23.4.10

ไปเจอมา>>>ทักษิณเปลี่ยนตัวเองได้ ด้วยเอ็นเนียแกรม....อ่านแล้วจะรู้ว่าอาการเหวงเป็นยังไง

 

ไปเปิดเจอมาเลยอยากเอามาฝากเอาไว้อ่านเล่นๆเเต่ไม่อยากบอกว่าอ่านไปจนจบแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นบทความเหวงๆ ที่อ่านแล้วเหวงมาก เหอะๆๆๆๆ 


ฝั่งขวาเจ้าพระยา โดย นักวิเคราะห์ เฉพาะกิจ 

“คนไม่เชื่อว่าคุณทักษิณเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผมเชื่อว่าเปลี่ยนได้” อาจารย์ประเวศ วะสี ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับกลางเดือนมีนาคม 53 

ผมเดาว่า คนไทยไม่น้อยกว่า 99 % ย่อมไม่เชื่อตามอาจารย์เป็นแน่ (ไม่นับผู้ที่ยังติดหวัดแม้ว) เพราะมองไม่เห็นทางเลยว่า คุณทักษิณ จะเปลี่ยนได้อย่างไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่า เพื่ออะไร 

บังเอิญผมเป็นคนส่วนน้อยใน 1 % ที่เหลือ จึงต้องพยายามหาคำตอบมาสนับสนุนความเชื่อนี้ 

ผมจึงนึกถึงหนังสือที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองของ สำนักพิมพ์ โกมล คีมทอง ที่ชื่อว่า เอ็นเนียแกรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง (Enneagram Transformation) ถ้าหนังสือเล่มนี้ใช้เปลี่ยนตัวเองได้จริง ก็ต้องใช้กับคุณทักษิณได้ด้วย 

ย้อนหลังไปหลายปีก่อน บนเวทีที่สวนลุม คุณสนธิ ลิ้มทองกุลเคยวิเคราะห์คุณทักษิณว่า เป็นคนบุคลิกแบบนักแสดง หรือคนเบอร์สามตามความรู้นี้ ผมจึงขอสานต่อสมมติฐานข้อนี้ ขอสรุปคำอธิบายคนเบอร์นี้จากหนังสือมาให้พอเข้าใจ 

คนเบอร์สาม นักปลุกใจ ผู้เน้นผลลัพธ์และความสำเร็จ 

“คนประเภทนี้กลัวถูกปฏิเสธ จึงต้องพยายามทำตัวให้เจ๋ง สุดยอดเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ภาพที่เขามองตัวเองคือ เป็นคนเก่งและมีค่ามาก แต่คนอื่นอาจมองเขาว่า ชอบเรียกร้องความสนใจและหยิ่งผยอง เมื่อไม่ได้การตอบสนองที่ดี คนเบอร์สามก็จะเริ่มสร้างภาพที่จะทำให้ตนกลายเป็นที่ต้องการได้ ดังนั้น คนประเภทนี้จึงยอมละทิ้งตัวตนแท้จริงทีละน้อย เพื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการแสดงบทบาทต่างๆ จนกระทั่งถึงจุดที่เขาไม่รู้ถึงความรู้สึกแท้จริงของตัวเอง และไม่รู้ว่า ตัวตนแท้จริงของตนนั้นเป็นอย่างไร เมื่อกลัวว่าจะมีคนเห็นความกลวงเปล่าในตัว เขาก็อาจทรยศต่อความรู้สึกของตัวเองและผู้อี่น เพียงเพื่อจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง” 

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้อุปมาว่า ในหัวของเรามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอยกำหนดวิถีชีวิตและพฤติกรรม เห็นได้จากที่เรามักทำสิ่งต่างๆ ตามนิสัยความเคยชินและเป็นอัตโนมัติ ปัญหาในชีวิตของเราก็เกิดจากการทำตามโปรแกรมที่ผิดพลาดซึ่งฝังอยู่ในหัวเราเหล่านี้ คือเวลาที่เราทำโดยไม่ทันได้คิด หรือทำโดยขาดสตินั่นเอง การกระทำนั้นจึงมักกระทบกระทั่งจนเป็นความขัดแย้งกับผู้อื่น และก่อให้ความทุกข์ ความยากลำบากกับตัวเองด้วย 

วิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเองในหนังสือคือ ท่องบทภาวนาเพื่อไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขส่วนที่ผิดพลาดนั้น เพื่อให้เกิดพฤติกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เป็นโทษกับตัวเองและคนอื่นอีกต่อไป 

ผมขอยกบทภาวนาบางข้อสำหรับคนแบบคุณทักษิณ พร้อมคำอธิบายและตัวอย่างประกอบดังนี้ 

ฉันจะปล่อยวาง ความรู้สึกที่เห็นผู้อื่นเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา 

ข้อผิดพลาดในโปรแกรมของคนเบอร์สามข้อแรกคือ การเห็นคนอื่นเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา มีใครเคยเห็นคุณทักษิณชื่นชมยกย่อง หรือมีความเป็นมิตรกับใครอย่างจริงใจบ้าง ถ้าจะย้อนตั้งแต่ ครม ในยุคทักษิณหนึ่ง เราคงจำได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีบางคน ซึ่งมีบทบาทหรือผลงานมาบดรัศมีของทักษิณในตอนนั้น 

