที่เคยวางผังปลูก “บ้านอนาลโย” เอาไว้ใกล้ๆ กับกุฎิของพระปราโมทย์แล้ว คงไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ออกมาเป็นแน่แท้              ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสวนสันติธรรมนั้น ก็มีประวัติที่ไม่ธรรมดาเพราะก่อนที่จะตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ ก็มีที่ดินอีกหลายแปลงที่เป็นทางเลือกและไม่ได้ยุ่งยากเหมือนกับที่ดินผืนนี้ เช่น ที่ดินที่จังหวัดนครนายกเป็นต้น              แต่เหตุที่มาลงเอยที่อำเภอศรีราชาก็เพราะมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” เป็นผู้อ้อนวอน ร้องขอ เป็นตัวตั้งตัวตีและเจ้ากี้เจ้าการอย่างผิดปกติ              ว่ากันว่า ข้ออ้างสำคัญที่ทำให้พระปราโมทย์ตัดสินใจซื้อก็เพราะมีข้ออ้างว่า “ได้มีการวางเงินไปแล้ว” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น              ขณะเดียวกัน คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณสวนสันติธรรม ถ้าสังเกตุให้ดีก็จะเห็น “ที่ดินผืนงาม” และ “ขนาดใหญ่” อีกผืนหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสวนสันติธรรมแห่งนี้ และผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” อีกเช่นเคย              ไม่มีใครรู้ว่า ที่ดินผืนนี้บังเอิญหรือเจตนามาอยู่ใกล้กับสวนสันติธรรมของพระปราโมทย์กันแน่ แต่วิญญูชนผู้มีใจเป็นธรรมคงสามารถคาดเดาได้ไม่ยากนักว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น              ที่น่าสนใจคือ ก่อนที่จะซื้อไม่มีปัญหา แต่หลังจากที่ซื้อแล้วกลับเกิดปัญหาขึ้น เมื่อพระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล เนื่องจาก “มีความไว้วางใจมากกว่า” ซึ่งหลายคนคาดเดาว่า นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นและกลายเป็นมูลเหตุของปัญหาที่เกิดกับสวนสันติธรรมในเวลาต่อมาก็เป็นได้              อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้จะยังไม่มีบทสรุป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนหนังสือชื่อดังจะต้องกลับไปทบทวนตัวเองและตกผลึกความคิดของตัวเองอีกครั้งก็คือ เข็มทิศชีวิตที่ตัวเองเขียนขึ้นมาสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นจนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้น ทำไมถึงไม่สามารถเป็นเข็มทิศชีวิตให้เธอดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรได้

**********************************************************

ที่มา....ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์


6.12.10

พ่อ....

 

.... ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยื่นนาน....