30.3.12

ชายหาด 9 สี ในแต่ละมมโลก.....



 วันนี้ลองเอาซีดีรุ่นเก่าๆที่ยังหลงเหลือรอดจากน้ำท่วมมาได้ มาทำการเก็บลงใ่่ส่เม็มโมรี่การ์ด ทำให้ได้เจอรูปสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ได้ไปเทียวทะเลแถวภาคใต้บ้านเรา เลยได้นึกบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของความสวยงาม ของชายหาดแต่ละประเทศ ทำให้นึกถึงเว็ปไซค์นึง ได้กล่างถึงชายหาดเ้ก้าสี ซึ่งธรรมชาติมักมีลูกเล่นอยู่เสมอ และคราวนี้เราก็เลยได้รวบรวม 9 สีของหาดทรายสวยๆ มาให้อึ้งลูกตากันดูเล่นๆ…



1. หาดทรายสีขาว (ที่สุดในโลก) หาดทรายดูไปก็ขาวหมด แต่เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าที่ Siesta Key Crescent Beach ในรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เป็นหาดทรายที่เกิดจากการถูกชะล้าง ของภูเขาหินทรายลงสู่แม่น้ำ ไหลเรื่อยมายังชายหาดแห่งนี้ ที่ขาวจัดเพราะในทรายมีส่วนผสมของควอตซ์บริสุทธิ์ถึง 99 เปอร์เซนต์ แถมยังนิ่มละเอียดอย่างกับน้ำตาลป่น

2. หาดสีเลือด  ชื่อก้อบอกว่าทรายที่นี่เป็นสีแดงดำ มีเพียง 2-3 แห่งในโลก ที่ขึ้นชื่อก็คือหาด Kaihalulu เกิดจากการผสมสีจากแร่เหล็กและขี้เถ้าที่ร่วนร่อนจากภูเขาไฟรอบๆ ชายหาด


3. หาดสีส้ม  นึกถึงสีพื้นลูกรังเข้าไว้ แต่อย่าไปจำสับสนกับทรายที่หาด Ramla il – Hamra บนเกาะ Maltese ประเทศมอลตาล่ะ ทรายสีส้มจัดนี้เกิดจากตะกอนสีส้มที่ทับถมของภูเขาไฟโดยรอบ ไม่เพียงแต่ชายหาด แต่ตะกอนนี้ยังทำให้ภูเขาหินปูนแถบนี้เป็สีส้มจัดเหมือนกัน


4. หาดสีเขียวมะกอก  นอกจากพบที่เกาะกวมและกาลาปากอส  แต่ที่ติดโผอีกที่ก็ต้องชายหาด Pu’u Mahana ในฮาวาย เป็นชายหาดที่ผสมกับเถ้าลาวาที่เกร็ดของแร่โอลิวีน หรือแร่รัตนชาติสีมะกอกที่เรียกว่าเพอริดอต เมื่อเวลาผ่านไป น้ำเซาะชายฝั่งก็จะหอบเนื้อทรายไป เหลือแต่แร่ที่ว่านี้เอาไว้ ทำให้ชายหาดดูเขียวเข้มวิบวับ
        

5. หาดสีชมพู  คุณสมบัติขั้นต้นคือเป็นชายหาดล้อมรอบด้วยแนวปะการัง เมื่อปะการังตายเศษโครงสร้างสีแดงก็จะถูกซัดเข้ามาผสมกับทรายจนกลายเป็นสีชมพูอ่อน พบได้ที่บาฮามัส เปอร์โตริโก เบอร์มิวดา บาร์บาดอส ฟิลิปปินส์ และสก็อตแลนด์
        

6. หาดสีม่วง  ที่ Pfeiffer ในแคลิฟอร์เนีย เกิดจากการผสมของฝุ่นแร่พลอยแดงที่ถูกชะล้างจากภูเขารอบๆ หาด มีตั้งแต่โทนสีม่วงเข้ม ม่วงจ้า และม่วงลาเวนเดอร์
        