ถ้าจะดูใกล้ ๆ ก็ สมัคร สุนทรเวช ผู้ซึ่งเทิดทูนบูชา ปกป้องทักษิณอย่างสุดลิ่มมาแต่ไหนแต่ไร บั้นปลายชีวิต ก็ได้เป็นนายกฯ อย่างไม่คาดฝัน แต่ต่อมาก็ต้องอกหักรุนแรงจากคำสัญญาว่าจะให้เป็นนายกฯ ซ้ำสอง เมื่อถึงวันที่เขาเสียชีวิต ทักษิณส่งข้อความผ่านทวีตเตอร์ดังนี้ 

“ตนและครอบครัวขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ นายสมัคร สุนทรเวช มา ณ ที่นี้ด้วย และไม่สามารถไปร่วมงานด้วยตัวเอง ซึ่งใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง พระพุทธเจ้าสอนไว้ แต่นักการเมืองไทยไม่คิด มีแต่เรื่องของอำนาจและผลประโยชน์เอาเป็นเอาตายกัน ทั้งที่หลักคือเสียสละ” 

เมื่อเห็นทุกคนล้วนเป็นศัตรู ชีวิตของคนอื่นก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าเครื่องมือทางการประชาสัมพันธ์ หรือที่ระบายความโกรธแค้นได้อย่างสะใจ ใช่หรือไม่ว่า การฆ่าตัดตอนคนสองพันกว่าคน กรณีกรือเซะ ตากใบ ฯลฯ ก็ล้วนมีส่วนจากความชิงชังที่ฝังลึกในใจนี้ 

คนที่อาจรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดีอีกกลุ่มก็น่าจะเป็นข้าเก่าบริวารที่เคยรับใช้ แล้วตีจากในภายหลัง คำพูดต่อหน้าจะรุนแรงขนาดไหนคงมีเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ แต่เราก็ได้ยินคำพูดของทักษิณต่อพวกเขาบางคนในที่สาธารณะ โดยเฉพาะกับอดีตขุนพลคู่ใจ ผู้เคยเล่นบทวิ่งเข้ากอดน้ำตาคลอเบ้า และบททหารเอกในพิธีกรรมขี่ช้างอวดศักดา 

แล้วทักษิณมีความรู้สึกอย่างไรต่อคนที่บินไปถวายตัวถึงต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งบริวารเก่าแก่ที่ยังทำงานรับใช้เขาอย่างสุดลิ่มอยู่ทุกวันนี้ คนเราเป็นอย่างไรก็ย่อมคิดว่าคนอื่นก็เป็นเหมือนตน ฉะนั้น ลึกๆ แล้วมีหรือเขาจะไม่รู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร ลึกๆ แล้วเขาจึงเห็นคนพวกนี้เป็นศัตรูยิ่งกว่าคนอื่นทั่วไปเสียอีก ไม่แปลกที่วิญญาณของสมัครจะได้คำสดุดีจากทักษิณแบบนั้น 

หากเข้าใจตามนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า ศัตรูในใจของทักษิณนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เจิมศักดิ์ที่ดันรู้ทันทักษิณมาก่อนปี 2547 ไม่ใช่แค่คนที่ไม่เลือกไทยรักไทยเมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่แค่สนธิคนที่เขาบอกเคยเป็นเพื่อนด้วย ไม่ใช่แค่จำลองที่เคยยกพรรคพลังธรรมให้ ไม่ใช่แค่พันธมิตรฯ ไม่ใช่แค่ คมช ไม่ใช่ คตส ไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ซึ่งเขาเคยเรียกว่าเด็ก ไม่ใช่แค่ประเทศอังกฤษหรือเยอรมันที่ไม่ยอมให้เขาเข้าประเทศ ไม่ใช่แค่ศาลที่พิพากษาความผิดของเขา และก็แน่นอน ไม่ใช่แค่อำมาตย์ที่เขาบอกว่าอยู่เบื้องหลังสิ่งต่างๆ แต่ในใจของเขา คนอื่นทุกคนคือศัตรู ไว้เว้นแม้แต่คนที่กำลังกอบโกยจากเขาในตอนนี้ 

ฉันจะปล่อยวาง ความเชื่อที่ว่าการทำลายผู้อื่นจะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นสำหรับฉัน 

การปาไข่ ทุบรถ ที่เคยเกิดขึ้น การโห่ร้อง ขับไล่ฝ่ายตรงข้ามที่ยังดำเนินอยู่ในทุกวันนี้คงเป็นผลพวงของความเชื่อข้อนี้ด้วย ภาพผู้นำจากประเทศต่างๆ ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนที่พัทยาปีที่แล้ว รวมทั้งการยึดรถแก๊ส เผารถเมล์ ยิงชาวบ้าน ฯลฯ พิธีกรรมเทเลือดสาปแช่ง และกิจกรรมอื่นๆ ที่คิดหามาทำกันในช่วงนี้ก็คงเพราะเหตุนี้เช่นกัน 

หากติดตามการโฟนอิน ก็จะได้ยินคำข่มขู่จากปากเขาอยู่บ่อยๆ จับใจความได้ทำนอง “เมื่อกูอยู่ไม่ได้ ใครก็อย่าหมายจะได้อยู่เป็นสุขกันเลย” 

ฉันจะเลิก คุยโตโอ้อวดตัวเองว่าทั้งดีและเก่ง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง และ ฉันจะปล่อยวาง ความอิจฉาที่มีต่อผู้อื่นและความโชคดีของเขา 

คงไม่ลืมคำคุยโม้โอ้อวดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบัน ไม่ว่าจะเป็น จะแก้ปัญหาจราจรให้ได้ภายใน 6 เดือน ปลดหนี้คนจนให้หมดประเทศใน 4 ปี เขาเป็นคนใช้หนี้ไอเอมเอฟ มีฐานเสียง 19 ล้านเสียง โจรกระจอก ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ ขอให้มากระซิบข้างหู แล้วเขาจะลาออก เป็นเจ้าของเหมืองเพชร ฯลฯ ควบคู่ไปกับคำเยาะเย้ยผู้อื่นทำนอง “ผมเสียภาษีมากกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศ” “อิจฉาผมละสิ” “โจรกระจอก” “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” 

ฉันจะปล่อยวาง ความกระหายในการเป็นที่ยอมรับ และได้รับความสนใจจากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา 

กระหายในการเป็นที่ยอมรับนี้อาจเป็นต้นเหตุของเรื่องอื่นที่กล่าวมาแล้ว เมื่ออยากให้ตนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งในโลกา คนอื่นก็ล้วนเป็นคู่แข่งและศัตรูในใจเขาโดยปริยาย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะศัตรูเหล่านั้น การทำลายด้วยทุกวิธีการก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับคนทั้งโลก ลึกๆ เขาจึงรู้สึกอิจฉาคนที่เก่งจริงและเป็นที่ยอมรับจริงๆ มากกว่าเขา ไม่ว่าจะเป็นอำมาตย์หรือเด็กสองคน หรือใครก็ตามที่ดูมีความสุขหรือเหนือกว่า แล้วเขาก็ต้องหลอกตัวเองด้วยการคุยโม้โอ้อวดว่าตนเก่งเหนือใคร เป็นที่ปรึกษาของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งเขมร! 

การทุ่มทุนทำศึกแดงมาเป็นล้านที่กำลังดำเนินอยู่นี้ บางคนวิเคราะห์แล้วว่า ทักษิณจะกลับไปมือเปล่า อ่านถึงตอนนี้ คุณอาจรู้ว่า อย่างน้อยทักษิณก็ได้สิ่งหนึ่งที่เขาอยากได้ และได้มาตลอด 8-9 ปีที่ผ่านมา นั่นคือการมีชื่อ มีรูป มีคนกล่าวถึงในทีวี ในหนังสือพิมพ์ ในเวปบอร์ด ในยูทูป ทุกวี่ทุกวัน ทั้งจากคนที่รัก ทั้งจากคนที่ชัง ถ้าเราเข้าใจทักษิณว่าเป็นคนเบอร์สามที่จิตตกต่ำรุนแรง ก็จะรู้ว่า เขาต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องคาวหรือหวานกับดารานักร้อง เรื่องบ้าบอไร้สาระอะไรก็ได้ ขอให้เป็นข่าวให้ผู้คนกล่าวถึงเป็นพอ เพื่อสนองความอยากที่จะเป็น “คนสำคัญ” ของตัวเอง 

สมมติมีข้อเสนอให้ทักษิณว่า จะคืนเงินที่ยึดให้ทั้งหมด พร้อมนิรโทษกรรม แถมยุติทุกคดีความ แต่มีข้อแม้ว่า ให้เขาอยู่เงียบๆ ที่เมืองนอก เลิกยุ่งกับเมืองไทย เลิกโฟนอิน ห้ามวิดีโอลิงค์ ไม่ต้องทำตัวให้เป็นข่าวด้วย คือให้ทำเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่สำหรับคนไทยอีกต่อไป คุณคิดว่า ทักษิณจะรับข้อเสนอนี้หรือไม่ 

ถ้าตอบคำถามนี้ได้ คุณก็จะทำใจได้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ คุณก็จะได้ยินเรื่องของทักษิณตลอดไป 

บทสรุป 

ถ้าคุณทักษิณสามารถเปลี่ยนโปรแกรมในหัว โดยปล่อยวางสิ่งต่างๆ ตามตัวอย่างที่ยกมานี้ เขาก็คงมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้บ้าง 

ก็ได้แต่หวังอย่างริบหรี่ว่า ในโลกนี้จะมีใครสักคนที่คุณทักษิณไม่เห็นเป็นศัตรู หรือพอจะนับถือหรือเชื่อฟังอยู่บ้าง ผมอยากให้บุคคลผู้นั้นส่งหนังสือเอ็นเนียแกรมไปให้เขาอ่านดู หรือจะดียิ่งกว่า ถ้าสามารถแนะนำโค้ช หรือนักจิตบำบัดที่รู้เอ็นเนียแกรมให้กับเขา (ในยุโรปก็มีหลายคน) ในเมื่อเข้าวัดก็แล้ว อ่านหนังสือธรรมะก็แล้ว สมาธิก็นั่งแล้ว บางทีนี่อาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ความเชื่อของคุณหมอประเวศเป็นจริงขึ้นมา และเป็นหนทางเดียวที่เมืองไทยจะกลับสู่ภาวะปกติด้วย 

>>>>>>>> อืมมมม เหวงอ่ะ........


