วันนี้เอาความรูู้เรื่องเกี่ยวกับโรคเบาหวานมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ เนื่องจากวันนี้อิฮั้นได้ไปหาหมอตรวจประจำปี ทำให้ได้ทราบถึงของแถมเที่ยวนี้คือความดันและไขมันในเลือดสูง และคำพูดที่เตือนมาจากคุณหมอผู้น่ารักว่าคุณป้าคะให้ระวังควบคุมเรื่องน้ำหนักและให้ระวังการเป็นโรคเบาหวาน อิฮั้นก็เลยต้องเสาะหาสาระมาอ่านเพื่อป้องกันเอาไว้ ก็เลยอยากเอามาแบ่งเพือนๆด้วย เอาหล่ะเรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่อาจส่อแววให้เรารู้อาการแต่เนินๆ
1. อารมณ์หงุดหงิดง่าย
อารมณ์ขี้หงุดหงิด มีความฉุนเฉียว วิตกกังวลต่างๆ เป็นอาการที่พบได้บ่อย ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานเรื้อรัง ระดับน้ำตาลในเลือดที่ผันผวนไม่ปกติ ทำให้เกิดอารมณ์ที่แปรปรวนและความเหนื่อยล้า จะทำให้โกรธง่ายไม่ว่าเหตุผลใด นอกจากนี้การมีระดับน้ำตาลที่ต่ำก็ยังมีผลทำให้เกิดการหงุดหงิดด้วย
2. อาการปวดหัว
เรากำลังรู้สึกปวดหัวบ่อยครั้งนั่นกำลังอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจจะเป็นโรคเบาหวาน โดยอาการปวดหัวที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ และบริเวณศีรษะก็มีเส้นเลือดอยู่จำนวนมาก การผิดปกติของน้ำตาลในเลือดจึงกระทบต่อเส้นเลือดบริเวณเหล่านั้นด้วย สุดท้ายแล้วโรคเบาหวานก็คือโรคที่เกิดการผิดปกติเรื้อรังของกระบวนการเมทาบอลิซึมที่เกิดจากระดับน้ำตาลกลูโคสของคุณผิดปกติ
3. ไม่มีสมาธิ
โดยปัจจุบัน เข้าใจได้ว่าโลกแห่งความวุ่นวาน ยุ่งเหยิงอาจทำให้เรารู้สึกเสียสมาธิ แต่ถ้าคุณมีปัญหามากเกินไป ทำให้คุณขาดสมาธิในการทำงาน ปวดหัว อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคเบาหวานได้ การขาดสมาธิเกิดจากความผิดปกติของไต การสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะ และส่งผลรุนแรงถึงขั้นไตวาย ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอาหารปวดท้อง และอ่อนแอร่วมด้วย
4. อาการคลื่นไส้
เมื่อร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลกลูโคสมาสร้างพลังงานให้กับร่างกายได้ จึงตอบสนองโดยหันไปเผาผลาญพลังงานจากไขมันแทน กระบวนการสลายไขมันนี้จะเกิดเป็นสารคีโตนซึ่งมีสภาวะเกิดกรดเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่งมีคีโตนในเลือดเป็นกรด ร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย และรู้สึกคลื่นไส้ เมื่อการสูญเสียน้ำ และแร่ธาตุสำคัญเกิดขึ้นจนเสียสมดุลร่างกาย อาจเกิดภาวะวิกฤติได้
5. หิวบ่อยขึ้นจากเดิม
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นผิดปกติเป็นเวลานาน อันเนื่องจากมาการขาดอินซูลินหรือภาวะดื้ออินซูลินก็ตาม ทำให้น้ำตาลกลูโคสจากเลือดไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังเซลล์เพื่อไปผลิตพลังงานได้ กระบวนการเมทาบอลิซึมในร่างกายจึงเกิดปัญหา ไม่สามารถเปลี่ยนสารอาหารเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรารู้สึกต้องกินบ่อยขึ้น
6. กระหายน้ำมากขึ้น
ผลค้างเขียงที่ต่อเนื่องกันเนื่องจากการปัสสาวะบ่อยๆ จึงทำให้รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติจนร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งการกระหายน้ำมากเกินไปนี้เองเกิดจากผลข้างเคียงของการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินปกติ เพราะฉะนั้นต้องสังเกตตัวเอง เพราะอาการกระหายน้ำบ่อยเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานได้
7. ภาวะปากแห้ง
อาการปากแห้งเป็นอาการเตือนที่ชัดเจนของโรคเบาหวาน การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อร่างกาย น้ำลายเป็นกลไกสำคัญในการดูแลรักษาอวัยวะในช่องปากทั้งหมด เบาหวานส่งผลกับต่อมน้ำลายให้ไม่สามารถผลิตน้ำลายได้เพียงพอ จึงเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปากตามมาก
