28.3.11

2555โลกาวินาศ!?

 


นับตั้งแต่มนุษยชาติเริ่มก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ทั่วโลกต่างก็ระส่ำระสาย กับปรากฏการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และถี่ยิบ อะไรที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน.....
ปริศนา "มายา" อวสานโลกจริงหรือ?

         นับตั้งแต่มนุษยชาติเริ่มก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ทั่วโลกต่างก็ระส่ำระสาย กับปรากฏการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง และถี่ยิบ อะไรที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน อะไรๆ ที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นกันในยุคสมัยนี้
       
       ไล่มาตั้งแต่ปรากฏการณ์ Y2K ซึ่งเป็นที่ฮือฮาในช่วงใกล้สิ้นสุดปี 1999 คนทั้งโลกต่างเฝ้าลุ้นระทึกกันว่า ระบบปฏิทินในเครื่องคอมพิวเตอร์จะเกิดอาการรวน และอาจสร้างความปั่นป่วนแก่ ระบบการสื่อสาร ระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็ก ทรอนิกส์ทั้งหลายหรือไม่ แต่สุดท้ายโลกก็ไม่ได้โกลาหลอย่างที่คาดการณ์
     
      กระนั้นชาวโลกก็ยังมีเรื่องให้หวาดผวากับมหันตภัยครั้งใหม่ จากกระแสตื่นตัวสภาวะโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์หลากสาขา หลายองค์กร เคลื่อนขบวนออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกัน ถึงปรากฏการณ์วิปริตของสภาพอากาศ อุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เป็นเหตุให้น้ำทะเลกลืนกินหลายพื้นที่ บางพื้นที่ถึงขั้นถูกเขมือบหายไปจากแผนที่โลก
       
     ถัดจากนั้นไม่นานนักก็เกิดเหตุธรณีพิโรธ สึนามิถล่ม พายุคลั่ง ฝนฟ้าวิปโยค แผ่นดินแล้ง หิมะตกในหลายพื้นที่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตอกย้ำถึงความวิบัติที่คืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

   ด้วยความวิปริตผิดเพี้ยนของสภาพอากาศและภัย พิบัติจากธรรมชาติที่สร้างความหวาดผวาให้กับมนุษยชาติมาโดยตลอด และนับวันก็ยิ่งถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น ใกล้ตัวมากขึ้น จนทำให้หลายคนเริ่มปักใจเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณเตือนภัย หรือ “ลางบอกเหตุ” ก่อนที่โลกจะแตกดับในเวลาไม่ช้าไม่นานนับจากนี้
          ในภาวะโลก “จิตตก” คนจำนวนหนึ่งพยายามผูกโยงข้อมูล กับคำทำนายทายทักของเหล่าหมอดูสำนักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “นอสตราดามุส” ไปจนถึงเรื่องราวประเภทอัศจรรย์พันลึกต่างๆ นานาที่มีการฟอร์เวิร์ดเมลลูกโซ่กันให้ว่อนอินเทอร์เน็ต ไม่เว้นกระทั่งในแวดวงนักวิทยาศาสตร์ที่บางรายได้ผันตัวมาเป็น “นักวิชาเกิน” ไปแล้วก็มี
         
    หลักฐานชิ้นหนึ่งที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างถึงอยู่เสมอก็คือ “ปฏิทินมายา” เพราะมีความขลังชวนให้น่าเชื่อถือหรือคล้อยตาม ด้วยความเก่าแก่นับเป็นพันๆ ปี
       
      ปฏิทินที่ว่านี้เป็นปฏิทินโบราณของชนเผ่ามายา ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในพื้นที่ประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลา ราว 300 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงศตวรรษที่ 16 ว่ากันว่าเป็นชนชาติหนึ่ง ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านการคำนวณและดารา ศาสตร์อย่างน่าพิศวง

      สิ่งที่ชาวมายาได้คิดค้นขึ้นมาก็คือปฏิทิน และสูตรการคำนวณบางประการที่แทบไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้จะ สามารถทำได้ในยุคสมัยนั้นๆ ทว่าวัน-เดือน-ปีในปฏิทินเจ้ากรรมที่บันทึกไว้บนแผ่นศิลานั้น กลับไปสิ้นสุดเอาในวันที่ 21 ธ.ค. 2555 (ค.ศ. 2012) ทำให้เกิดการตีความกันว่า นั่นคือ “วันอวสานโลก!”