21.4.10

ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?

 

FW: บทความ คุณนิติภูมิ

ปี 2553 จุดจบประเทศไทย 
เรื่องนี้คนไทยทุกคนควรที่จะได้รู้ ประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา .....ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค 
ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น 6-14 ประเทศ 
ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น ติมอร์ และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศ อาเจะ และอีกหลายประเทศ ที่จะเกิดตามมา ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ แน่นอน ! ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์ สินค้าเกษตรต่าง ๆ จากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออก เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน คนปลูกหอม กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน เป็นวงจรอย่างนี้ ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากิน เนื่องจาก สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๊ยของต่างประเทศ พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากในอีก 10 ปีข้างหน้าพันธุกรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้ เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว ไฟฟ้าก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เขาสามารถตั้งราคา ได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่า เขาจะไม่มีกำไร ธุรกิจจะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้ ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ ๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ การขายที่ดินราคาถูก ๆ และจำนวนมหาศาลจะตามมา คนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ ก็ไม่ามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ เพราะธุรกิจอื่นได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus,Carrefour, ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, McDonal, สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ ดังนั้น เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด... เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ ...รัฐจะอยู่ได้ฤา ? 
4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553 คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศ เพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย 
การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้น จนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหาร ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย 
ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นาน จากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ ทั้งสมุนไพร อาหารต่าง ๆ เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก 
นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia ถ้าไทยต่อต้าน เจอทหารต่างชาติแน่ 

เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ? 
ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ มาหลายปี และสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิ ไปแปลลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ในการวิเคราะห์ บ่อยครั้งที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมกัน รวมทั้งประวัติศาสตร์เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ ก่อนล่มจริง... เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้งอนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้นิติภูมิ ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย แทนที่ไปเดิน big-c, lotus, careflour, เพราะผมบอกแม่บ้านและลูก ๆ ว่า เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน 100 บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86 บาท เหลือให้คนไทย 14 บาท เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี โลตัสเหมือนกันนิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ 3 ห้างดัง ผมตกใจมาก และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้น เพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แล้วบางห้าง 86 ปอร์เซ็นต์ สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี่ เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริง ๆ ๆ ถ้าซื้อจากห้าง 1,000 บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900 บาท ที่เหลือ 100 บาท ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียวห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศคนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบให้น้อยลง เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุดผมอธิบาย วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กที่บ้าน และลูกฟังหัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ ได้ผล... ลูกเปลี่ยนวิธีกิน... วิธีคิดไปเลย ... เปลี่ยนไปได้มากพอเย็นสั่งผมซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา 3 ขาไก่ทอดแบบไทย ๆ แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น เลือกน่องครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย 
ผมก็อธิบายคำว่า license ( ค่าลิขสิทธิ) ให้ลูกฟัง 
ผมบอกว่า ซื้อไก่ 35 บาท ค่าไก่ 15 บาท ที่เหลือเป็นค่าลิขสิทธ 
ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ ใบตองที่ห่อขนมไทยไม่มี 
ลิขสิทธิ มันเป็นวัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน 
ขนมต่างชาติ ห่อสวย แพง เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ 
เวลามันหล่นที่พื้น ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน 200 ปี 
ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย ผมทำได้และได้ทำแล้ว 

***********************************************************************************
อ่านแล้วคิดว่ายังไงกันบ้าง


7.4.10

Fw: นี่หรือคือสิ่งที่ ใจ อึ๊งภากรณ์เขียนถึงในหลวง จากเว็ป นปช.อเมริกา....

 


ใจอึ๊งภากรณ์เขียนถึงในหลวง จากเวบ นปช.อเมริกา????????????????? ( คนคนนี้กำลังคิดอะไร)
คงลืมไปแล้วมั้ง ว่าใครเป็นคนกอบกู้ประเทศชาติให้มันยืดอกตัญญูอยู่ได้ทุกวันนี้ มิใช่สถาบันพระมหากษัตริย์หรอกรึ??

