23.4.10

ไปเจอมา>>>ทักษิณเปลี่ยนตัวเองได้ ด้วยเอ็นเนียแกรม....อ่านแล้วจะรู้ว่าอาการเหวงเป็นยังไง

 

ไปเปิดเจอมาเลยอยากเอามาฝากเอาไว้อ่านเล่นๆเเต่ไม่อยากบอกว่าอ่านไปจนจบแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นบทความเหวงๆ ที่อ่านแล้วเหวงมาก เหอะๆๆๆๆ 


ฝั่งขวาเจ้าพระยา โดย นักวิเคราะห์ เฉพาะกิจ 

“คนไม่เชื่อว่าคุณทักษิณเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผมเชื่อว่าเปลี่ยนได้” อาจารย์ประเวศ วะสี ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับกลางเดือนมีนาคม 53 

ผมเดาว่า คนไทยไม่น้อยกว่า 99 % ย่อมไม่เชื่อตามอาจารย์เป็นแน่ (ไม่นับผู้ที่ยังติดหวัดแม้ว) เพราะมองไม่เห็นทางเลยว่า คุณทักษิณ จะเปลี่ยนได้อย่างไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่า เพื่ออะไร 

บังเอิญผมเป็นคนส่วนน้อยใน 1 % ที่เหลือ จึงต้องพยายามหาคำตอบมาสนับสนุนความเชื่อนี้ 

ผมจึงนึกถึงหนังสือที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองของ สำนักพิมพ์ โกมล คีมทอง ที่ชื่อว่า เอ็นเนียแกรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง (Enneagram Transformation) ถ้าหนังสือเล่มนี้ใช้เปลี่ยนตัวเองได้จริง ก็ต้องใช้กับคุณทักษิณได้ด้วย 

ย้อนหลังไปหลายปีก่อน บนเวทีที่สวนลุม คุณสนธิ ลิ้มทองกุลเคยวิเคราะห์คุณทักษิณว่า เป็นคนบุคลิกแบบนักแสดง หรือคนเบอร์สามตามความรู้นี้ ผมจึงขอสานต่อสมมติฐานข้อนี้ ขอสรุปคำอธิบายคนเบอร์นี้จากหนังสือมาให้พอเข้าใจ 

คนเบอร์สาม นักปลุกใจ ผู้เน้นผลลัพธ์และความสำเร็จ 

“คนประเภทนี้กลัวถูกปฏิเสธ จึงต้องพยายามทำตัวให้เจ๋ง สุดยอดเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ภาพที่เขามองตัวเองคือ เป็นคนเก่งและมีค่ามาก แต่คนอื่นอาจมองเขาว่า ชอบเรียกร้องความสนใจและหยิ่งผยอง เมื่อไม่ได้การตอบสนองที่ดี คนเบอร์สามก็จะเริ่มสร้างภาพที่จะทำให้ตนกลายเป็นที่ต้องการได้ ดังนั้น คนประเภทนี้จึงยอมละทิ้งตัวตนแท้จริงทีละน้อย เพื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการแสดงบทบาทต่างๆ จนกระทั่งถึงจุดที่เขาไม่รู้ถึงความรู้สึกแท้จริงของตัวเอง และไม่รู้ว่า ตัวตนแท้จริงของตนนั้นเป็นอย่างไร เมื่อกลัวว่าจะมีคนเห็นความกลวงเปล่าในตัว เขาก็อาจทรยศต่อความรู้สึกของตัวเองและผู้อี่น เพียงเพื่อจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง” 

ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้อุปมาว่า ในหัวของเรามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอยกำหนดวิถีชีวิตและพฤติกรรม เห็นได้จากที่เรามักทำสิ่งต่างๆ ตามนิสัยความเคยชินและเป็นอัตโนมัติ ปัญหาในชีวิตของเราก็เกิดจากการทำตามโปรแกรมที่ผิดพลาดซึ่งฝังอยู่ในหัวเราเหล่านี้ คือเวลาที่เราทำโดยไม่ทันได้คิด หรือทำโดยขาดสตินั่นเอง การกระทำนั้นจึงมักกระทบกระทั่งจนเป็นความขัดแย้งกับผู้อื่น และก่อให้ความทุกข์ ความยากลำบากกับตัวเองด้วย 

วิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเองในหนังสือคือ ท่องบทภาวนาเพื่อไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขส่วนที่ผิดพลาดนั้น เพื่อให้เกิดพฤติกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เป็นโทษกับตัวเองและคนอื่นอีกต่อไป 

ผมขอยกบทภาวนาบางข้อสำหรับคนแบบคุณทักษิณ พร้อมคำอธิบายและตัวอย่างประกอบดังนี้ 

ฉันจะปล่อยวาง ความรู้สึกที่เห็นผู้อื่นเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา 

ข้อผิดพลาดในโปรแกรมของคนเบอร์สามข้อแรกคือ การเห็นคนอื่นเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา มีใครเคยเห็นคุณทักษิณชื่นชมยกย่อง หรือมีความเป็นมิตรกับใครอย่างจริงใจบ้าง ถ้าจะย้อนตั้งแต่ ครม ในยุคทักษิณหนึ่ง เราคงจำได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีบางคน ซึ่งมีบทบาทหรือผลงานมาบดรัศมีของทักษิณในตอนนั้น 

ถ้าจะดูใกล้ ๆ ก็ สมัคร สุนทรเวช ผู้ซึ่งเทิดทูนบูชา ปกป้องทักษิณอย่างสุดลิ่มมาแต่ไหนแต่ไร บั้นปลายชีวิต ก็ได้เป็นนายกฯ อย่างไม่คาดฝัน แต่ต่อมาก็ต้องอกหักรุนแรงจากคำสัญญาว่าจะให้เป็นนายกฯ ซ้ำสอง เมื่อถึงวันที่เขาเสียชีวิต ทักษิณส่งข้อความผ่านทวีตเตอร์ดังนี้ 

“ตนและครอบครัวขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ นายสมัคร สุนทรเวช มา ณ ที่นี้ด้วย และไม่สามารถไปร่วมงานด้วยตัวเอง ซึ่งใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง พระพุทธเจ้าสอนไว้ แต่นักการเมืองไทยไม่คิด มีแต่เรื่องของอำนาจและผลประโยชน์เอาเป็นเอาตายกัน ทั้งที่หลักคือเสียสละ” 

เมื่อเห็นทุกคนล้วนเป็นศัตรู ชีวิตของคนอื่นก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าเครื่องมือทางการประชาสัมพันธ์ หรือที่ระบายความโกรธแค้นได้อย่างสะใจ ใช่หรือไม่ว่า การฆ่าตัดตอนคนสองพันกว่าคน กรณีกรือเซะ ตากใบ ฯลฯ ก็ล้วนมีส่วนจากความชิงชังที่ฝังลึกในใจนี้ 

คนที่อาจรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดีอีกกลุ่มก็น่าจะเป็นข้าเก่าบริวารที่เคยรับใช้ แล้วตีจากในภายหลัง คำพูดต่อหน้าจะรุนแรงขนาดไหนคงมีเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ แต่เราก็ได้ยินคำพูดของทักษิณต่อพวกเขาบางคนในที่สาธารณะ โดยเฉพาะกับอดีตขุนพลคู่ใจ ผู้เคยเล่นบทวิ่งเข้ากอดน้ำตาคลอเบ้า และบททหารเอกในพิธีกรรมขี่ช้างอวดศักดา 

แล้วทักษิณมีความรู้สึกอย่างไรต่อคนที่บินไปถวายตัวถึงต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งบริวารเก่าแก่ที่ยังทำงานรับใช้เขาอย่างสุดลิ่มอยู่ทุกวันนี้ คนเราเป็นอย่างไรก็ย่อมคิดว่าคนอื่นก็เป็นเหมือนตน ฉะนั้น ลึกๆ แล้วมีหรือเขาจะไม่รู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร ลึกๆ แล้วเขาจึงเห็นคนพวกนี้เป็นศัตรูยิ่งกว่าคนอื่นทั่วไปเสียอีก ไม่แปลกที่วิญญาณของสมัครจะได้คำสดุดีจากทักษิณแบบนั้น 

