12.4.13

เกรปฟรุตผลไม้กินเพื่อต้านอนุมูลอิสระ




         หายไปนานเนื่องจากยุ่งกับเรื่องงาน วันนี้เอาสาำระประโยชน์จากผลไม้มาฝากเพื่อนๆในสภาวะที่อากาศร้อนๆแบบนี้ นั่นคือเจ้าเกรปฟรุต  ผลไม้ชนิดนี้เติบโตอยู่ในผลไม้กระกูลส้ม เป็นญาติสนิทของส้มโอ แต่เนื้อของเกรปฟรุตมีสีแดง รสชาติอมเปรี้ยวนิด ๆ เหมาะสำหรับกินหลังมื้อเช้าจะช่วยเพิ่มความสดชื่นก่อนไปทำงานได้ดีเลยทีเดียว  และเพื่อนๆรู้หรือไม่ว่ามันสามารถกินเป็นยาไ้ด้ เพราะเจ้าเำกรปฟรุตมีสารเพกตินที่มีอยู่ ซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งสามารถช่วย ลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนไปขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยป้องกันไม่ให้สารพิษหรือโลหะหนักทำอันตรายต่อร่างกาย และยังช่วย ต่อต้านการเกิดมะเร็ง กระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนได้ด้วย
และมีประโยชน์เพื่อต้านอนุมูลอิสระได้ด้วยคือ สารประกอบที่สามารถป้องกันหรือ ชะลอกระบวนการเกิดออกซิเดชั่น กระบวนการออกซิเดชั่นมีได้หลายรูปแบบ เช่น กระบวนการออกซิเดชั่นที่ทำให้เหล็กกลายเป็นสนิม ทำให้แอปเปิ้ลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือทำให้น้ำมันพืชเหม็นหืน หรือกระบวนการออกซิเดชั่นที่เกิดในร่างกาย เช่น การย่อยสลายโปรตีนและไขมันจากอาหารที่กินเข้าไป มลพิษทางอากาศ การหายใจ ควันบุหรี่ รังสียูวี ล้วยทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายของเราซึ่งสร้างความเสียหายต่อร่างกายได้ ในความเป็นจริงไม่มีสารประกอบสารใดสารหนึ่งสามารถป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นได้ทั้งหมด แต่ละกลไกอาจต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกันในการหยุดกระบวนการออกซิเดชั่น และในความเป็นจริงไม่มีสารประกอบสารใดสารหนึ่งสามารถป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นได้ทั้งหมด ซึ่งแต่ละกลไกอาจต้องใช้สารต้านอนุมูลต่อิสระที่แตกต่างกันในการหยุดกระบวนการออกซิเดชั่น

       แต่ในประโยชน์ของมันก็มีโทษเช่นกันถ้าเรารับประทานผิดวิธี คือการรับประทานยากับเกรปฟรุต เพราะเจ้าเกรปฟรุตกับยาอาจทำให้เป็นสาำเหตุของการได้รับยาเกินขนาด เนื่องจากสารในผลไม้ดังกล่าวไปยับยั้งการเอนไซม์ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างของยา ซึ่งจะทำให้ยาหมดฤทธิ์ แล้วถูกขับออกจากร่างกาย แต่น้ำเกรปฟรุตไปยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายยา ดังนั้น เมื่อไม่มีเอนไซม์กำจัดยา ยาก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น 

        มีนักวิจัยผู้ที่ค้นพบอันตรายนี้กล่าวว่า มียาจำนวนมากที่จะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ป่วยถ้าบริโภคเกรปฟรุตกับยา โดยไ้ด้มีคณะวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อสุขภาพ Lawson ประเทศแคนาดาได้ตีพิมพ์งานวิจัยนี้ในวารสาร Canadian Medical Association Journal โดยอธิบายเกี่ยวกับจำนวนยาที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเมื่อรับประทานกับเกรปฟรุต จากที่มียาเพียง 17 ชนิด เมื่อปี 2008 กลับเพิ่มขึ้นเป็น 43 ชนิดในปี 2012

"ยาหนึ่งเม็ดเมื่อรับประทานกับน้ำเกรปฟรุต อาจส่งผลให้ออกฤทธิ์เทียบเท่ากับการรับประทานยา 5-10 เม็ดกับน้ำเปล่า"