User Rating: / 87 
Poor Best 

Written by ใจ อึ๊งภากรณ์ 

Friday, 02 October 2009 04:57

เมื่อภูมิพลตาย
ผมไม่เชื่อว่าการเขียนบท ความที่มีหัวข้อแบบนี้เป็นการสาปแช่งให้ใครตายเร็วหรือช้า เพราะผมไม่เชื่อเรื่องการสาปแช่ง มันเป็นเรื่องงมงาย และการที่มนุษย์เกิดมาก็ย่อมตาย คนแก่มีแนวโน้มตายเร็ว มีแค่นี้

คน ไทยจำนวนมาก ไม่ว่าจะแดงหรือเหลือง กำลังรอวันตายของ ภูมิพล ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันไป เพราะ ภูมิพล มีความสำคัญในสังคมไทย ทั้งบวกและลบ แล้วแต่จุดยืน แต่ประเด็นที่เราต้องมาคิดกันคือ “สำคัญอย่างไร"
คน เสื้อแดงและคนเสื้อเหลืองจำนวนมากมองว่า ภูมิพล คือผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคมไทย ยังกับว่าเราอยู่ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผมไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์แบบนี้ แต่ถ้ามันจริง เมื่อ ภูมิพล ใกล้ตาย ต้องมีการแย่งชิงอำนาจกันเพื่อขึ้นมาเป็นกษัตริย์คนต่อไป มันจ ะเกิดจริงหรือ? ทหารของพระเทพฯจะรบกับทหารของเจ้าฟ้าชายหรือทหารของราชินีจริงหรือ? ทหารของเปรมจะแต่งตั้งเปรมเป็นกษัตริย์แทนหรือ? ไม่น่าจะใช่

มันอาจจะแย่งกัน แต่สิ่งที่แย่งกันคือ ว่าใครจะมีสิทธิ์ใช้สถาบันกษัตริย์เพื่อสร้างความชอบธรรมกับตนเองมากกว่า
เมื่อ ภูมิพล ตาย ผมเดาว่าจะมีการสร้างพิธีงานศพมโหฬาร ใหญ่โต สิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล และจะใช้เวลาอย่างน้อยสองเท่าเวลาที่เขาใช้กับ “พระพี่นาง” อาจถึงห้าปีก็ยังได้ อาจมีงานต่อทุกปีให้ครบสิบปีก็ได้ งานศพนี้จะมีวัตถุประสงค์เดียว (ไม่ใช่เพราะว่าไพร่ทั้งหลายต้องใช้เวลาทำใจท่ามกลางความเศร้าหรอก) แต่เพื่อเสริมสร้างลัทธิกษัตริย์ ที่จะนำมาข่มขู่กดขี่เรา การเสริมสร้างลัทธิกษัตริย์เป็นอาวุธทางความคิดที่สำคัญที่สุดของฝ่าย อำมาตย์ เพราะเวลาอำมาตย์ทำรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตย สร้างสองมาตรฐานทางกฎหมาย ใช้ความรุนแรง กลั่นแกล้งเข่นฆ่าประชนชน ก็ทำในนามกษัตริย์ตลอด โดยคิดว่าถ้าอ้างกษัตริย์แล้วเราพลเมืองทั้งหลายจะเกรงกลัวหรือเกรงใจ และถ้าแค่นั้นไ ม่สำเร็จ ก็ยังมีกฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ กฎหมายหมิ่นศาล กฎหมายค อมพิวเตอร์ และกฎหมายความมั่นคงไว้ปราบเราอีก และถ้าแค่นั้นไม่พอก็ยิงประชาชนท่ามกลางเมืองได้

อำนาจ ดิบแท้ของอำมาตย์อยู่ที่ทหาร เวลาทหารทำอะไรในอดีต เช่นรัฐประหาร มันไม่ใช่การทำตามคำสั่งของ ภูมิพล เพราะ ภูมิพล เป็นคนขี้ขลาดทางการเมือง เป็นคนไร้จุดยืนที่แน่นอน และไม่มีศักยาภาพ ที่จะนำอะไร เขาเป็นคนไปตามกระแส เป็นหุ่นเชิดได้ดี ตอนทักษิณเป็นนายกก็ชมทักษิณ ตอนเผด็จการทหารขึ้นมาก็ชมทหาร พูดกำกวมให้คนไปตีความเองได้ตามความต้องการ เพื่อจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ยินดีให้คนกราบไหว้ และยินดีสะสมความร่ำรวย
ดัง นั้นเวลาทหารตัดสินใจทำอะไร ก็ทำพิธีเหมือนกับจะไปรับคำสั่ง แต่แท้จริงไป “แจ้ง” ว่าจะทำอะไร ภูมิพลก็พยักหน้าหรืออาจไม่ให้พบแต่แรก แล้วแต่ว่าความเห็นส่วนใหญ่ของทหารอื่นและผู้ใหญ่อื่นๆจะว่าอย่างไร ตรงนี้เปรมเป็นผู้ประสานงาน แต่ไม่มีอำนาจพิเศษ พอทหารเห็นภูมิพลพยักหน้า ก็รีบออกมาแจ้งสังคมว่าสิ่งที่เขาทำ ทำไปตาม “คำสั่ง” ทั้งนี้เพื่อหลอกให้เราคิดว่ามีความชอบธรรม หรือหลอกให้เรากลัว

เมื่อ ภูมิพล ตาย ทหารจะยังมีอำนาจอยู่ ปืนและรถถังไม่ได้หายไปไหน และเมื่อทหารชั้นผู้ใหญ่ตกใ จที่ภูมิพลตาย ก็ไม่ใช่เพราะ “ไม่รู้จะรับคำสั่งจากใคร” แต่ปัญหาของเขาคือ “ไม่รู้จะหากินสร้างความชอบธรรมจากใครต่อ” มันต่างกันมาก ผมเดาว่าเมื่อ ภูมิพล ตาย ทหารจะต้องการยืดงานศพให้ยาวนาน ภาพ ภูมิพล จะเต็มบ้านเต็มเมือง และใครที่คิดต่างจากทหารหรืออำมาตย์ หรือใครที่อยากได้ประชาธิปไตยแท้ ก็จะถูกโจมตีว่าต้องการ “ล้มภูมิพล” ทั้งๆ ที่ ภูมิพล ตายไปแล้ว ใช่ครับมันไม่สมเหตุสมผล แต่ลัทธิกษัตริย์ของอำมาตย์มันไม่ต้องสมเหตุสมผลทุกครั้งอยู่แล้ว

นอก จากนี้ ในขณะที่มีงานศพยาวนานพร้อมการคลั่งและเชิดชูคนที่ตายไปแล้ว ก็จะมีการเข็นลูกชายออกมารับหน้าที่เป็นกษัตริย์ใหม่ ปัญหาของอำมาตย์คือไม่มีใครเชื่อว่าลูกชายเป็นคนดีห รือมีความสามารถ ไม่เหมือนพ่อ ไม่มีใครรัก แม้แต่คนเสื้อเหลืองเองก็ไม่เคารพ แต่การจัดงานศพพ่อยาวๆ การ “ไม่ลืมภูมิพล” จะกลายเป็นเครื่องมือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากลูกชาย นอกจากนี้เขายังมีเมีย ภูมิพล อีกด้วย เข็นออกมารับงานได้ แต่ประชาชนก็ไม่รักเท่าไรตั้งแต่ไปงานศพพันธมิตรฯ ดังนั้นในเรื่องลูกชายและเมีย ก็ต้องย้ำเสมอว่า “เป็นลูกชายภูมิพล เป็นเมียภูมิพล” เพื่อไม่ให้เราลืมความดีงามของ ภู มิพล

ทั้ง ลูกชายและเมีย ภูมิพล มีภาพว่าเป็นคนโหดร้าย อาจจริง แต่จะโหดร้ายแค่ไหนก็ไม่มีอำนาจมากกว่าที่ ภูมิพล มีหรือเคยมี ซึ่งภูมิพลก็ไร้อำนาจ แต่เราจะเห็นละครของทหารและข้าราชการ “ไปเข้าเฝ้า” เพื่อ “รับคำสั่ง” ตามเคย บางครั้งอาจเป็นคำสั่งจริงในเรื่องแปลกๆ ตลกๆ ที่ไม่ค่อยมีความสำคัญกับบ้านเมือง ทหารก็คงทำไปเพื่อเอาใจและสร้างภาพ แต่ในประเด็นสำคัญหลักๆ ทหารและอำมาตย์ส่วนอื่นจะตัดสินใจก่อน แล้ วไป “แจ้ง” ให้ลูกและเมียทราบ และออกมาโกหกว่ารับคำสั่งมา

ถ้าลูกชายภูมิพลไม่ได้รับความเคารพในสังคม ทำไมไม่นำลูกสาวขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทน? ถ้าภูมิพลมีอำนาจจริง ทำไมเขาไม่ประกาศว่าลูกสาวจะเป็นกษัตริย์คนต่อไปก่อนตาย? คำตอบคือ ภูมิพลไม่กล้า และที่สำคัญการนำลูกสาวขึ้นมาโดยทหาร จะส่งสัญญาณอันตรายว่า ระบบกษัตริย์ไม่ได้อิงจารีตอันเก่าแก่จริง ให้ผู้หญิงเป็นกษัตริย์ได้แทนผู้ชายที่ยังมีชีวิต ยิ่งกว่านั้นจะส่งสัญญาณว่าในระบบกษัตริย์ ถ้ากษัตริย์หรือเจ้าฟ้าชายไม่ดีไม่เหมาะสม ก็เปลี่ยนคนได้อีกด้วย ถ้าเปลี่ยนคนได้ก็ยกเลิกไปเลยได้เหมือนกัน อย่าลืมว่ากษัตริย์มีบทบาทหลักในการเป็นลัทธิความคิดที่ใช้คร อบงำเรา มันไม่ใช่อำนาจดิบ ดังนั้นผลในทางความคิดเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนี้เจ้าฟ้าชายอาจเป็นคนที่ถูกใช้ได้ดีกว่าเจ้าฟ้าหญิงก็ได้

