20.9.18

9 ผักที่ไม่ควรกินดิบ

วันนี้เอาสาระประโยชน์เกี่ยวกับผักมาฝาก......
คือ 9 ผักที่ไม่ควรกินดิบ ..กินแล้วมีแต่ให้สุขภาพแย่ลง
ผักที่เรารู้จักคุ้นเคยที่จะนำมากินหรือประกอบอาหารนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกันและวิธีการนำมาทานก็แตกต่างกันบางชนิดนิยมทานสดๆคู่กับน้ำพริกบางชนิดนิยมมาทำแกง ผัด ยำ หรือเมนูต่างๆ ก็ตามแต่ ผักทุกชนิดนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่หากว่าเรากินผักไม่ถูกวิธี แทนที่จะเป็นประโยชน์ก็อาจจะกลายเป็นโทษไปก็ได้ อย่างเช่นการกินผักดิบมีผักบางชนิดที่เราไม่ควรทานดิบเพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนี้
คิดให้ดี ผักดิบ 9 ชนิดนี้ กินมากไปอาจได้โทษ
1. กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีมีวิตามินซีสูงกินแล้วมีประโยชน์แน่ ๆ แต่ต้องปรุงให้สุกก่อนรับประทาน เนื่องจากหากกินกะหล่ำปลีดิบในปริมาณมาก สารออกซาเลต (Oxalate) ในกะหล่ำปลีจะไปจับกับแคลเซียมที่กรวยไต จนกลายเป็นสารแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งหากมีสารตัวนี้ที่กรวยไตมาก ๆ ก็เสี่ยงต่อโรคนิ่วในไตได้ อีกทั้งในกะหล่ำปลีดิบยังมีน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งคนที่มีปัญหาในระบบย่อยอาหารอาจย่อยน้ำตาลชนิดนี้ไม่ได้ และอาจนำไปสู่อาการท้องอืด แน่นท้อง แต่หากนำกะหล่ำปลีไปปรุงสุก น้ำตาลที่ว่าก็จะเปลี่ยนโมเลกุลเป็นสารที่ย่อยได้ง่าย ไร้ปัญหาท้องอืดแน่นอน
นอกจากนี้ในกะหล่ำปลีดิบยังมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) สารที่ยับยั้งการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายดึงไอโอดีนจากเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ จนอาจก่อให้เกิดโรคคอหอยพอกได้ แต่กอยโตรเจนจะสลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อโดนความร้อน ฉะนั้นจึงควรบริโภคกะหล่ำปลีแบบปรุงสุกจะดีกว่า
2. ดอกกะหล่ำ
พืชชนิดหัวอีกอย่างที่ต้องระวังหากจะกินดิบ ๆ เพราะดอกกะหล่ำก็มีน้ำตาลชนิดเดียวกันกับกะหล่ำปลีด้วย ดังนั้นหากไม่อยากเกิดอาการท้องอืด ก็ควรนำดอกกะหล่ำไปปรุงให้สุกก่อนรับประทานนะคะ 
3. บรอกโคลี
มาตระกูลเดียวกันกับกะหล่ำปลีและดอกกะหล่ำเลย บรอกโคลีมีน้ำตาลที่ควรต้องถูกย่อยด้วยความร้อนก่อนจึงจะไม่ก่อให้เกิดอาการท้องอืด และในบรอกโคลีดิบยังมีฮอร์โมนบางชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นความเสี่ยงโรคไทรอยด์ แต่เจ้าฮอร์โมนที่ว่าจะถูกย่อยสลายไปเมื่อโดนความร้อน ดังนั้นบรอกโคลีจึงจัดเป็นผักอีกชนิดที่กินดิบมาก ๆ อาจก่อให้เกิดโทษได้
4. ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาวดิบจะมีปริมาณไกลโคโปรตีนและเลคตินค่อนข้างสูง ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนชักนำอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาการท้องเสียได้ในเวลา 3 ชั่วโมงหลังรับประทานถั่วดิบ ๆ เข้าไป ซึ่งทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกายังออกมาเตือนอีกด้วยว่า ไม่ใช่เค่ถั่วฝักยาวเท่านั้นที่กินดิบ ๆ แล้วอาจให้โทษ ทว่าถั่วแดงหรือถั่วดำก็ไม่ควรกินดิบด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ไม่สบายได้นะจ๊ะ