        ดร.เดวิด เบย์ลีย์ ได้ศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของเกรปฟรุต พบว่ามีสารฟูราโนคูมาริน (furanocoumarin) สารตัวนี้จะไม่ทำปฏิกิริยาโดยตรงกับยา  แต่จะรวมตัวกับเอ็นไซม์ CYP 4A4  ที่อยู่ในลำไส้เล็ก   ซึ่งเอ็นไซม์ตัวดังกล่าวจะทำหน้าที่ลดการดูดซึมเอายาบางตัวไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นเมื่อเรารับทานน้ำ grapefruit  เข้าไป  สาร Furanocoumarin  จะไปบล็อกการทำงานของเอ็นไซม์ตัวดังกล่าว  เป็นเหตุให้ยารักษาที่คนเรารับทานเข้าไป  สามารถผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายขึ้น  ทำให้ระดับของยาในกระแสเลือดสูงเร็วขึ้น  และมีปริมาณความเข้มข้นสูงกว่าปกติ   ซึ่งในบางราย  สามารถก่อให้เกิดอันตรายที่รุนแรงได้

       กลุ่มของยาที่มีผลข้างเคียงเมื่อรับประทานกับเกรบฟรุต เช่น ความดันเลือด มะเร็ง ยาลดคลอเลสเตอรอล และยากดภูมิคุ้มกันหลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยทำให้การออกฤทธิ์ของยาสูงขึ้น


Calcium Channel blockers:
ยาในกลุ่มนี้ใช้สำหรับรักษาโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่  Felodipine, Verapmil, Diltiazem, Amlodipine (Norvasc)และ  Nifedipine (Adalat) ซึ่งมีรายงานไว้ว่ายาจะออกฤทธิ์รุนแรงกว่าการรับประทานยากับน้ำเปล่าถึง 3 เท่า

Statins:
เป็นยาสำหรับรักษาระดับไขมันสูง (cholesterol)  ได้แก่: Atorvastatin
(Lipitor);  Simvastatin (Zocor);  Lovastatin (Mevacor);  Fluvastatin (Lescol);
Pravastatin (Pravachol);  Rosuvastatin(Crestor);  Pitavatatin (Livalo)


Immunosuppressants:
เป็นยาที่ถูกนำไปใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะ  เช่น  Cyclosporine (Sandimmune)

Benzodiepines:
(ยาที่ใช้ใน anxiety, insomnia) ยาในกลุ่มนี้ได้แก่  Diazepam (Valium); Triazolam(Halcion); Midazolam (Versed); Flurezapm(Damane); Clonazepam (Klonapin)

Neurological and Psychiatric:
เป็นยาที่ใช้รักษาคนไข้ที่มีอาการเครียด (anxiety) และ  Insomnia   ซึ่งได้แก่  Buspirone (Buspar); Sertraline (Zoloft);  Carbamazepine (Tegretol); Haloperidol (Hadol); Trazodone (Deseril);
Zolpidem (Ambien)

        ผลข้างเคียงอื่นๆ นั้นจะขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่รับประทาน อาจมีอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ไตถูกทำลาย หรืออาจถึงตายได้


        ดร.เดวิด เบย์ลี่ย์ กล่าวว่า การรับประทานยาหนึ่งเม็ดกับน้ำเกรปฟรุต อาจส่งผลให้การออกฤทธิ์ของยานั้นมากเท่ากับ การรับประทานยา 5-10 เม็ดกับน้ำเปล่าได้เลยทีเดียว

        ผู้ป่วยที่ขาดความรู้ในเรื่องของความปลอดภัยในการรับประทานยาอาจได้รับยาเกิดขนาดโดยไม่ตั้งใจ จากต้องการไปพบแพทย์เพื่อการรักษา กลับกลายเป็นว่าได้รับยาเกินขนาดซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตแทนได้

        ผลไม้ในกลุ่ม ซิตรัส (citrus) อื่นๆ เช่น Seville oranges  และ tangles บ่อยครั้งที่นำมาทำเป็นแยมผลไม้ ก็จะให้ผลข้างเคียงเช่นเดียวกับการรับประทานน้ำเกรปฟรุต หรือผลเกรปฟรุตโดยตรง

        นีล พาเทล จากสมาคมเภสัชกรรมกล่าวว่า เกรปฟรุตไม่ได้ของกินชนิดเดียวที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายเมื่อรับประทานกับยา แต่ยังมีอาหารประเภทนม ที่จะไปยับยั้งการดูดซึมของยาปฏิชีวนะบางชนิดเป็นต้น

        โฆษกประจำ MHRA ซึ่งเป็นองค์กรรัฐบาลประเทศอังกฤษ ที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยทางการแพทย์และการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ได้เชิญชวนให้ผุ้ป่วย แพทย์ และเภสัชกรร่วมกันรายงานอาการไม่ถึงประสงค์หรือผลข้างเคียงที่เกิดจากการรับประทานยาพร้อมกับอาหารบางชนิดในโครงการ Yellow card scheme เพื่อทำการศึกษาและวิจัยต่อไป

       เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกกินแต่พอดีเพื่อสุขภาพของเราเอง โดยไม่ใ้ห้มากหรือน้อยเกินไป และต้องกินอย่างถูกวิธี

ที่มา -- tsgclub/intelihealth.com/bbc.co.uk