เมื่อ ภูมิพล ตาย สังคมไทยจะไม่ปั่นป่วนกว่าที่เป็นอยู่แล้ว อย่าไปโง่คิดว่า “จุดรวมศูนย์หัวใจคนไทยหายไป” มันเลิกเป็นจุดรวมศูนย์นานแล้ว และไม่ได้รวมหัวใจทุกคนด้วย แต่สิ่งที่จะปั่นป่วนหนักคือหัวใจของพวกอำมาตย์และเสื้อเหลือง ต่างหาก พวกนี้จะคลั่งมากขึ้น อันตรายมากขึ้น แต่อันตรายท่ามกลางความกลัว เขาจึงมีจุดอ่อน

เมื่อ ภูมิพล ตาย คนเสื้อแดงจำนวนมากที่เกรงใจ ภูมิพล อาจรัก ภูมิพล จะไม่เกรงใจหรือรักลูกชายเลย ความปลื้มในระบบกษัตริย์จะลดลงอีกในสายตาคนส่วนใหญ่

แต่ เมื่อ ภูมิพล ตาย คนเสื้อแดงที่ไม่เอาเจ้า เพราะอยากได้ประชาธิปไตยแท้ จะไม่ประสบผลสำเร็จง่ายๆ โดยอัตโนมัติ เพราะฝ่ายอำมาตย์จะไม่เลิก อำนาจทหารจะยังมี และการรณรงค์คลั่งเจ้าจะเพิ่มขึ้น

ใน มุมกลับ เมื่อ ภูมิพล ตาย อำมาตย์จะปั่นป่วน และมันเป็นโอกาสที่เราจะสู้ทางความคิดอย่างหนัก เพราะแหล่งความชอบธรรมเขาจะอ่อนลง เราจะต้องถามว่าทำไมต้องมีระบบนี้ต่อภายใต้ลูกชายหรือแม่?

พลเมือง ที่ร ักประชาธิปไตยไม่สามารถรอวันตายของ ภูมิพล ได้ เพราะมันจะมีทั้งภัยและโอกาสตามมา เราหลีกเลี่ยงการวางแผน การจัดตั้งคน และการ ผนึกกำลังมวลชนไม่ได้ ประชาธิปไตยจะไม่หล่นจากต้นไม้ เหมือนมะม่วงสุก เราต้องไปเด็ดมันลงมากิน และเราจะต้องสอยอำมาตย์ทั้งหมดลงมา เพื่อไม่ให้ทำลายประชาธิปไตยอีก

โดย..ใจ อึ๊งภากรณ์
25 ก.ย. 2552 




1.4.10

fw:ใหม่....



     วันนี้ได้ฟอร์เวิดเมล์มา อ่านแล้วน่าสนใจว่าเสื้อแดงถูกทักษิณหลอกใช้หรือเปล่า ลองอ่านข้างล่างดูนะ ไม่ได้บอกชื่อว่าจากใคร