5. ถั่วงอก
ผักกินสดฮอตฮิตอันดับต้น ๆ อย่างถั่วงอกมักจะมีสารโซเดียมซัลไฟต์ ซึ่งเป็นสารฟอกขาวที่เหล่าพ่อค้า แม่ค้ามักจะนำมาฟอกสีให้ถั่วงอกมีสีขาวน่ารับประทาน อีกทั้งยังเป็นสารที่รักษาความสดของถั่วงอกให้เก็บไว้ขายได้นาน ซึ่งหากผู้บริโภคมีอาการแพ้สารชนิดนี้ หรือกินถั่วงอกดิบในปริมาณมาก ทางศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ก็บอกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ และปวดท้องได้ แต่ถ้าหากนำถั่วงอกไปปรุงสุกก็จะช่วยทำลายสารฟอกขาวได้จนไม่ก่อให้เกิดอันตรายค่ะ
6. หน่อไม้
ศูนย์ข้อมูลด้านอาหาร กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ในหน่อไม้สดมี Cyanogenic glycoside ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ อันมีพิษต่อร่างกาย และหากร่างกายได้รับสารตัวนี้ในปริมาณมาก Cyanogenic glycoside จะเข้าไปจับกับฮีโมโกลบิน ทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจน ทุรนทุราย หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงแนะนำให้ปรุงสุกหน่อไม้หรือนำหน่อไม้ไปดอง (ซึ่งต้องผ่านการต้ม) ก่อนรับประทาน เพราะวิธีการปรุงสุกด้วยความร้อนจะช่วยสลาย Cyanogenic glycoside ได้
7. มันสำปะหลัง
Cyanogenic glycoside สารตัวนี้ยังตามมาหลอกหลอนในมันสำปะหลังด้วย ซึ่งทางสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้บอกว่า หากรับประทานมันสำปะหลังดิบในส่วนหัว ราก ใบ อาจมีพิษทำให้ถึงตายได้ โดยมีพิษขัดขวางการทำงานของระบบหัวใจและทางเดินโลหิต ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์สมองน้อยลง หรือเบาะ ๆ อาจเกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรืออุจจาระร่วง
8. ผักโขม
ผักใบเขียวขจีอย่างผักโขมดิบ ๆ มีกรดออกซาลิก (Oxalic) ที่มีฤทธิ์ทำให้ลำไส้ระคายเคือง แถมยังเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคนิ่วในไตอีกทางหนึ่งได้ด้วย ทว่าเจ้ากรดออกซาลิกตัวนี้จะหมดฤทธิ์ทันทีเมื่อเจอความร้อน ซึ่งก็หมายความว่าเราควรปรุงผักโขมให้สุกก่อนนำมารับประทานนั่นเองนะคะ
9. เห็ด
เห็ดสดที่มีเนื้อสีขาวทั่วไปมักจะตรวจพบสารอะการิทีน (Agaritine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง แต่จะสลายไปได้เองหากเห็ดเหล่านั้นผ่านการปรุงสุกแล้ว
อย่างไรก็ดีขอย้ำกันอีกทีว่าผักเหล่านี้ไม่ใช่ผักต้องห้ามแต่ควรจำกัดปริมาณการบริโภคผักดิบไม่ให้กินเยอะครั้งละเป็นกิโลกรัมหรือรับประทานต่อเนื่องกันทุกวันๆจนเกิดการสะสมของสารที่เป็นโทษต่างหากนะคะ
ที่มา - kapook.com

17.9.18

คน 5 แบบที่ควรลืม

วันนี้เอาบทความดีๆมาฝาก...........