        ความตื่นตระหนกเช่นนี้ ได้แผ่ซ่านลึกเข้าไปถึงความคิดความเชื่อของคนจำนวน หนึ่งจนยากจะถ่ายถอนคืนมาได้ ซ้ำยังมีการขยายความต่อเติมให้ตื่นเต้นเร้าใจยิ่งขึ้นไปอีก เช่น ขั้วแม่เหล็กโลกอาจจะพลิกกลับด้านสลับตำแหน่งกัน ระหว่างขั้วเหนือกับขั้วใต้ ส่งผลให้โลกสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็ก เมื่อนั้นสิ่งมีชีวิตบนโลกอาจต้องเจอกับหายนะจาก “พายุสุริยะ” ซึ่งเกิดจากการปล่อยพลังงานนิวเคลียร์ อันมหาศาลจากดวงอาทิตย์พุ่งเข้าใส่โลก เป็นต้น
       
       นิพนธ์ ทรายเพชร ราชบัณฑิตสาขาวิชาดาราศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และนายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย เขียนบทความเรื่อง “2012 โลกล่มสลายจริงหรือ?” โดยระบุไว้ว่า กระแสข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องโลกแตก โลกล่มสลาย เหตุเพราะปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ได้รับการบอกกล่าวมาทุกยุคทุกสมัย เช่น เมื่อดาวเคราะห์มาเรียงกันก็จะมีคนบอกว่า จะเกิดแผ่นดินไหวบนโลกมากขึ้น โลกจะสิ้นสลายลงในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 ซึ่งถือเป็นข่าวที่พูดกันปากต่อปาก

      นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย ระบุว่า ปฏิทินของมายาบ่งบอกถึงความรู้และอารยธรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยมีวันเริ่มต้นตรงกับวันที่ 14 ส.ค. 3114 ปีก่อนคริสตศักราช และมีวันสุดท้ายตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. 2012 แต่ผู้ที่เชื่อเรื่องนี้ได้พยายามหาปรากฏการณ์อื่นมาเสริม เช่น เชื่อว่าพวกสุเมเรียนได้ค้นพบดาวเคราะห์ดวงหนึ่งชื่อ “นิมิรุ” เคลื่อนรอบดวงอาทิตย์รอบละ 3,600 ปีกำลังจะมาชนโลก ซึ่งในวงการดาราศาสตร์ยังไม่พบดาวเคราะห์ดังกล่าวแต่อย่างใด

          ขณะที่ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “21 ธันวา 2012 วันพลิกชะตาโลก” อธิบายไว้ในหนังสือว่า ก่อนที่จะวิเคราะห์แจกแจงเรื่องคอขาดบาดตายอย่างวันสิ้นโลก ควรต้องแยกแยะเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ออกเป็นสปีชีส์เสียก่อน เพราะคนเหล่านี้มีทั้งประเภทหนักแน่นทางวิชาการ บางรายก็หนักไปในทางจินตนาการ มีสีสันวิจิตรพิสดารเกินกว่าจะนำมาอ้างอิงได้ หาไม่แล้วอาจก่อให้เกิดความหูแหก ตาแหกต่อคนทั้งโลกได้
         