7. หาดช็อกโกแลต  ด้วยเป็นหาดที่ถูกตีวงล้อมรอบด้วยแนวภูเขาหินปูนที่มีเนื้อสีน้ำเงินเทา และภูเขาไฟเนื้อหินสีเขียว ทรายของหาด Pacifica แคลิฟอร์เนีย จึงผสมกลมกลืนตะกอนจากการกัดกร่อนจากภูเขาเหล่านี้ กลายเป็นหาดสีน้ำตาลช็อกโกแลตหวานฉ่ำ น่าหม่ำ
        

8. หาดสีรุ้ง  แค่ชื่อก็บอกว่าใช่ Rainbow Beach ในออสเตรเลีย ซึ่งมีมากกว่า 70 เฉดสี ในผืนทรายเดียว จากการผสมกับตะกอนที่ร่อนมาทั่วสารทิศ แต่ที่เป็นชัดที่สุด คงเป็นริ้วสีเดียวกับหน้าผายุคน้ำแข็งด้านหลังหาด ที่มีโทนสีไล่เป็นสีรุ้งเชอร์เบ็ต และที่น่าทึ่งกว่า ลึกลงไปใต้พื้นทรายก็ยังไล่เป็นสีรุ้งเช่นกัน
       

9. หาดทรายดำ  เกิดจากลาวาที่ประทุจากภูเขาไฟริมหรือใกล้ชายฝั่งเย็นตัวลงเป็นเถ้าสีดำ ถูกน้ำซัดไปปะปนกับพื้นทราย หาดทรายดำจะประกอบด้วยเศษแร่หลายชนิด เช่น โกเมน ทับทิม แซฟไฟร์ บุษราคัม และเพชร หลายที่จะนิยมให้บริการฝังตัวกับทรายดำ เชื่อกันว่า รักษาผิวและสุขภาพ พบได้หลายที่ทั่วโลก และที่สำคัญ บ้านเราก็มีที่ จ.ตราด 

credit -- mcot/dailynews

28.3.12

ลดน้ำหนัก…แบบเกาหลี

       วันนี้เอาวิธีการรักษารูปร่างกันง่าย ๆ ด้วยเทคนิคและการกินอาหารแบบแดนโสมมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ

        ว่ากันว่าอาหารเกาหลีนั้นมีสารอาหารที่สมดุล ทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ง่าย และปริมาณคอเลสเตอรอลก็จำกัด โดยทั่วไปนั้น การกินแบบเกาหลีจะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต “ดี” จากผักและข้าว 70% โปรตีน 14-17%  และมีไขมันประมาณ 13% เมื่อเปรียบเทียบกับการกินของฝั่งตะวันตกซึ่งมักจะมีไขมันถึง 30-40% และน้ำตาลอีก 15%


1. กินผักให้เรียบ!!! อาหารเกาหลี อย่างเช่น Bibimbap (ข้าวยำเกาหลี) และ Onmyeon (ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ) มีผักสีสันต่าง ๆ มากมาย ทั้งผักป่าและผักสวนครัว และแม้ว่าคุณจะสั่ง Bulgogi (เนื้อวัวหมักย่าง) ก็มักจะมีผักเป็นเครื่องเคียง (โดยที่ไม่ต้องขอ) การกินผักเยอะๆ จะทำให้ท้องเราเต็มไปด้วยใยอาหาร และสารอาหารแคลอรีต่ำจนไม่เหลือที่ในกระเพาะอาหารไว้สำหรับอาหารขยะ


2. ปรุงด้วยรสจัด!!! อาหารเกาหลีมีชื่อเสียงเรื่องรสชาติจัดจ้าน เครื่องเทศหรือพริกต่าง ๆ มักจะถูกนำมาใช้ในอาหารเกาหลีเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าอาหาร แล้วยังช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก เนื่องจากการเติมเครื่องเทศรสจัดจ้านลงไปจะช่วยเร่งอัตราเผาผลาญพลังงานอีกด้วย