คน 5 แบบที่คุณควร 'ลืม' ซะ
1.คนที่คุณให้ความสำคัญกับเขาเป็น 'อันดับแรก'
แต่เขาให้ความสำคัญกับคุณเป็น 'อันดับสุดท้าย'
2.คนที่คุณพยายาม 'อยู่' ในชีวิตเขา
แต่เขาไม่เคยพยายาม 'อยู่' ในชีวิตคุณ
3.คนที่คุณมองเขา 'พิเศษ' กว่าคนอื่นๆ
แต่เขามองคนอื่นๆ 'พิเศษ' กว่าคุณ
4.คนที่คุณ 'ภูมิใจ' มากเมื่อพูดถึงเขา
แต่เขาไม่เคย 'ภูมิใจ' เมื่อพูดถึงคุณ
5.คนที่คุณยอม 'ทำทุกอย่าง' เพื่อเขา
แต่เขาไม่เคย 'ทำอะไรสักอย่าง' เพื่อคุณ
...คน 5 แบบนี้ ไม่ใช่ 'ไม่ดี'...
เขาแค่ 'ไม่รัก'  และ 'ไม่แคร์' คุณ เพราะฉนั้น 'ลืม' ไปซะ.. !!
=================
Cr. เฌอมาณย์ รัตนพงศ์ตระกูล
ขอบคุณรูปจากเพจ : คิดเป็นชีวิตเปลี่ยน

14.9.18

อาการบอกโรค 32 ข้อที่ไม่ควรมองข้าม

วันนี้เอาสาระมาฝากเกี่ยวกับอาการบอกโรค 32 ข้อที่ไม่ควรมองข้าม ใครไม่อยากป่วยจนสายเกินแก้ รีบอ่านด่วน!!
วิธีสังเกตุ อาการบอกโรค 32 ข้อ ซึ่งการสังเกตอาการที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติต่างๆเบื้องต้นได้ถ้ามีอาการเหล่านี้
1. อาการนอนไม่หลับ อาจเกิดจากถุงน้ำดีข้น หรือ กระดูกคอข้อที่ 1 เคลื่อน หรือเลือดไม่ค่อยเลี้ยงหัวใจ เนื่องจากเป็นคนตื่นเต้นบ่อย
2. ผิวหยาบ มีขี้แมลงวัน มีติ่ง หูด ตาปลาสาเหตุมาจากลำใส้ใหญ่สกปรก
3. ปัสสาวะมีกลิ่นแรง กลิ่นฉุนมาก เกิดจากไตไม่ดี ต่อมลูกหมากโต มีปัสสาวะคั่งค้างให้กินแกนสัปปะรด 3 แกน ทุกวันเป็นเวลา 7 วัน และดื่มน้ำกระชาย
4.ปวดนิ้วก้อยบอกถึงระบบความร้อนบกพร่องร่างกายถูกความเย็นตอน 3 – 5 ทุ่ม เช่นอาบน้ำเย็น ตากแอร์ เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการความอบอุ่น
5. ปวดใต้ฝ่าเท้าหมายถึงปอดไม่แข็งแรง
6. ปวดเข่า
- ปวดด้านนอก ขึ้นมาถึงสะโพก หรือโคนขา หมายถึง ถุงน้ำดีข้น ดื่มน้ำน้อยไปหรือระบบดูดซึมไม่ดี อันมาจาก การกินของผัดน้ำมันพืช น้ำมันพืชที่ถูกความร้อนจะแปรสภาพเหนียวเกาะที่ลำไส้ทำให้สารอาหารและน้ำซึมผ่านไม้ได้
-ปวดด้านหน้า หมายถึง กระเพาะอาหารไม่ดีกินอาหารไม่ตรงเวลา หรือมีความวิตกกังวลบ่อย
- ปวดด้านใน (ด้านที่เข่าชนกัน) หมายถึงปัญหาจาก ม้าม / เบาหวาน / อ้วน / ตับ / กินหวาน / ขี้โมโห / มีสารพิษ / ไต / กินรสจัด / หรือกินอาหาร ผัดน้ำมัน