8. ปัสสาวะบ่อยขึ้น
การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้ไตทำงานเพื่อจัดการกับน้ำตาลส่วนเกินมากขึ้น เนื่องจากกลไกการทำงานของร่างกายจะส่งสัญญาณให้ต้องขับน้ำตาลในเลือดที่มีอยู่สูงให้ออกมากับปัสสาวะ ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงต้องทนทุกข์กับการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
9. รู้สึกอ่อนเพลีย หมดแรง
การมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติ จะชะลอการไหลเวียนของเลือดทำให้เซลล์ไม่ได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อเซลล์ ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้เซลล์ไม่ได้รับพลังงาน หรือได้รับไม่เพียงพอ จึงเกิดความเครียดตั้งแต่ระดับเซลล์ ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย เมื่อยล้า ขาดพลังงานตามมา
10. น้ำหนักลดผิดปกติ
การที่น้ำหนักของร่างกาย มีน้ำหนักที่เพิ่ม หรือน้ำหนักลดอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานประเภทที่ 2 คือการขาดฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมกลูโคส จึงต้องไปเผาผลาญพลังงานจากไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายแทน จนทำให้น้ำหนักตัวโดยรวมลดลง
11. ปัญหาการนอนหลับ
ปัจจัยหลักของโรคเบาหวาน คือ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่เสถียร ซึ่งปัญหานี้เองส่งผลต่อการนอนหลับให้เพียงพอของคุณ และการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนี้ ก็จะส่งผลให้เกิดโรคอ้วน และทำให้โรคเบาหวานแย่ลงไปอีก
12. อยากนอนมากเกินไป
แน่นอนว่าทุกคนมีวันที่เราไม่สามารถพักผ่อนอย่างเต็มที่ได้ นั่นอาจจะทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า แต่การรู้สึกเหนื่อย อยากจะนอนตลอดเวลาอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานได้ด้วย และสิ่งนี้จะอันตรายมากขึ้นถ้าหากเรามีน้ำหนักตัวที่มากหรือเป็นโรคอ้วน แล้วมีแนวโน้มที่ง่วงนอนตอนกลางวันมากขึ้น
13. ลมหายใจไม่ปกติ
การมีกลิ่นหอมของลมหายใจ หรือกลิ่นลมหายใจที่คล้ายกับกลิ่นยาทาเล็บ นี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเกิดภาวะคีโตนสูงในเลือด จึงได้กลิ่นคล้ายสารอะซิโตนซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบของยาทาเล็บนั่นเอง นี่เป็นภาวะระยะสั้นที่เกิดขึ้นกับโรคเบาหวาน ที่ระดับน้ำตาลกลูโคส ส่งผลให้เกิดการผลิตสารคีโตนที่ผิดปกติ และทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น
14.ภาวะกลืนลำบาก
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่มีปัญหาการกลืนลำบาก เพราะนั่นคือสัญญาณเตือนว่าคุณอาจจะเป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีปัญหาเรื่องการย่อยและได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะกรดไหลย้อน ทำให้การกลืนอาหารในแต่ละครั้งยากและทรมาน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะไหลกลับเข้าไปในหลอดอาหารของคุณ ซึ่งเกิดจากการเสื่อมของเส้นประสาทที่ควบคุมเกี่ยวกับหูรูดของเดินทางอาหาร
15. พูดออกมายาก
ถ้าหากมีภาวะของโรคเบาหวาน คุณจะพบกับปัญหากับการพูด ไม่ว่าจะเป็นการพูดไม่ชัด พูดออกมาช้า หรือพูดไม่ออก โดยกลไกการพูดเกี่ยวข้องในบริเวณขากรรไกร ฟัน และ ปาก ปัญหาเหล่านี้เป็นผลกระทบที่เกิดจากความเสียหายของเส้นประสาท ที่ควบคุมเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่ควบคุมเกี่ยวกับใบหน้า กล่องเสียงและหน้าที่ของการออกเสียง หรือการเกิดเป็นอัมพาตของการออกเสียง
16. มองเห็นภาพซ้อน