     ชัชรินทร์ ระบุว่าข้อเท็จจริงเรื่องผลกระทบจากสภาวะความเปลี่ยนแปลงของดิน-ฟ้า-อากาศ ทั้งพายุ น้ำท่วม ดินถล่ม ตามที่นักวิทยาศาสตร์แต่ละสาขาได้ศึกษารวบรวมไว้ สะท้อนให้เห็นถึงความพังพินาศในระดับที่ครอบคลุมในทุกเรื่องทุกกรณี โดยองค์กร World Wild Fund for Nature (WWF) เผยข้อมูลเมื่อเดือน ม.ค. 2003 ว่า พืชและสัตว์นับหมื่นๆ สายพันธุ์ กำลังตกอยู่ในภาวะหมิ่นเหม่ต่อการ|สูญพันธุ์ภายใน 20 ปีข้างหน้าจนแทบเกลี้ยงโลก ขณะที่นักวิทยาศาสตร์องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดวันตายของแนวปะการัง The Great Barrier Reef ว่าไม่น่าจะอยู่รอดเกินปี 2030  “ภายใต้สภาพเช่นนี้...มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ จะไปเหลืออะไร และจะไปมีอะไรให้เหลือ นอกจากจะไม่มีพืช ผัก ผลไม้ สัตว์ป่า สัตว์น้ำให้รับประทานแล้ว โอกาสที่จะเพาะปลูก ไถหว่าน ผลิตอาหารเลี้ยงตัวเองยังแทบเป็นไปไม่ได้อีกด้วย เนื่องจากบรรดาก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดได้จับตัวในชั้นบรรยากาศ ร่วงหล่นลงมากลายเป็นฝนกรด...” ชัชรินทร์ ระบุ
       
       ชัชรินทร์ ชี้ให้เห็นว่า ภายใต้สภาวะความผันผวนของดินฟ้าอากาศเช่นนี้ ยังเป็นตัวการสำคัญในการผลิต “อาวุธสังหาร” อีกชนิดหนึ่งที่สามารถล้างผลาญผู้คนรวดเดียวนับเป็นสิบๆ ร้อยๆ ล้านคน นั่นก็คือ “โรคระบาด” โดยองค์การอนามัยโลกสรุปไว้ว่า ผลจากความเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างฉับพลันทันที จะทำให้เชื้อโรคนานาชนิดเกิดอาการกลายพันธุ์
       
        อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ไม่ว่าเรื่องราวว่าด้วยประวัติศาสตร์ ตำนานปฏิทินของชาวมายา ตลอดจนถึงจินตนาการและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะถูกนำมาตีความผูกโยงจนเป็นคำ ร่ำลือเรื่อง “วันสิ้นโลก” แต่ท้ายที่สุดแล้วโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติ ก็ใช่ว่าจะ เป็นไปไม่ได้เอาเลย ตรงกันข้ามสภาพความเป็นไปของโลกทุกวันนี้ ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า วันนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน เพียงแต่จะเป็นวันไหนเท่านั้น!
       
   ในย่อหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ ชัชรินทร์ได้ขมวดข้อสรุปทั้งหมดไว้ อย่างลึกซึ้งว่า “...เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหันมาตระหนักถึงความเป็นไปได้ของโลก ซึ่งกำลังแสดงออกถึงความวิปริต ผันผวน ให้เห็นอย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตา แล้วหันมาทบทวนความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง ด้วยสติ ด้วยปัญญา จนสามารถค้นพบจุดมุ่งหมายในการมีชีวิต...ถึงวันนั้นนั่นแหละที่เราจะกลาย เป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก หรือเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง โดยไม่จำเป็นต้องรอไปถึงวันที่ 21 ธ.ค. 2012 แต่สามารถเริ่มต้นกันได้ ณ วันนี้ และ ณ วินาทีนี้”

รับมือวิกฤตอาหารโลก

พืช
         กรมการข้าว ระบุว่า หากโลกมีอุณภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 45-48 องศาเซลเซียส แม้จะไม่ส่งผลกระทบต่อต้นข้าวโดยตรง เนื่องจากข้าวเป็นพืชในเขตอากาศร้อนชื้นอยู่แล้ว แต่อาจมีผลกระทบต่อระยะเวลาเก็บเกี่ยว เช่น หากฤดูร้อนยาวนานขึ้น ระยะเวลาการปลูกข้าวจะสั้นลงเหลือไม่ถึง 120 วัน ทำให้ข้าวไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ ส่งผลให้เกิดปัญหา “ข้าวท้องไข่” หรือหากฤดูหนาวยาวนานขึ้นก็จะส่งกระทบต่อระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวข้าวที่ขยายออกไปมากกว่า 120 วัน ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตต่อไร่ลดลง