หากเข้าใจตามนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า ศัตรูในใจของทักษิณนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เจิมศักดิ์ที่ดันรู้ทันทักษิณมาก่อนปี 2547 ไม่ใช่แค่คนที่ไม่เลือกไทยรักไทยเมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่แค่สนธิคนที่เขาบอกเคยเป็นเพื่อนด้วย ไม่ใช่แค่จำลองที่เคยยกพรรคพลังธรรมให้ ไม่ใช่แค่พันธมิตรฯ ไม่ใช่แค่ คมช ไม่ใช่ คตส ไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ซึ่งเขาเคยเรียกว่าเด็ก ไม่ใช่แค่ประเทศอังกฤษหรือเยอรมันที่ไม่ยอมให้เขาเข้าประเทศ ไม่ใช่แค่ศาลที่พิพากษาความผิดของเขา และก็แน่นอน ไม่ใช่แค่อำมาตย์ที่เขาบอกว่าอยู่เบื้องหลังสิ่งต่างๆ แต่ในใจของเขา คนอื่นทุกคนคือศัตรู ไว้เว้นแม้แต่คนที่กำลังกอบโกยจากเขาในตอนนี้ 

ฉันจะปล่อยวาง ความเชื่อที่ว่าการทำลายผู้อื่นจะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นสำหรับฉัน 

การปาไข่ ทุบรถ ที่เคยเกิดขึ้น การโห่ร้อง ขับไล่ฝ่ายตรงข้ามที่ยังดำเนินอยู่ในทุกวันนี้คงเป็นผลพวงของความเชื่อข้อนี้ด้วย ภาพผู้นำจากประเทศต่างๆ ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนที่พัทยาปีที่แล้ว รวมทั้งการยึดรถแก๊ส เผารถเมล์ ยิงชาวบ้าน ฯลฯ พิธีกรรมเทเลือดสาปแช่ง และกิจกรรมอื่นๆ ที่คิดหามาทำกันในช่วงนี้ก็คงเพราะเหตุนี้เช่นกัน 

หากติดตามการโฟนอิน ก็จะได้ยินคำข่มขู่จากปากเขาอยู่บ่อยๆ จับใจความได้ทำนอง “เมื่อกูอยู่ไม่ได้ ใครก็อย่าหมายจะได้อยู่เป็นสุขกันเลย” 

ฉันจะเลิก คุยโตโอ้อวดตัวเองว่าทั้งดีและเก่ง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง และ ฉันจะปล่อยวาง ความอิจฉาที่มีต่อผู้อื่นและความโชคดีของเขา 

คงไม่ลืมคำคุยโม้โอ้อวดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบัน ไม่ว่าจะเป็น จะแก้ปัญหาจราจรให้ได้ภายใน 6 เดือน ปลดหนี้คนจนให้หมดประเทศใน 4 ปี เขาเป็นคนใช้หนี้ไอเอมเอฟ มีฐานเสียง 19 ล้านเสียง โจรกระจอก ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ ขอให้มากระซิบข้างหู แล้วเขาจะลาออก เป็นเจ้าของเหมืองเพชร ฯลฯ ควบคู่ไปกับคำเยาะเย้ยผู้อื่นทำนอง “ผมเสียภาษีมากกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศ” “อิจฉาผมละสิ” “โจรกระจอก” “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” 

ฉันจะปล่อยวาง ความกระหายในการเป็นที่ยอมรับ และได้รับความสนใจจากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา 