การมองเห็นภาพไม่ชัดในบางเวลาหรือการมองเห็นภาพซ้อน อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานในระยะเริ่มแรก หากอาการนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้ และไม่ได้รับการรักษาอาจจะแย่ลงกว่าเดิม เนื่องจากเส้นเลือดที่จอประสาทตามีปัญหาและของเหลวในตาไม่สามารถไหลเวียนได้ปกติ ทำให้จอประสาทตามีปัญหาเรื่องการมองเห็น และอาจสามารถทำให้ตาบอดได้
17. ภาวะเดินลำบาก
การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลต่อความเสียหายของเส้นประสาท จนลุกลามไปถึงทำให้ระบบประสาทเสื่อมได้ จึงทำให้มีผลต่อการทรงตัวไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อให้ทรงตัวอยู่ได้ แม้กระทั่งแค่การเดินรอบบ้านง่ายๆก็เกิดเป็นปัญหาได้
18. รู้สึกคล้ายเข็มทิ่ม
หากเราเคยรู้สึกเจ็บแปลบคล้ายเข็มทิ่มที่บริเวณในมือหรือเท้าของคุณหรือไม่? จริงๆแล้วมันอาจจะไม่มีอะไร หรือ ร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่ากำลังเป็นโรคเบาหวานอยู่หรือเปล่า การผิดปกติของระบบประสาทจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติ นอกจากการรู้สึกชาที่ปลายมือ ปลายเท้าแล้ว ยังจะเกิดความรู้สึกเจ็บแปล๊บคล้ายเข็มทิ่มในมือ หรือเท้าหรือคล้ายอาการเหน็บชาเป็นพักๆได้
19. แผลพุพอง
แม้ว่าคนที่เป็นโรคเบาหวานมักจะไม่ได้สัมผัสกับสิ่งนี้แต่สามารถเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่มีแผลผุพองมากอาจปรากฏขึ้นที่ร่างกายได้ แผลเหล่านี้มีลักษณะคล้ายแผลพุพองที่ด้านในเต็มไปด้วยของเหลวจำนวนมาก แผลพุพองอาจจะมีอาการไม่รุนแรงมาก แต่หากถูกปล่อยทิ้งไว้ หรือเกิดการติดเชื้อ เพราะผู้ป่วยเบาหวานมักภูมิคุ้มกันต่ำและเป็นแผลที่หายยาก จะส่งผลต่อแผลพุพองให้แย่ลงได้ บริเวณที่พบได้เยอะที่สุดส่วนใหญ่จะเป็นที่มือและเท้าของผู้ป่วย
20. สีผิวเปลี่ยนไป
ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน อาจได้รับผลกระทบจากภาวะ อะแคนโทสิส นิกริแคน คือ พบว่ามีสีผิวปกติที่เปลี่ยนไป โดยสังเกตง่ายๆที่บริเวณผิวหนังที่มีรอยพับ เช่น เห็นเป็นปื้นสีดำหนารอบคอ หรืออาจเกิดตามรักแร้ หรือตามขาหนีบ ซึ่งเกิดจากการร่างกายมีการต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน
21. ลำคอมีสีผิวคล้ำ
การที่มีสีผิวเปลี่ยนไป เบาหวานก็เปลี่ยนสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรค acanthosis nigricans ซึ่งเห็นได้ชัดบริเวณรอยพับของร่างกาย โดยเฉพาะรอบข้างของลำคอจะมีสีดำคล้ำ เกิดจากเหงื่อและการเสียดสี
22. แผลหายช้า
การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ป่วยโรคเบาหวานส่งผลให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี น้ำตาลและไขมันในระบบไม่ถูกนำไปใช้ อยู่ในกระแสเลือดเยอะไปจับบริเวณเส้นเลือดและเส้นเลือดฝอยต่างๆเกิดเส้นเลือดตีบและแข็งตัว บาดแผลอาจเกิดได้เองจากเพราะอาการข้างเคียงที่ชาตามปลายแขนปลายเท้าจนไม่มีความรู้สึก ทำให้เกิดอันตรายกับอวัยวะจนเป็นแผล หรือแผลจากการคันผิวแห้งจากเล็กๆลุกลามไปเรื่อยๆ พอเกิดแผลแล้วไม่มีเลือดไปเลี้ยงก็เกิดเป็นเนื้อตาย หรือเกิดติดเชื้อจนลุกลามเพราะภูมิคุ้มกันต่ำ
23. คันตามผิวหนัง
โรคเบาหวานส่งผลโดยตรงกับระบบการไหลเวียนของเลือด คนที่เป็นโรคเบาหวานจะมีอาหารผิวแห้ง คันตามผิวหนัง และเกิดการอักเสบตามผิวหนังได้ง่ายกว่าคนปกติ บางรายจะมีเกิดจุดสีผิวหนังที่เปลี่ยนไปตามร่างกายเพราะเลือดไปเลี้ยงบางบริเวณไม่เพียงพอ โดยผิวที่เกิดการเปลี่ยนสีสามารถเกิดอาหารคันได้
24. ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
