28.2.13

รักษาอาการอกหักให้กลับมามีความสุขอีกครั้ง


              ก็กำลังจะผ่านพ้นเดือนแห่งความรักไปแล้ว ก็คงมีเพือนๆบางคนที่สมหวังในเดือนนี้ และก็มีไม่น้อยที่อกหักกันไปก็มี แต่ในสถานการณ์แบบนี้คงทำใจได้ยากอยู่สักหน่อยสำหรับคนที่อกหักอยู่ แต่ใช่ว่ายากเกินจะรับมือ หรือเสียใจจนอยู่ไม่ได้ ตอนนี้ไปดูกันดีกว่าว่าเราควรจะจัดการกับชีวิตของตัวเองอย่างไรต่อไปดีในกรณีแบบนี้.....


    1. เสียใจให้พอ

          ในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วคงจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก หากจะยื้อเขาเอาไว้คงไม่มีประโยชน์สำหรับคนที่หมดใจไปแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือ ปล่อยให้ตัวเองได้ระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมา ทั้งความอัดอั้นตันใจ เศร้า เสียใจ และอื่น ๆ หากอยากจะร้องไห้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้อีกแล้ว หรือทำในสิ่งอยากจะทำ อย่างเช่น ออกปาร์ตี้กับเพื่อน เที่ยวกับครอบครัว หรือลองจีบหนุ่มใหม่สักคนก็ได้

       2. เติมเวลาว่างให้เต็ม

          ช่วงเวลาว่างเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลาย ๆ คนไม่สามารถทำใจและตัดใจจากเขาได้เสียที เพราะมักจะเหม่อลอยคิดถึงเรื่องเก่า ๆ และความผิดพลาดของตัวเองอยู่เสมอ สุดท้ายจบลงด้วยการโทรศัพท์กลับไปง้อเพื่อขอคืนดี ผลที่ได้คือ โดนปฏิเสธกลับมาเสมอ ดังนั้น ควรจะเปลี่ยนตัวเองด้วยการหากิจกรรมอื่น ๆ มาทำในช่วงเวลาว่าง อาจจะเป็นสิ่งที่สนใจหรืองานอดิเรกของตัวเองก็ได้ อย่างเช่น เข้าคอร์สทำอาหาร ออกกำลังกาย ทำงานอาสาสมัคร เป็นต้น

       3. หยุดคิดถึงอดีต

          ถึงแม้จะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ได้ แต่สามารถควบคุมการกระทำและความคิดของตัวเองได้ ฉะนั้น นอกจากจะหากิจกรรมมาทำในช่วงเวลาว่างแล้ว ทุกครั้งที่รู้สึกตัวว่ากำลังคิดถึงเขา เปลี่ยนความคิดตัวเอง โดยให้หันไปสนใจเรื่องใกล้ ๆ ตัวแทน อีกทั้งไม่ควรคิดโทษตัวเอง เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ความผิดของใคร แค่ความคิดเห็นไม่ตรงกันเท่านั้นเอง และอย่าปล่อยให้อดีตมาทำลายความสุขของปัจจุบันอีกเลย

       4. เขียนลิสต์ข้อเสียของเขาออกมา

          หากการคิดถึงเรื่องดี ๆ ของเขาทำให้ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ควรเปลี่ยนวิธีด้วยการคิดถึงข้อเสียของเขาดูบ้าง แล้วเขียนสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด จากนั้นลองอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง แล้วจะเห็นเองว่าเขาไม่มีอะไรที่เหมาะสมและคู่ควรกับคุณเลยสักนิด เพราะมีข้อเสียตั้งมากมายที่เผลอมองข้ามไป วิธีนี้ช่วยให้สามารถทำใจได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมาได้อีกด้วย

       5. ใช้เป็นบทเรียนสำหรับรักครั้งต่อไป

          แม้รักที่ผ่านมาจะไม่สมหวังและทำให้เจ็บปวดมากมาย ไม่ได้หมายความว่าต่อจากนี้จะมีรักใหม่ไม่ได้อีก เพียงแต่ความรักครั้งต่อไปควรจะใช้เหตุผล และระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น ทั้งคำพูด ความคิด และการกระทำ โดยใช้อดีตเป็นบทเรียนทำให้รักครั้งใหม่ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้รู้แล้วว่ามีอะไรบ้างที่คนรักกันควรทำและไม่ควรทำ ตอนนี้เตรียมตัวเองให้พร้อมต้อนรับคนใหม่กันดีกว่า


          ความรักเปรียบได้เหมือนกับแก้วน้ำ หากมีรอยร้าวและแตกไปแล้วคงจะต่อให้เหมือนเดิมไม่ได้อีก ฉะนั้นจากนี้ไม่ควรจะเก็บเอาเขามาใส่ใจ หรือคิดถึงเรื่องของเขาอีก หลังจากที่ร้องไห้จนพอใจแล้ว ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ที่ดีกว่า และรอเวลาจนกระทั่งจะถึงเวลาที่เจอคนที่ใช่จริง ๆ พร้อมกับเก็บเรื่องในอดีตเอาไว้เตือนใจตัวเองดีกว่า อย่างน้อยอย่างที่ีประโยคฮิตกันมานานคือ อกหักดีกว่ารักไม่เป็น......