3. อย่าลืมกิมจิ!!! กิมจิอาจจะเป็นอาหารที๋โดดเด่นที่สุดของเกาหลี โดยทั่วไปมักทำมาจากกะหล่ำปลีดองหรือกะหล่ำปลีสด แล้วนำมาปรุงรสกับขิง พริกผง และกระเทียม ถึงแม้ว่าจะมีหลากหลายสูตรมาก แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือมันจะถูกนำมากินคู่กันทุก ๆ มื้อ 

แล้วได้ผลอย่างไรก็ลองมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ


27.3.12

5 อาหาร เพื่อผิวสวย

 

       การทานอาหารเพื่อสุขภาพส่งผลให้เรามีผิวที่สวยและเราก็มีความสุขที่ได้รับ อาหารดีๆนั้นด้วย แล้วเราควรทานอะไร ที่มีอาหารสำหรับผิวมา ดูกันคะ

1. น้ำ  เป็นที่รู้กันดีว่าน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญในร่างกาย และเราก็ไม่ควรจะขาดน้ำ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ระบบทำงานอย่างลื่นไหล เช่น ระบบขับถ่าย, การประมวลผลทางความคิด และความสดชื่นของร่างกาย ยังไม่หมดแค่นั้นค่ะ ยังช่วยขับสารพิษหรือของเสียต่างๆออกได้อีกด้วย น้ำจึงทำให้ผิวของเรากระจ่างใส ดูสดใส แล้วดื่มขนาดไหนถึงจะพอดีล่ะ คงต้องสังเกตจากสีของปัสสาวะค่ะ ถ้าเป็นสีเหลืออ่อน แสดงว่าเราได้รับน้ำเพียงพอ ถ้าสีเข้ม ก็ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น

2. อาหารที่อุดมด้วย โอเมก้า 3  อาหารอะไรบ้างน่ะเหรอ ยกตัวอย่างเช่น แซลมอน วอลนัท และถั่วต่างๆ ทาน อาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทำให้ผิวดูเอิบอิ่มและสดใส โอเมก้า 3 ยังช่วยต้านการอักเสบ ซึ่งจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ทำให้ผิวหน้าของสาวๆเปล่งประกาย

3. อาหารที่อุดมด้วยซีเลเนียม  จากการศึกษาทำให้พบประสิทธิภาพของแร่ธาตุชนิดนี้ ซึ่งช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้ อาหารที่อุดมด้วยซีเลเนียม ได้แก่ ธัญพืช ไก่งวงและทูน่า ถ้าอยากมีผิวที่ดูอ่อนวัยและช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ซีเลเนียมก็คือคำตอบค่ะ ถ้าไม่รู้จะทานอะไรดีลองทานซีเรียลที่เป็นธัญพืชในตอนเช้าก็ได้ แม้จะราคาสูงแต่รับรองว่าคุ้มค่า จะเติมเป็นผลไม้สดที่เราชอบลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติก็ได้ค่ะ

4. ชาเขียว ชาเขียว ในเมืองไทยเราก็นิยมดื่มกันพอสมควร เพราะรู้กันดีว่ามีประโยชน์แต่รู้มั้ยคะว่าสำหรับผิวเราแล้ว การดื่มชาเขียวช่วยลดความอยากอาหารลง และยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่อีกด้วย สำคัญจริงๆก็คงจะเรื่องที่ช่วยให้ผิวไม่แก่ก่อนวัยค่ะ แต่ประโยชน์จริงสำหรับเครื่องดื่มชาเขียว คือการช่วยลดการอักเสบ เหมือนกับโอเมก้า 3 ชาเขียวยังช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น อวบอิ่มขึ้นและดูมีสุขภาพดี