- ปวดตามข้อ ปวดเข่า ให้ตื่นเช้าเอาน้ำเย็นรดตามข้อ สลายหินปูนเกาะได้กระตุ้นการขับถ่ายด้วย
7. ปวดสะบัดหลัง ปวดเอว หมายถึงถุงน้ำดีข้นต้องล้างระบบดูดซึม
8. ปวดกล้ามเนื้อหน้าอก อาจเกิดจากปัญหา หัวใจ หรือไต หรือกระเพาะอาหารไม่แข็งแรง
9. มีอาการตึงใต้ราวนมขวา หมายถึงน้ำเหลืองไม่ดี สาเหตุมาจากมีอุจจาระตกค้างมาก หรือถ่ายไม่หมดเป็นประจำ ให้หาทางระบายและกินขมิ้นชันตอนเช้า 9 โมง ช่วยเรื่องน้ำเหลืองให้ดี
10. ปวดหลังมาจากท่านั่งไม่ถูกต้อง หรือ ความชื้นเข้าผิวหนัง หรือเพราะความวิตกกังวล หรือ เป็นนิ่วลมในท้องเยอะดันกรวยไตให้งอ
11. ปวดด้านข้างนอกฝ่าเท้า เป็นอาการของตับไม่ดี ถุงน้ำดีข้น นอนไม่หลับ ปวดหู ไมเกรน
12. กดกลางฝ่ามือ ถ้าเจ็บ หมายถึง หัวใจโต เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
13. กดใต้นิ้วชี้ ถ้าเจ็บ หมายถึง ระบบย่อย ตับ กระเพาะไม่ดี
14. กดใต้ร่องนิ้วนาง กับก้อย ตรงเส้นหัวใจ ถ้าเจ็บ หมายถึง กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง
15. นิ้วกลางล็อค หมายถึงมีไขมันในเลือดมาก ต้องกินน้ำกระเจี๊ยบ-พุทราจีน เกิดจาก ตื่นเต้นบ่อย กินอาหารคอเลสเตอรอลสูง กินของหวานที่มีน้ำตาลมาก
16.ปวดข้อมือใต้นิ้วโป้ง หมายถึงการมีอุจจาระค้างในลำใส้ใหญ่มาก ควรแก้ใขด้านการขับถ่าย การมีอุจจาระค้างมากอยู่เสมอยังเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก กลิ่นตัว และอาจจะไปรบกวนการทำงานของตับอ่อนในการผลิตอินซูลิน อันเป็นต้นเหตุหนึ่งของเบาหวาน
17.ตากุ้งยิงแก้โดยการดูที่แผ่นหลังจะมีเม็ดคลายหัวสิวเกิดขึ้นให้สกิดอ่อนแล้วตากุ้งยิงจะหายไปเอง
18.มือสั่นเกิดจากมีน้ำมันเกาะลำไส้มากซึ่งอาจเกิดจากกินอาหารผัดน้ำมันพืช หรือตื่นเต้นบ่อย
19. เล็บ มีดอก หมายถึงเลือดจาง
20. เหงื่อออกง่าย เหงื่อออกฝ่ามือ ตัวเย็น เกิดจากหัวใจไม่แข็งแรง หรือฮอร์โมนไม่ปกติ ดื่มน้ำกระชาย กินหัวใจหมูต้มข้าวเหนียวกับลำไยแห้ง ช่วยบำรุงหัวใจ
21. ขี้ร้อน เกิดจาก ไตซ้ายเสื่อม กระทบถึง สมองซีกขวา ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการจินตนาการ ศิลปะหรือขาด ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือถูกความเย็นตอน 3 ทุ่ม – 5 ทุ่มระบบความร้อนในร่างกายบกพร่อง