นอกจากการปัสสาวะบ่อยเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานแล้ว คุณรู้หรือไม่? สำหรับคุณผู้หญิงมีโอกาสติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะมากกว่าผู้ชาย และในผู้เป็นโรคเบาหวาน ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ง่าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ลดลง
25. ปัญหาทางเพศ
แม้ว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้นเรามักเกิดปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดความเสียหายของเส้นเลือดและเส้นประสาท นั่นรวมถึงเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศได้น้อยลง อีกทั้งบริเวณอวัยวะเพศเป็นศูนย์รวมของเส้นเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก รวมทั้งผู้ป่วยเบาหวานจะมีความเสียหายของกระเพาะปัสสาวะ ปัญหากระเพาะปัสสาวะอักเสบ และปัญหาการติดเชื้อที่แย่ลงตามมา
26. ติดเชื้อยีสต์บ่อยในผู้หญิงและสังคังในผู้ชาย
การติดเชื้อยีสต์มักเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากโดยธรรมชาติปกติเชื้อยีสต์จะมีอยู่แล้วในช่องคลอด แต่จะมีปริมาณที่เหมาะสมไม่ได้เกิดอันตรายเพราะถูกควบคุมด้วยสภาวะการเป็นกรดที่ช่องคลอด ไม่แปลกที่ผู้หญิงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะมีการติดเชื้อ เพราะน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นเป็นอาหารชั้นดีที่ยีสต์ชอบ จึงสามารถเจริญได้ดีจนมีประชากรมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อตามมา ทำนองเดียวกันในกรณีผู้ชายก็จะเกิดเป็นโรคสังคัง คือการติดเชื้อราที่บริเวณที่อับชื้น รวมทั้งต้นขา หรือ ขาหนีบด้วย
27. เหงือกอักเสบ
นี่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของโรคเบาหวานที่มักถูกมองข้าม โดยโรคปริทันต์ หรือที่รู้จักกันดีว่าโรคเหงือก ซึ่งพบได้ปกติสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานในความเป็นจริงแล้วผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องปาก ยิ่งบริเวณที่ปรงฟันไม่สะอาด ซอกฟัน ซอกเหงือก จะเอื้อต่อการหลงเหลือของแบคทีเรีย เหงือกเป็นสิ่งสำคัญมากดังนั้นทุกคนควรรักษาและดูแลเหงือกให้ดี อีกทั้งพอป่วยแล้วจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆได้ตามมา
28. ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ
ภาวะดื้ออินซูลินเป็นอาการที่อันตรายอย่างยิ่งของโรคเบาหวาน เนื่องจากฮอร์โมนอินซูลินมีหน้าที่อีกอย่างคือ การกระตุ้นในรังไข่ในเพศหญิง ทำการผลิตฮอร์โมนเพศชาย อาการ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) หรือภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ เกิดจากผู้ที่มีฮอร์โมนเพศชายจำนวนมาก ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินในร่างกาย ส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงมากขึ้น
29. การติดเชื้อง่าย
ภัยคุกคามที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของโรคเบาหวานคือ การส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ลดลง ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยติดเชื้อได้ง่าย และติดเชื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราที่ช่องคลอด กระเพาะปัสสาวะอักเสบจาการติดเชื้อ เป็นต้น
30. รู้สึกชาบริเวณมือ เท้า
ระดับสภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดความผิดปกติที่ระบบประสาทส่วนปลาย เริ่มจากการรับรู้ได้น้อยลง เกิดความรู้สึกชา เริ่มที่ส่วนปลายมือ ปลายเท้า เมื่อระยะลุกลามไปเรื่อยๆ จะค่อยๆขยับเข้ามาถึงขาและแขนตามลำดับ
เอาหล่ะที่นี้เราก็พอจะทราบอาการเริ่มแรกของเบาหวานกันบ้างแล้วเราก็ต้องระมัดระวังกันให้ดีเพราะโรคนี้ถ้าเป็นแล้วแทบจะไม่มีใครหายขาดได้เลยนอกจากต้องควบคุมไว้ไม่ให้อาการกำเริบเท่านั้นเอง เฮ้ออออ....แล้วเจอกันใหม่น๊าาาา
Cr - honestdocs