5. อาหารที่อุดมด้วย วิตามินเอ  วิตามินเอเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว เมื่อเราขาดวิตามินเอ ผิวจะแห้งและเป็นขุย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงเราต้องการเลยใช่มั้ยคะ หลายคนจึงให้ความสำคัญกับครีมที่มีวิตามินเอ เพื่อลดริ้วรอย ลดสิว แต่เราก็สามารถทานวิตามินเอจากอาหารได้ด้วยเหมือนกัน แหล่งอาหารชั้นยอดและราคาไม่แพงเกินไป ได้แก่แครอท บร็อคโคลี มันฝรั่งและเนย

credit   -- cmteens.com

26.3.12

การปลูกต้นไม้ตามทิศ



       วันนี้มีวิธีเลือกต้นไม้มงคลมาฝากเพื่อนๆกัน ตามประเพณีความเชื่อแต่โบราณเมื่อมีการปลูกบ้านเรือนใหม่ เจ้าของบ้านมักหาต้นไม้มงคลมาปลูกไว้บริเวณบ้านในทิศต่างๆ

ทิศเหนือ

        นิมยมปลูกส้มป่อย เพราะเป็นยาสมุนไพรแก้ได้หลายโรค เช่น ยาระบาย แก้บิด ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ไข้มาลาเรีย ฟอกเลือด มีความเชื่อว่า ปลูกไว้ขับไล่ภูตผีปีศาจ, ส้มซ่า เชื่อว่าเป็นการแก้เคล็ดให้ลูกหลานมีชื่อเสียงขจรขจาย, มะเดื่อ ผลกินได้ ทางยาแก้ท้องร่วง อาเจียน ห้ามเลือด ล้างแผล แก้ไข้กาฬ ร้อนใน

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

        ให้ปลูกทุเรียน เชื่อว่าหมายถึงความเป็นผู้คงแก่เรียน, ไผ่รวก เป็นอาหารได้ ทางยาใช้ถอนพิษเบื่อเมา, มะตูม เป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของฮินดู ดอกมีกลิ่นหอม ผลกินได้ ใช้ย้อมผ้า ทางยาช่วยย่อยอาหาร รักษาไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้ แก้หวัด หลอดลมอักเสบ ท้องเสีย บิด

ทิศตะวันออก 

         ควรปลูกไผ่สีสุก ชื่อเป็นมงคลนาม หมายถึง ความมั่งมีศรีสุขหรืออยู่เย็นเป็นสุข, มะพร้าว

ทิศตะวันออกเฉียงใต้ 

        นิยมปลูกสารภี ไม้มงคล เป็นไม้ดอกหอม เป็นยาบำรุงหัวใจ ประสาท แก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย เกสร รสหอมเย็น บำรุงครรภ์ และแก้ไข้, ยอ เป็นอาหาร และเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ไข้ แก้ไอ เหา ปวดเมื่อย และรักษาแผลสด เชื่อว่าป้องกันสิ่งเลวร้าย ส่วนเคล็ดความเชื่อนั้นคือหวังให้ผู้อื่นสรรเสริญเยินยอหรือยกย่องในสิ่งที่ดีงาม, กระถิน เป็นอาหารและยาแก้ท้องร่วง สมานแผลห้ามเลือด ด้านความเชื่อมีไว้ป้องกันความเป็นเสนียดจัญไร

ทิศใต้ 

        ปลูกมะม่วง เป็นผลไม้และยาบำรุงกำลัง ยาระบาย ขับปัสสาวะ แก้ท้องร่วง อาเจียน บิด ไอ แก้คันและโรคผิวหนัง, มะพลับ กินและย้อมสีได้ เป็นยาห้ามเลือด สมานแผล แก้ท้องร่วง บิด ลงแดง

ทิศตะวันตกเฉียงใต้

        ควรปลูกพิกุล เป็นไม้ดอกหอมนิยมใช้บูชาพระ ผลกินได้ แก้ปวดเมื่อย ร้อนใน ปวดศีรษะ ท้องผูก รากและดอกแก้ลม โลหิตและเสมหะ, ราชพฤกษ์ ถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ สรรพคุณทางยา ช่วยระบาย แก้แน่น, ขนุน เชื่อกันว่าปลูกแล้วจะมีคนสนับสนุนหรืออุดหนุนจุนเจือ, สะเดา เชื่อว่ากิ่งและใบสะเดาช่วยป้องกันภูตผีปีศาจ