22. ขี้หนาว หมายถึง ไตขวาเสื่อม จะกระทบถึงการทำงานของสมองซีกซ้ายที่ทำหน้าที่เก็บความจำ คำนวณ จับประเด็นสาเหตุจากถูกความเย็นตอน 3 – 5ทุ่ม
23. ถ้าหิวแล้ว มีอาการหิวจัด ทนไม่ได้ อาจกำลังจะเป็นเบาหวาน
24. เหน็บชา ตามแขน ขา เกิดจากเลือดไหลเวียนไม่ดี หรือมีพยาธิ เลือดน้อย หรือไม่กินข้าวซ้อมมือ น้ำชีวภาค ดีกว่ากระชาย
25. ตะคริว สาเหตุมาจากหัวใจไม่แข็งแรง ให้งดกิน ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง
- ตะคริวบก ขาดโปรแตสเซียม ให้กินผลไม้สดมากๆ
- ตะคริวน้ำ ให้ดื่มน้ำเกลือ (เกลือแกงป่น 1 ช้อนชา ละลายน้ำอุ่นดื่ม)
26. ไม่กินอาหารเช้า จะทำให้ สมองเสื่อม ผมร่วงง่าย หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย ร้อนใน ปวดไหล่ กล้ามเนื้อเหลว กระดูกคอ กระดูกสะโพกเคลื่อนง่าย เข่าไม่ดี น่องเหลว น่องทู่ ปวดข้อเท้า วิตกง่าย ขี้โมโห
27. กลิ่นตัว เกิดจากลำใส่ใหญ่สกปรก มีสิ่งตกค้างมาก ซึมเข้าระบบเลือด และออกทางเหงื่อ ปาก และลมหายใจ
28. อัมพฤษ อัมพาต ส่วนใหญ่เกิดจากท้องผูกการขับถ่ายไม่ดี ประกอบกับเส้นเลือดตีบ เวลาเบ่งอุจจาระจะเพิ่มอันตรายจากการคั่งของเลือดทำให้เกิดเส้นเลือดตีบตันหรือแตกหมดความรู้สึกและล้มลง (มักเข้าใจผิดว่าหกล้มก่อนแล้วเส้นเลือดแตก)ควรป้องกันด้วยการดื่มน้ำกระเจี๊ยบ พุทราจีน ขยายหลอดเลือดหรือกินข้าวต้มน้ำมะละกอ 7-10 วัน อาการจะดีขึ้น (วิธีการทำข้าวต้มน้ำมะละกอ นำมะละกอดิบครึ่งลูกตัดจุกออก เอาเม็ดออกหั่นพร้อมเปลือกเหมือนฟักต้มน้ำเคี่ยวจนนิ่มเอาแต่น้ำมาต้มข้าวต้ม ถ้าใช้ข้าวกล้องยิ่งดี จะใส่ใบเตยด้วยก็ได้ กิน 3 มื้อทุกวัน)
29. อวัยวะที่สัมพันธ์กัน ริมฝีปากกับม้ามถ้าใช้ลิปสติกที่มีสารเคมี จะทำให้ม้ามไม่แข็งแรง ผลิตไขมันมาก ทำให้อ้วน
30. หูกับไต หูไม่ดี ไม่คอยได้ยิน เป็นการแสดงถึงไตไม่แข็งแรง
31. ลิ้นกับหัวใจ อาการของลิ้น บ่งบอกถึงความไม่แข็งแรงของหัวใจ
32. สายตา กับตับ รวมถึงเส้นผม และเส้นเอ็น ตับไม่แข็งแรงจะทำให้สายตาเสื่อมโทรม ผมหงอก และเส้นเอ็นหย่อนยาน
Cr...หมอชัย