27.2.11

มีคนเคยบอกว่า...

 


ณ มหาลัยดังแห่งหนึ่ง มีนักศึกษาคนหนึ่งเรียนบัญชีได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง  ก็จะมีเจ้าของบริษัทมาเชิญให้ไปทำงานกับเขาด้วย เป็นบริษัทให้มาก   เมื่อถึงวันที่นักศึกษาคนนี้ไปรายงานตัวที่บริษัท เจ้าของบริษัทก็ตื่นเต้น   ออกไปตอนรับด้วยตัวเอง พร้อมกับพาเดินชมบริษัท โต๊ะทำงานแลละได้รู้จักเพื่อนๆร่วมงาน   พอเสร็จ เจ้าของบริษัทก็ถามคำถามหนึ่งขึ้นมา
"คุณเคยล้างเท้าให้คุณแม่คุณไหม"

เขาตอบว่า
"ไม่เคยครับ"

เจ้าของบริษัท เลยบอกว่า
''งั้นผมไม่รับคุณเข้าทำงาน เชิญครับ"

เด็กหนุ่มคนนั้นกลับไปแบบงุนงง พอกลับไปถึงบ้านก็เลยถามแม่ว่า
"แม่ๆๆ เจ้าของบริษัทเขาบอกว่าเขาไม่รับลูกเข้าทำงาน เพราะว่าไม่เคยล้างเท้าแม่ ผมขอล้างเท้าแม่หน่อยนะ"

แม่บอกว่า
"ไม่ได้หรอกจะเอามือที่รับพระราชทานปริญญาบัตร มาล้างเท้าสกปรกแบบนี้ไม่ได้หรอก มันไม่สมควร"

    แต่ลูกก็ได้ขอร้องผู้เป็นแม่หลายต่อหลายครั้ง แม่ก็เลยต้องยอม เด็กหนุ่มได้เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาด แล้วเอาเท้าแม่แช่ลงในน้ำนั้น นั้นเป็นการจับเท้าของแม่เป็นครั้งแรกของเขา เขามองดูเท้าของแม่ แล้วน้ำตาก็ค่อยไหลออกมา เพราะภาพที่เห็น เท้าของแม่มีแม่รอยแตก มีแต่ความหยาบกระด้าง มีแต่เรื่องราวสู่ชีวิต เขาคิดว่าเท้าคู่นี้ต่างหากที่สมควรได้รับปริญญาบัตรที่แท้จริง   เขาเช็ดเท้าให้แม่แล้วด้วยผ้านุ่มๆ ทาโลชั่น แล้วก้มลงกราบแม่ โอบกอดแม่ น้ำตาก้ไหลออกมาด้วยความปิติ....

เด็กหนุ่มกลับไปหาเจ้าของบริษัทอีกครั้งบอกว่า
"ผมไม่ได้โกรธหรอกครับที่ไม่ให้ผมทำงานที่นี่  แต่ผมจะขอบพระคุณมากครับที่ทำให้ผมได้ล้างผมของแม่  ผมรู้แล้วครับว่าสิ่งสำคัญที่สุดคืออะไร ความกตัญญูรู้คุณครับ"

เจ้าของบริษัท ได้ยินก็ตอบว่า
"พรุ่งนี้คุณมาทำงานได้"

คุณหล่ะล้างเท้าให้แม่คกันหรือยัง กลับบ้านวันนี้อย่าลืมล้างเท้าให้ท่าน หรือโทรไปหาท่านบ้างก็ดี ท่านรอคุณอยู่ตลอดเวลา รักแม่และพ่อให้มากๆ..

วันนี้คุณทำอะไร เพื่อแม่และพ่อแล้วหรือยัง ดีใจที่ทุกคนให้ความสำคัญ คุณพร้อมหรือยังที่จะทำให้ท่านสบาย ก่อนที่จะสายเกินไป ต้องรีบทำให้ท่านสบาย เพราะท่านเหนื่อยมาทั้งชีวิต


23.2.11

เรื่องดีๆที่อยากให้อ่าน......