ทิศตะวันตก 

        ให้ปลูกมะขาม เพื่อให้คนเกรงขาม, มะยม มีความเชื่อว่าเพื่อให้คนนิยม, พุทราควรปลูกคู่มะยม เพื่อหวังให้คนนิยมไม่สร่างซา

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 

        นิยมปลูกมะพูด เชื่อว่าปลูกเอาเคล็ดเพื่อหวังให้ลูกหลานเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาในสิ่งที่ดีงาม มีคนชื่นชอบกันมาก, มะกรูด ผลใช้สระผม ใบใช้ประกอบอาหาร เป็นยาขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดท้อง, มะนาว เชื่อว่าผู้อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี …..

**************
ที่มา-- หนังสือการปลูกไม้มงคลตามทิศ

25.3.12

กินผัก และผลไม้ถูกวิธี

           



      วันนี้มีเรื่องนี้มาบอก…ใครที่ชอบกินผักและผลไม้ ถ้าหากกินไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้ได้รับประโยชน์หรือสารอาหารต่าง ๆ น้อยกว่าที่ควร 

แก้วมังกร 

          ผลไม้ชนิดนี้กินได้เพลินๆ แต่ถ้ากลืนโดยไม่ได้เคี้ยวเมล็ดเล็กๆ สีดำให้แตกซะก่อน อาจพลาดสิ่งดีๆ ไป เพราะในเมล็ดของแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ รวมทั้งวิตามินอี การเคี้ยวให้แตกจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ได้

 ส้ม

          ส้มเป็นผลไม้ที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยจะมีมากในเยื่อบุผิวและเนื้อเยื่อส่วนใน ดังนั้น เวลากินส้มจึงไม่ควรลอกเยื่อบุผิวขาวๆ ออก และควรกินเนื้อส้มเข้าไปด้วย ช่วยเพิ่มกาก ใย อาหารอีกต่างหาก

ฝรั่ง

           เวลากินฝรั่งหลายคนจะทิ้งเมล็ดแล้วกินแต่เนื้อเพราะมีความเชื่อว่าการกินเมล็ดฝรั่งจะทำให้เป็นโรคไส้ติ่ง ทั้งๆ ที่เมล็ดฝรั่งมีความหวานหอมและเป็นกากใยอาหารที่ดีเยี่ยม จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเมล็ดอะไรหรืออาหารอะไร หากสามารถเข้าไปในไส้ติ่งได้ก็ทำให้เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้อง เป็น เมล็ดฝรั่งอย่างเดียว 

 แครอท

           ผักสีส้มที่กินแล้วผิวสวยเพราะได้ชื่อว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูง แต่จะได้ประโยชน์มากขึ้นหากปรุงด้วยความร้อนก่อนนำมากิน ความร้อนจะช่วยทำให้ผนังเซลล์ของแครอทอ่อนตัวลงร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมสารอาหารต่างๆได้ดีขึ้น



ที่มา-- hunsa.com

24.3.12

ทายนิสัยจากผลไม้


       เพื่อนๆเชื่อหรือไม่ว่าการชอบกินผลไม้ของแต่ละคน  ก็สามารถบ่งบอกถึงลักษณะนิสัียของคนที่ชอบกินผลไม้ชนิดนั้นๆได้  ว่าเป็นคนอย่างไร เอาหล่ะเรามาลองดูกันว่าจริงเท็จแค่ใหนกัน

แอปเปิ้ล 
คนที่ชอบกินผลไม้ชนิดนี้จะค่อนข้างขี้เหงา อยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ จะค่อยไม่แคร์เรื่องรัก  หรือที่เรียกกันว่ารักง่าย หน่ายเร็ว แต่ถ้าสำหรับเรื่องงานล่ะถือเป็นคนหนึ่งที่อึดจนชนิดที่ต้องยกนิ้วให้