ที่มา -- kapook.com



27.2.13

7 อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังติดลิปบาล์ม



หายไปนานเนื่องจากยุ่งเรื่องงานอย่างแรง เที่ยวนี้เอาเรื่องเกี่ยวกับ 7 อาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังติดลิปบาล์มหรือไม่มาฝาก ลิปบาล์มหรือลิปมันเป็นตัวช่วยที่ทำให้ริมฝีปากมีชีวิตชีวา ชุ่มชื่น และอวบอิ่มน่าสัมผัส นอกจากนี้ยังสามารถกำจัดปัญหาเรื่องริมฝีปากแห้งได้อีกด้วย ดังนั้นเห็นว่าหลาย ๆ คนมีติดตัวเอาไว้ทากันคนละแท่งสองแท่ง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่ใส่ใจดูแลตัวเอง แต่ถ้าหากทามากเกินจนถึงขั้นติดลิปบาล์มจะส่งผลร้ายกับริมฝีปากเสียมากกว่า ถ้าหากอยากจะรู้ว่าตัวเองเสพติดการทาลิปบาล์มอยู่หรือเปล่าลองเทียบกับการกระทำเหล่านี้ดู

     1. ซื้อกลับมาทุกครั้งที่เจอ

          เมื่อมีโอกาสออกไปเดินช้อปปิ้งของที่ซื้อมาจะต้องซื้อลิปบาล์มกลับมาด้วยทุกครั้ง ถึงแม้ว่าลิปบาล์มแท่งเก่ายังใช้ไม่หมด หรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อเลยก็ตาม เหตุผลที่ตัดสินใจซื้อ เพราะความต้องการส่วนตัวเท่านั้น เหมือนคนที่กำลังคลั่งไคล้ หรือเก็บสะสมเอาไว้เป็นคอลเลคชั่นส่วนตัวเลยทีเดียว

       2. เช็คสินค้าใหม่ตลอด

          ทุกครั้งที่เปิดอินเตอร์เน็ต ในห้างสรรพสินค้า หรือไปที่ใดก็ตามมักจะชอบเดินไปตรงมุมขายลิปบาล์ม เพื่อเช็กลิปบาล์มรุ่นใหม่ล่าสุดอยู่เสมอ ทั้งลักษณะแพ็กเกจหรือลักษณะภายนอกของสินค้า ทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับลิปบาล์ม รวมไปถึงส่วนผสมต่าง ๆ ที่ผู้ผลิตนำมาใช้ด้วย

       3. ทาลิปบาล์มมากกว่า 7 - 8 ครั้งต่อวัน

          การทาลิปบาล์มดีต่อสุขภาพของริมฝีปากก็จริง แต่ทั้งนี้ควรทาเท่าที่จำเป็น หรือวันละประมาณ 1 - 2 ครั้ง ในช่วงที่ปากแห้งมากผิดปกติอาจจะนำมาทาบ่อยขึ้นประมาณ 3 - 4 ครั้งก็เพียงพอ ถ้าหากใช้บ่อยเกินกว่าอาจเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าคุณกำลังติดลิปบาล์มเข้าแล้ว

       4. พกลิปบาล์มติดตัวตลอด

          ไม่ว่าจะอยู่บ้าน หรือออกไปข้างนอกสิ่งที่จะต้องหยิบขึ้นมาใส่กระเป๋าเสมอ นอกจากโทรศัพท์มือถือ กับกระเป๋าสตางค์แล้ว ยังจำเป็นต้องมีลิปบาล์มติดตัวไปด้วย ในกรณีที่ลืมนำมาจะต้องซื้อแท่งใหม่มาใช้ทุกครั้งชนิดที่ว่าขาดกันไม่ได้เลยจริง ๆ

       5. เผลอหยิบลิปบาล์มมาใช้ตลอด

          ในระหว่างการทำกิจกรรมต่าง ๆ จะต้องหยิบลิปบาล์มขึ้นมาทาเสมอแบบไม่ได้ตั้งใจ จนดูเหมือนเป็นนิสัยประจำตัวไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม อย่างเช่นตอนทำงาน ทานข้าว หรือเดินช้อปปิ้ง เป็นต้น

       6. ชอบช่วงเวลาที่ใช้ลิปบาล์มทาบนริมฝีปาก

          อีกหนึ่งพฤติกรรมที่บ่งบอกว่าคุณติดการทาลิปบาล์มเข้าแล้วคือ รู้สึกดีกับการใช้ลิปบาล์มทาลงริมฝีปากของตัวเอง หากไม่ได้หยิบมาทารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ด้วยเหตุนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้คุณจำเป็นต้องหยิบลิปบาล์มมาทาอยู่ตลอดเวลา

       7. ใช้แบรนด์เดียวตลอด

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจาะจงแบรนด์ของลิปบาล์ม ไม่สามารถเปลี่ยนหรือใช้แบรนด์อื่นได้ ในกรณีแบบนี้แสดงให้เห็นว่ากำลังเสพติดสารบางอย่าง ที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมเข้าให้แล้ว อย่างเช่น รสชาติหวาน หรือกลิ่นหอม ๆ ของลิปบาล์ม ซึ่งทำให้คุณไม่สามารถเปลี่ยนใจ หรือเลิกการทาลิปบาล์มได้นั่นเอง


          ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกายชนิดใดก็ตามควรใช้ในปริมาณที่พอดี ไม่ควรใช้ในปริมาณมากจนเกินไป อย่างเช่น เรื่องของการทาลิปบาล์ม ที่เรานำมากล่าวถึงกันในวันนี้ หากใครรู้ว่ากำลังเสพติดการทาลิปบาล์มอยู่ ควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ ก่อนที่จะทำให้เสียบุคลิก และย้อนกลับมาทำร้ายริมฝีปากของคุณเอง

ที่มา -- Kapook.com