 

        ได้รับ fw; มา1ฉบับ ก็เกือบจะลบทิ้งเหมือนเดิมๆ แต่มาสะดุดตรงหัวเรื่องที่เห็นเข้าพอดิบพอดีคือ "เมื่อแฟนผมให้ผมไปออกเดทกับหญิงอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เธอ..."  พอดีกับที่มีลูกค้าเข้าร้านพอดี แต่ในหัวก็คิดตลอดว่าใจความของเรื่องนี้มันคืออะไร ยิ่งนานก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้น  จนกระทั้งลูกค้ากลับก็ผ่านไป4ชั่วโมงได้ ถึงได้มีเวลาเข้ามาอ่าน  และก็ประทับใจในเรื่องๆนี้ ก็เลยอยากเอามาแบ่งปันเผื่อมีใครหลงเข้ามาอ่านเจอ และจะเกิดความรู้สึกซึ้งๆและรักผู้หญิงคนคนนึงที่รักมากอยู่แล้วและเราจะรักเค้ามากขึ้นกว่าเก่าเหมือนๆกับเราบ้าง......


หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ...เพราะ....วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า   ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง    มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ

"ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ" ภรรยาผมพูด

"แต่ผมก็รักคุณนี่"  ผมเถียง

"ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน"  
ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหาก็คือ 

"แม่" ของผมเอง ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา 19 ปีแล้ว เนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบ และยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแล ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น ผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้น วันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง

แม่ถามผมว่า....
"มีอะไรหรือ ? ลูกสบายดีรึเปล่า? " 

แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหัน หมายความว่ามีเรื่องที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้น
ผมตอบแม่ว่า
"ไม่มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง"

แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า  
"ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ ' + ' แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ"......

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่า แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน  แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์   แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า 
 "จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย"

แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ เพื่อน ๆ ของแม่ต่างพากันประทับใจยกใหญ่ เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม บรรยากาศก็อบอุ่นสบายๆ มากๆ ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านในสไตล์ที่แม่ต้องชอบ แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง หลังจาที่เรานั่งกันเรียบร้อยแล้ว ผมต้องฝ่ายอ่านเมนูอาหารให้แม่เพราะแม่บอกว่า
 "ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น"

เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง จึงหยุดเว้นจังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหาร ผมเงยหน้าขึ้น มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลังและแม่พูดเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า
"ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ"

ผมบอกแม่ว่า
"งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้วสิ"

ในระหว่างอาหารเราคุยกันอย่างถูกคอ ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเราเป็นอย่างไรกันบ้าง  เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน

........

เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน 
แม่พูดว่า
"แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ  แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ"

ผมตอบตกลง
"แน่นอนครับ" 

ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน
"ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ?"

ผมตอบ 
"วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย"

อีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย..... และอีกหลายวันต่อมา...... ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป
มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า...
"แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ - แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน , รักลูกมากจ๊ะ"

ณ..วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่ "รัก" ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมันไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ  จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้ .....

-มีบางคนบอกว่า หลังจากที่คลอดลูกแล้วต้องใช้เวลาพักฟื้นราว 6 สัปดาห์ แม่จึงจะคืนสภาพเดิม
คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป

-บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ
คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เก็ต

- บางคนนั้นบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับ หลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาด ๆ
- บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน
-บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมา ทันได้เห็นลูกหวดลูกบอลเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้านพอดิบพอดี

-บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้
คนนั้นไม่เคยช่วยลูกที่กำลังเรียน ป. 4 ทำการบ้านเลข
- บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน

-บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่ คือตอนคลอดและตอนเลี้ยง คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมลไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก ไม่เคยส่งลูกเข้าห้องหอในคืนแต่งงาน

-บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมู ๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไหว คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายขนมให้กับเหล่ายุวนารี ที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา

-บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

-บางคนบอกว่างานของแม่ สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า

-บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้.....

คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน