ข้อมูลล่าสุดจาก The Food and Drug Administration (FDA or USFDA) ระบุชัดเจนว่า การดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ในระยะยาว ส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกาย (Immune System) ลดลง ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและอาการอ่อนเพลียได้ง่ายขึ้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารของคุณ เพียงเท่านี้ก็ช่วยเพิ่มระดับพลังงาน ทำให้คุณสดชื่นได้ตลอดวันแล้วล่ะ
1. ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ
ใช่แล้วค่ะ ส่วนประกอบ 2 ใน 3 ของร่างกายมนุษย์คือน้ำ การรักษาระดับน้ำด้วย การดื่มน้ำให้ได้หลาย ๆ แก้วต่อวันโดยไม่ต้องนับว่า 8-9 แก้วแล้วพอ นั่นย่อมดีต่อตัวคุณเป็นแน่ ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดย่อมเป็นวิธีที่สุดแสนจะประหยัด ซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วว่าจะช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกายได้มากกว่าเครื่องดื่มผสมวิตามิน หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เป็นไหน ๆ
Healthy Tips : ลองเพิ่มระดับความสดชื่นให้น้ำดื่มของคุณด้วยการเติมน้ำมะนาว หรือน้ำส้ม ลงไปดูสิคะ
2. อย่าละเลย "อาหารเช้า"
มีการศึกษายืนยันชัดเจนว่า การกินอาหารเช้าสามารถกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) หรือกระบวนการสร้างและเผาผลาญในเซลล์ของร่างกายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรารู้สึกสดชื่นไปตลอดทั้งวัน รู้อย่างนี้แล้วมาเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยอาหารเช้าดี ๆ กันนะคะ
Healthy Tips : รับประโยชน์ยามเช้าด้วยเมนูสุขภาพจากโฮลเกรน อย่างซีเรียลโฮลเกรนกับผลไม้ เช่น กีวี สตรอว์เบอร์รี หรือขนมปังโฮลเกรนทาด้วยเนยถั่วธรรมชาติ ให้ทั้งพลังงานและประโยชน์ต่อร่างกายด้วยค่ะ
3. ของกินเล่นระหว่างมื้อก็สำคัญนะ
อย่าปล่อยให้ท้องหิวระหว่างมื้ออาหารเชียวนะคะ เพราะนั่นเป็นสาเหตุให้ระดับความดันโลหิตของคุณลดลง จนเกิดอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงระหว่างวันได้ เพื่อความไม่ประมาท ควรเตรียมของกินเล่นที่ผสมผสานประโยชน์จากโปรตีนและไขมันคุณภาพ เพื่อช่วยชะลอไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดตก ไว้รับประทานระหว่างวันด้วย
Healthy Tips : จัดของกินเล่นดี ๆ ระหว่างมื้อมาแชร์กับเพื่อนร่วมงานดูสิคะ เช่น โยเกิร์ตกับผลไม้สด ถั่วสมุนไพร สลัดผัก อิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งมิตรภาพด้วย
4. สยบความเครียดด้วย "กรดไขมันโอเมก้า 3"
มีการศึกษายืนยันชัดเจนว่า แหล่งอาหารชั้นดีอย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า เมล็ดแฟลกช์ (Flaxseed) ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม และปวยเล้ง นอกจากจะให้พลังงานดี ๆ แก่ร่างกายแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมของกรดไขมันโอเมก้า 3 คุณภาพ ที่ร่างกายควรได้รับเพื่อนำมาต่อสู้กับความเครียด และช่วยให้ระบบความจำทำงานดีขึ้น
Healthy Tips : เลือกรับกรดไขมันโอเมก้า 3 จากอาหารธรรมชาติแบบเต็ม ๆ แทนการกินอาหารเสริมที่อ้างว่ามีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงกันดีกว่าค่ะ
5. อย่าหลงลืม "แมกนีเซียม"
อีกหนึ่งแร่ธาตุสำคัญที่ใช้ในกระบวนการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงานคุณภาพที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้นั้น คือ แมกนีเซียม ซึ่งมีมากในอัลมอนด์ วอลนัต และถั่วบราซิล
Healthy Tips : กินผลิตภัณฑ์จากโฮลเกรน ผักใบเขียวเข้ม ธัญพืชไม่ขัดสีเป็นประจำ รับรองว่าร่างกายไม่ขาดแมกนีเซียม สมองสดใสไปทั้งวันแน่นอน
6. รับโปรตีนให้พอเพียง
การบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีนไม่เพียงพอนี่เอง ที่เป็นสาเหตุให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย เพราะร่างกายคนเราจำเป็นต้องได้รับโปรตีนเพื่อนำไปช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ต่าง ๆ เราจึงควรเลือกกินอาหารที่ประกอบด้วยโปรตีนคุณภาพ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีให้กับร่างกายต่อไป เช่น เนื้อปลา ถั่ว นม โยเกิร์ต ไข่ และเต้าหู้
Healthy Tips : ใส่ธัญพืชอย่างงาดำ ถั่วแดง เม็ดแมงลัก ข้าวบาร์เลย์ ลงในน้ำเต้าหู้ถ้วยโปรดของคุณด้วยนะคะ ร่างกายจะได้รับสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน แถมยังทำให้อิ่มท้องได้นานขึ้นด้วยค่ะ
7. เปิดรับ "คาร์โบไฮเดรต" อย่างมีสติ
ถึงอย่างไรคาร์โบไฮเดรตก็ยังเป็นแหล่งสร้างพลังงานที่สำคัญให้สมอง การลดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตในแนวทางการลดความอ้วนจึงอาจส่งผลกระทบให้สมองไม่สดใสและเฉื่อย เพราะจำนวนกลูโคสและน้ำตาลที่ใช้ไปเลี้ยงเซลล์สมองย่อมลดลง มาเลือกรับคาร์โบไฮเดรตอย่างมีสติ ด้วยการเลือกแหล่งอาหารดี ๆ กันเถอะค่ะ
Healthy Tips : หันมากินขนมปังโฮลวีตแทนขนมปังขาว กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว เสริมด้วยผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรต อย่างแอปเปิล เชอร์รี มะม่วง และองุ่น แค่นี้ร่างกายก็ได้รับคาร์โบไฮเดรตคุณภาพเพื่อนำไปเสริมสร้างการทำงานของสมองแล้ว
8.รับปริมาณแคลอรี่ให้เพียงพอในแต่ละวัน
อาหารที่ได้ชื่อว่ามีปริมาณแคลอรี่สูง มักตกเป็นจำเลยทุกครั้งที่เกิดความอ้วนขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง ปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารเหล่านั้นก็มีความสำคัญกับการกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมให้ทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยให้คุณสดใส รู้สึกเซื่องซึม หรือรู้สึกเพลียในระหว่างวัน ดังนั้น อย่ามัวแต่กลัวอ้วนจนหลงลืมกินอาหารที่ให้ปริมาณแคลอรี่กับร่างกายอย่างเพียงพอในแต่ละวันด้วยนะคะ
Healthy Tips : กินอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับปริมาณแคลอรี่จากหลากหลายแหล่งอาหาร ทั้งโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ
ที่มา -- health.kapook.com