กระหายในการเป็นที่ยอมรับนี้อาจเป็นต้นเหตุของเรื่องอื่นที่กล่าวมาแล้ว เมื่ออยากให้ตนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งในโลกา คนอื่นก็ล้วนเป็นคู่แข่งและศัตรูในใจเขาโดยปริยาย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะศัตรูเหล่านั้น การทำลายด้วยทุกวิธีการก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับคนทั้งโลก ลึกๆ เขาจึงรู้สึกอิจฉาคนที่เก่งจริงและเป็นที่ยอมรับจริงๆ มากกว่าเขา ไม่ว่าจะเป็นอำมาตย์หรือเด็กสองคน หรือใครก็ตามที่ดูมีความสุขหรือเหนือกว่า แล้วเขาก็ต้องหลอกตัวเองด้วยการคุยโม้โอ้อวดว่าตนเก่งเหนือใคร เป็นที่ปรึกษาของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งเขมร! 

การทุ่มทุนทำศึกแดงมาเป็นล้านที่กำลังดำเนินอยู่นี้ บางคนวิเคราะห์แล้วว่า ทักษิณจะกลับไปมือเปล่า อ่านถึงตอนนี้ คุณอาจรู้ว่า อย่างน้อยทักษิณก็ได้สิ่งหนึ่งที่เขาอยากได้ และได้มาตลอด 8-9 ปีที่ผ่านมา นั่นคือการมีชื่อ มีรูป มีคนกล่าวถึงในทีวี ในหนังสือพิมพ์ ในเวปบอร์ด ในยูทูป ทุกวี่ทุกวัน ทั้งจากคนที่รัก ทั้งจากคนที่ชัง ถ้าเราเข้าใจทักษิณว่าเป็นคนเบอร์สามที่จิตตกต่ำรุนแรง ก็จะรู้ว่า เขาต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องคาวหรือหวานกับดารานักร้อง เรื่องบ้าบอไร้สาระอะไรก็ได้ ขอให้เป็นข่าวให้ผู้คนกล่าวถึงเป็นพอ เพื่อสนองความอยากที่จะเป็น “คนสำคัญ” ของตัวเอง 

สมมติมีข้อเสนอให้ทักษิณว่า จะคืนเงินที่ยึดให้ทั้งหมด พร้อมนิรโทษกรรม แถมยุติทุกคดีความ แต่มีข้อแม้ว่า ให้เขาอยู่เงียบๆ ที่เมืองนอก เลิกยุ่งกับเมืองไทย เลิกโฟนอิน ห้ามวิดีโอลิงค์ ไม่ต้องทำตัวให้เป็นข่าวด้วย คือให้ทำเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่สำหรับคนไทยอีกต่อไป คุณคิดว่า ทักษิณจะรับข้อเสนอนี้หรือไม่ 

ถ้าตอบคำถามนี้ได้ คุณก็จะทำใจได้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ คุณก็จะได้ยินเรื่องของทักษิณตลอดไป 

บทสรุป 

ถ้าคุณทักษิณสามารถเปลี่ยนโปรแกรมในหัว โดยปล่อยวางสิ่งต่างๆ ตามตัวอย่างที่ยกมานี้ เขาก็คงมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้บ้าง 

ก็ได้แต่หวังอย่างริบหรี่ว่า ในโลกนี้จะมีใครสักคนที่คุณทักษิณไม่เห็นเป็นศัตรู หรือพอจะนับถือหรือเชื่อฟังอยู่บ้าง ผมอยากให้บุคคลผู้นั้นส่งหนังสือเอ็นเนียแกรมไปให้เขาอ่านดู หรือจะดียิ่งกว่า ถ้าสามารถแนะนำโค้ช หรือนักจิตบำบัดที่รู้เอ็นเนียแกรมให้กับเขา (ในยุโรปก็มีหลายคน) ในเมื่อเข้าวัดก็แล้ว อ่านหนังสือธรรมะก็แล้ว สมาธิก็นั่งแล้ว บางทีนี่อาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ความเชื่อของคุณหมอประเวศเป็นจริงขึ้นมา และเป็นหนทางเดียวที่เมืองไทยจะกลับสู่ภาวะปกติด้วย 

>>>>>>>> อืมมมม เหวงอ่ะ........