สัปปะรด 
ส่วนคนที่ชอบผลไม้้ชนิดนี้นั้น ่จะมีนิสัยที่แคร์คนอื่นมากจนเกินไป และัแถมยังเป็นคนที่ชอบเอาใจคนอื่นมากเสียด้วย ซึ่งเป็นผลเสีย เพราะคนรอบข้างจะเบื่อหน่ายและรำคาญคุณก็อีตรงนี้แหละ

สตรอเบอร์รี่ 
ส่วนคนที่โปรดปรานสตรอเบอร์รี่หล่ะก็  ส่วนมากจะจัดเป็นคนที่รวยอารมณ์ขัน ช่างคุย ชอบสร้างความสนุกสนาน ความเฮฮา เป็นที่รักของเพื่อนฝูง

กล้วย 
ส่วนคนที่ชอบทานกล้วย ดูจากภายนอกแล้วจะดูเป็นคนที่เงียบขรึม แต่แท้ที่จริงเป็นคนอ่อนไหวสุด ๆเลยหล่ะ

แตงโม
ส่วนใครที่เอาแต่กินแตงโม  มักจะเป็นคนที่มีใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร ชอบช่วยเหลือเพื่อนฝูง เป็นคนซื่อสัตย์ มองโลกในแง่ดี ใช้ชีวิตเรียบง่าย สงบ

ฝรั่ง 
แต่ถ้าเพื่อนๆคนใหนที่ชอบกินฝรั่ง จะเป็นคนที่มีนิสัยรักอิสระ ชอบการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ หรืออยู่กับที่

มะละกอ 
แล้วถ้ามะละกอ เป็นผลไม้โปรดของใคร แสดงว่าคน ๆนั้น มีความอดทนสูง ความคิดล้ำลึก มีเหตุมีผล เป็นนักวางแผน และมีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

องุ่น 
ส่วนคนที่ชอบกินเจ้าผลไม้ชนิดนี้หล่ะก็ มักจะเป็นพวกเจ้าเสน่ห์ มนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ เป็นคนมีความคิด แต่ปากไม่ตรงกับใจ และจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองให้ใครได้รับรู้

ทีนี้รู้หรือยัง ว่าคุณหรือคนใกล้ตัว หรือเพื่อนๆของเรา หรือตัวตนของคุณเองเป็นคนแบบไหน …...

***********
credit-- dalinews 

เบาหวาน...


เนื้อเพลง "เบาหวาน" ost.วาเลนไทน์ สวีทตี้ 

ผ่านเวลา ผ่านมานานแค่ไหน
กี่เดือนปี กี่นาทีที่ฉันมีเธอ
ที่แสนดี เธออยู่ตรงนี้ข้างๆกัน
กี่หมื่นคืนวัน ที่ผ่านไปนาน
ฉันเกือบลืมคิด เรื่องสำคัญ
ที่เรามีกัน และยังมีกัน เพราะอะไร

บอกรักแล้วมันจะตายใช่ไหม จะตายหรือยังไง
เก็บไว้ก็คงไม่มีใครจะเข้าใจ
บอกความหวานที่หัวใจเก็บไว้
ให้เขินให้อายให้ตายไปข้างนึง
ให้เธอรู้ ว่าใจฉัน มีรักมากมายที่เธอคิดไม่ถึง
และวันนี้ จะขอเธออย่างนึง ช่วยรับและฟังกับสิ่งที่พูดไป
ที่บอกรักเธอ

เธอไม่เขินแต่ฉันเขินเข้าใจไหม
สิ่งที่ฟัง เธอว่ามันก็น่ารักดี หรือไม่ดี

เพราะจากวันนี้ไปทุกวัน จะบอกคำเดิม
กับเธอคนเดียว ไม่ต้องคอยถามให้แน่ใจ
จะบอกให้ฟังไม่ปล่อยให้ดังแค่ในใจ