      ขออนุญาติใช้เวทีนี้หน่อยเราเป็นเสื้อแดงที่เพิ่งไปร่วมชุมนุมในครั้งนี้เป็นครั้งแรกไปมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไปด้วยศัทธาในตัวอดีตนายกทักษิณ เพิ่งได้ไปฟังการปราศัยและการวิดิโอลิงค์ไปตั้งแต่บ่ายจนถึงดึกพบเห็นอะไรมากมายรวมถึงการปราศัยของคนต่างๆบนเวทีและได้รู้ว่าออพวกนี้ก้เป็นเสื้อแดง เราเริ่มมีคำถามเกิดขึ้นในใจเราตลอดเวลาที่เราเดินและนั่งและฟังอยู่ในม๊อบ เราได้ดูและฟังวิดีโอลิงค์จากอดีตนายกด้วยใจกลางๆเพราะเราได้เห็นและได้ฟังมาตั้งแต่บ่าย เราได้เห็นและฟังอะไร เราได้เห็นคนต่างจังหวัด คนจรจัด ที่นั่งๆนอนๆอยู่ คนกรุงเทพที่มากันในตอนหัวค่ำ เราได้เห็นคนที่เราคิด ย้ำเราคิดว่าไม่นาจะเป็นชนชั้นนำในสังคมได้ เช่นดาราที่เราไม่เคยชอบในพฤติกรรมได้เห็นพวกที่มีชื่อเสียงหน่อยในสังคมที่ผลัดกันขึ้นเวที่ ด่ากันอย่างเมามันและดูเหมือนไร้สติเราเริ่มเกิดคำถามกับตัวเองพวกคนพวกนี้หรือที่จะมาทำงานให้กับอดีดนายกทักษิณ ไม่นับรวมภาพที่เราเห็นตั้งแต่บ่ายที่เราเห็นคือคนที่เค้าบอกมาเรียกร้องประชาธิปไตยนั่งจับกลุ่มคุยกันด้วยภาษาอิสานพร้อมกับเหล้าและเบียร์อยู่กลางวงกระจายเป็นหย่อมๆหลายกๆกลุ่มบางกลุ่มก็ยกแก้วเหล้าให้เราเมื่อเราเดินผ่าน ตกค่ำเราหาที่นั่งเหมาะๆผู้คนเริ่มทยอยกันมาส่วนมากจะดูเหมือนพวกที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ แกนนำทั้งสามท่านเริ่มผลัดกันขึ้นเวที เราตั้งมั่นจะทำใจเป็นกลาง และรวมถึงเราอยากเห็นกับตาว่าพวกเรามาเรียกร้องกันเป็นแสนจริงๆ เราสังเกตุด้วยสายตาเราคร่าวๆ ไม่น่าถึงแสนเพราะหางแถวทั้งสองด้านไปเลยกึ่งกลางระหว่างทางไปถึงอนุเสาวรีย์ฯด้วยซึ้า และอีด้านหนึ่ง อยู่แค่พื้นที่ในการชุมนุมไม่เลยไปถึงแยก จปร กลับมาที่แกนนำทีเริ่มพูดเรื่องเลวร้ายของรัฐบาลและนายกอภิสิทธิ์ รวมถึงอำมาตย์ ถึงวันนี่เองเราเพิ่งจะเข้าใจว่าอำมาตย์ หมายถึงใคร เค้าหมายถึงพวกองค์มนตรี และเรืองคลิปเสียงสั่งฆ่าประชาชนของนายกอภิสิทธิ์ ซึ่งเราได้รับรู้มาแล้วว่าเป็นการตัดต่อ แต่แกนนำพยายามพูดว่าเป็นเสียงของนายกอภิสิทธิ์จริงจนถึงขนาดให้มีการสาบานถึงตรงนี้ เรารู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่งแรง เหมือนเราโง่มานั้งให้เค้าหลอกซึ่งเราบอกแต่แรกแล้วว่าเราจะทำใจกลางๆนั่งฟัง เราก็ทนฟังต่อใจจบเพื่อรอวิดิโอลิงค์จากท่านทักษิณสุดท้ายท่านวิดีโอิงค์มาเราตื่นเต้นได้ฟังเสียงท่านสดๆ เราตั้งใจฟังอย่างมากท่านพูดเรื่องอำมาตย์เหมือนแกนนำ และเรื่องอะไรอีกเรื่องของท่านหนึงที่เเกี่ยวกับประชาชนว่าควรจะมอบอำนาจให้ประชาชนได้แล้วไม่ควรยึดติดอะไรทำนองนี้เราก็เริ่มส่งสัยว่าท่านพูดถึงใคร พอนายกทักษิณพูดว่า ท่านก็อายุแปดสิบกว่าแล้วไม่นานก็ตายแล้วควรจะหยุดได้แล้ว เราอึ้งนำตาไหลการตกผลึกทางความคิดทำงานทันที ที่เราได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับการล้มสถาบันแต่ยังไม่เชื่อเพราะเราไม่เห็นและไม่มีข้อมูล เรานึกว่าเป็นการใส่ร้ายท่านทักษิณ แต่วันนี้เราได้เห็นและได้ยินสองหู เราลุกขึ้นยืน เริ่มมองหาทางเดินออก อยากกลับบ้านและออกจากที่นี่เร็วที่สุดเราไม่อยากเเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาตร์อันชั่วช้านี้ ป้าที่นั่งข้างๆทักว่าจะกลับแล้วหรือหนูรถยังไม่ออกหลอกเค้าบอกจะขึ้นรดกลับได้ต้องประมาณเที่ยงคืนเนี่ยป้าก้รอเวลาอยู่อีกนานนั่งฟังท่านให้จบก่อนซิ เรากลับถึงหอพักรีบถอดเสื้อสีแดงออกและนำมันไปทิ้งลงขยะ เรารู้สักรังเกียจมันขึ้นมาทันทีทั้งเมื่อเช้าเรายังใส่มันด้วยความภูมิใจ เราเขียนมาไม่ต้องการให้ใครมายินดีกับเราแต่เราต้องการระบายความอัดอั้นตันใจนี่เราจะกลับไปบอกพ่อแม่พี่น้องเรายังไงให้เข้าใจว่าพวกเรากำลังโดนหลอก จากวันนั้นเราเหมือนคนบ้าได้แต่นั่งหน้าเครื่องคอมค้นหาข้อมูลอีกด้านของอดีนายก เราเริ่มรับข้อมูลสองด้าน เค้ามาอ่านเวบนี้ เมื่อก่อนหากเราได้เมล์มาหากเป็นข้อมูลที่ให้ร้ายต่อนายกทักษิณเราจะลบทิ้งทันที ไม่เคยอ่านเพราะเชื่อมันในตัวท่านเหมือนพวกบ้านเราที่ต่างจังหวัด เราคงไม่ต้องเขียนไปมากกว่านี้แล้วตอนนี้เราอ่านข้อมูลอีกด้านหนึ่งอย่างกระหายเหมือนจะสร้างความมั่นใจว่าคราวนี้เราคิดไม่ผิด เราอยากจะบอกคุณทักษิณว่าคุณเลวได้ใจเราจริงๆ คุณหลอกตาสีตาสาให้มาทนทุกข์เพื่อคุณ ให้เค้ามาตายแทนคุณ แต่พวกคุณและตระกูลคุณกลับเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองที่พวกคุณขนไปจากเมืองไทย


รักในหลวงที่สุด
คนโคราชใน กทม.