        หลังเกิดวิกฤตการณ์โลกร้อน นักวิชาการได้มีการพัฒนาข้าวสายพันธุ์ทนแล้ง เช่น กข.15 ข้าวหอมมะลิ 105 พันธุ์ข้าวทนน้ำหรือข้าวฟางลอย เช่น ข้าวพลายงาม ปราจีนบุรี 1 ปราจีนบุรี 2 อยุธยา 1 ส่วนพันธุ์ข้าวทนแมลง เช่น ข้าวสุพรรณบุรี ชัยนาท และปทุมธานี
อย่างไรก็ตาม สำหรับพันธุ์ข้าวทนแมลงนั้น กรมการข้าวระบุว่า ในวงรอบ 2-3 ปี แมลงจะพัฒนาและกินข้าวชนิดนั้นได้ ทำให้ยังไม่มีข้าวชนิดใดทนแมลงถาวร ต้องใช้วิธีสลับพันธุ์ปลูกในแต่ละปี

แมลง
         กรมวิชาการเกษตร พบว่า หากสภาพอากาศแปรปรวนผิดธรรมชาติ โอกาสที่จะเกิดแมลงศัตรูพืชชนิดใหม่ๆ ก็มีเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบรุนแรงมากขึ้น เช่น ในรอบปีที่ผ่านมาพบการแพร่ระบาดของ “เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล” ที่กัดกินข้าวเสียหายหลายล้านไร่ และ “เพลี้ยแป้งสีชมพู” กัดกินต้นมันสำปะหลังเสียหายนับล้านไร่เช่นกัน ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตอย่างมาก นอกจากนี้ยังพบ แมลงหนอนหัวดำ แมลงดำหนามมะพร้าว ซึ่งทำลายสวนมะพร้าวจนเกิดความเสียหายกว่า 4 แสนไร่ จนเกิดวิกฤติขาดแคลนมะพร้าวในประเทศ
         แนวทางในการรับมือนั้น กรมวิชาการเกษตร ระบุว่า นอกจากกำจัดด้วยสารเคมี ทางกรมยังได้เตรียมการรับมือโดยใช้ “ชีววิธี” เช่น การใช้แมลงตัวห้ำ ตัวเบียน การใช้เชื้อจุลินทรีย์ เชื้อรา เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดของศัตรูพืช ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นกรณีการใช้แมลงช้างปีกใส เป็นตัวห้ำเพลี้ยแป้งสีชมพูในไร่มัน สำปะหลัง โดยได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

ปศุสัตว์
         กรมปศุสัตว์มีการ พัฒนาสายพันธุ์โค สุกร และไก่ ที่มีความทนแล้งได้ดี ขณะเดียวกันก็ให้เนื้อด้วย เช่น การผสมพันธุ์โคพื้นเมืองของไทยกับพันธุ์ต่างประเทศ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ได้แก่ โคพันธุ์ตาก กำแพงแสน เป็นต้น ขณะที่สุกร มีการพัฒนาสายพันธุ์ปากช่อง 1, 2, 3 ซึ่งทนอากาศร้อนได้มากขึ้น และปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก ด้านไก่ ได้มีการนำพันธุ์พื้นเมืองมาพัฒนาให้ได้สายพันธุ์พื้นเมืองแท้ และให้ลูกที่เป็นพันธุ์แท้ด้วยเช่นกัน เช่น พันธุ์กบินทบุรี พันธุ์ประดู่หางดำ พันธุ์เหลืองหางขาว และได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างมาก
ขณะเดียวกัน แนวทางการลดการปล่อยก๊าซจากมูลสัตว์สู่อากาศนั้น กรมปศุสัตว์ได้ร่วมมือกับธนาคารโลก ระยะเวลาโครงการ 3 ปี ในการนำมูลสัตว์จากฟาร์มทั่วประเทศมาผลิตเป็นไบโอแก๊ซและปุ๋ย ซึ่งประสบความสำเร็จมาก โดยพบว่า บางฟาร์มนอกจากผลิตไบโอแก๊ซใช้เองได้แล้วยังเหลือจำหน่ายโรงไฟฟ้า ได้อีกด้วย

................................................................................................. 

ที่มา....วิเคราะห์»สดจากสนาม»ประเด็น:สึนามิถล่มญี่ปุ่น»posttoday.com