บอกรักแล้วมันจะตายใช่ไหม จะตายหรือยังไง
เก็บไว้ก็คงไม่มีใครจะเข้าใจ
บอกความหวานที่หัวใจเก็บไว้
ให้เขินให้อายให้ตายไปข้างนึง
ให้เธอรู้ ว่าใจฉัน มีรักมากมายที่เธอคิดไม่ถึง
และวันนี้ จะขอเธออย่างนึง ช่วยรับและฟังกับสิ่งที่พูดไป ที่บอกรัก

บอกให้เธอรู้ ว่าใจฉัน มีรักมากมายที่เธอคิดไม่ถึง
และวันนี้ จะขอเธออย่างนึง

บอกรักแล้วมันจะตายใช่ไหม จะตายหรือยังไง
เก็บไว้ก็คงไม่มีใครจะเข้าใจ
บอกความหวานที่หัวใจเก็บไว้
ให้เขินให้อายให้ตายไปข้างนึง
ให้เธอรู้ ว่าใจฉัน มีรักมากมายที่เธอคิดไม่ถึง
และวันนี้ จะขอเธออย่างนึง ช่วยรับและฟังกับสิ่งที่พูดไป
ที่บอกรักเธอ

22.3.12

กินสเต๊กอย่างถูกวิธี



          วันนี้ได้ไปกินข้าวฟรีมา ลูกค้าร้านนี้ค่อนข้างเยอะ แต่ว่าเป็นแบบสบายๆ สไตล์อาหารและรูปแบบร้านจะเป็นแบบคนไทยๆ แต่ว่าตัีวเองก็ไม่ได้กินหรอกไอ้อาหารฝรั่งน่ะ กินอาหารไทยนี่แหละ แต่บรรดารอบข้างจะสั่งอาหารมาทานกันซะมากกว่า และที่มองๆดูก็จะเป็นสเต็กซะเกือบทุกโต๊ะ มองๆดูแล้วสำหรับผู้ที่คุ้นชินกับการเข้าสังคมบ่อย ๆ การสั่งหรือรับประทานเมนูสเต๊กก็คงจะเป็นเรื่องง่าย ๆหรับคนบางคน แต่คนที่ไม่ชำนาญ วันนี้มีวิธีกินสเต๊กให้ถูกวิธีมาฝาก เอาหล่ะก่อนอื่นเมื่อจะสั่งสเต๊ก ที่มีให้เลือกทานหลากหลายแบบ ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับสเต๊กก่อน โดยสเต๊กมีด้วยกันหลายประเภทและมีชื่อเรียกเฉพาะแตกต่างกัน เช่น เนื้อสันใน เรียกว่า ฟิเลท์ (filet), ซี่โครง เรียกว่า ริบสเต๊ก (rib steak), เนื้อสันในติดเนื้อสันนอก เรียกว่า ทีโบนสเต๊ก (T-bone steak) เป็นต้น...

         ขั้นต่อมา คนรับออเดอร์จะถามระดับความสุกของเนื้อที่จะรับประทานว่าต้องการสุกแค่ไหน โดยมีระดับความสุกให้เลือกดังนี้ rare คือ ค่อนข้างดิบ, medium rare คือ กึ่งสุกกึ่งดิบ, medium คือ ตรงกลางยังไม่ค่อยสุก และ welldone คือ สุก

         เอาหล่ะทีนี้่เมื่อสเต๊กพร้อมเสริ์ฟแล้ว เราก็มาถึงขั้นตอนของการรับประทานกัน ง่าย ๆก็คือ ใช้มือซ้ายถือส้อม มือขวาถือมีด ให้หั่นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอาส้อมจิ้มเข้าปาก เวลาหั่นควรหั่นและรับประทานทีละคำ ไม่ควรหั่นไว้ทีเดียวทั้งหมด แล้วค่อยจิ้มทาน เพราะถือเป็นการผิดมารยาท โดยในร้านที่เป็นทางการนั้น จะไม่นิยมปรุงสเต๊กเพิ่มเติมจากที่เสิร์ฟมาเลย ถือว่าเป็นการให้เกียรติเชฟที่ทำมาอร่อยแล้ว โดยทั่วไปจะไม่จิ้มสเต๊กกับสิ่งที่มีรสจัดมาก เพราะจะทำให้รสชาติของเนื้อสเต๊กที่หอมหวานในตัวเองสูญเสียไป เนื่องจากสเต๊กที่สั่งก็จะมีน้ำเกรวี่เฉพาะราดมาให้อยู่แล้ว  ที่นี้เราก็กินสเต็กกันได้อย่างอร่อยและไม่อายต่างชาติแล้วใช่ไม๊หล่ะ......

21.3.12

โสด 7 แบบ

 

วันนี้ได้อ่านข่าวเก่าๆย้อนหลัง ทำให้รู้สึกว่าตั้งแต่ต้นปีมานี้มีแต่คนแต่งงานกันเยอะมากกกก หลายคู่ ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง นักแสดง และแม้เเต่ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราๆก็เลยย้อนมองตัวเองบ้าง หุ หุ ว่าคนโสดอย่างเราเมื่อไหร่จะได้ลงจากคานบ้างน้ออออ...เอ้า...โม้มาเยอะแล้ว เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าว่า คนโสดอย่างพวกเราๆนี้เค้ามีคนโสดกันกี่แบบ แต่ที่หามาได้วันนี้ก็มี 7 แบบ ซึ่งในความเป็นจริงมันอาจจะมีเยอะกว่านี้ก็ได้...เรามาดูกันค่ะ

1. คืนนี้ไม่มีดวงดาว (โสดช่างฝัน)
คนโสดประเภทนี้ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นคนชอบเพ้อ ชอบฝัน ชีวิตเหมือนอยู่ในเทพนิยาย ตลอดเวลา ได้แต่เฝ้ารอคอยว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าชาย หรือเจ้าหญิง มารับไปอยู่ในปราสาท คนโสดในกลุ่มนี้มักเป็นคนช่างเลือก และหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง จนบางครั้งลืมมองไปว่าคนอื่นเขาก็อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเหมือนกัน คนพวกนี้เหมาะที่จะอยู่ในโลกของความฝันมากกว่าโลกของความเป็นจริงเพราะว่า ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เพ้อฝันไปเรื่อย ไม่มีที่สิ้นสุด คนพวกนี้เลยจัดอยู่ในจำพวกโสดช่างฝันนั่นแหละเหมาะแล้ว

2. บ้านนี้ไม่มีแมลง (โสดซ่อนกิ๊ก)
คนโสดประเภทนี้ ต้องบอกว่าเป็นคนประเภทโสด แต่ไม่สด พวกนี้เคยมีแฟนหรือเคยมีชีวิตคู่ แล้วต้องกลับมาอยู่เป็นโสด คนโสดประเภทนี้ ถ้าเรามองด้วยตาเปล่าก็จะเหมือนกับคนโสดธรรมดาทั่วไปแต่ถ้าเอากล้องจุลทัศน์ มาส่องดูจะเห็นว่าแอบมีกิ๊กซ่อนอยู่บอกใครก็ไม่ได้เพราะต้องครองสถานภาพโสด ทางสังคมเข้าอาการน้ำท่วมปากก็เลยต้องมีคู่แบบหลบซ่อนไปเรื่อยๆ นี่หละเข้าตำรา โสดซ่อนกิ๊ก

3. ถนนที่ไร้ปลายทาง (โสดป่าเดียวกัน)
คนโสดประเภทนี้ เป็นประเภทไปหลงรักกับพวกผิดฝาผิดตัว ผิดที่ ผิดทาง จะว่ากันจริงๆผิดเพศน่าจะตรงกว่า คนพวกนี้ก็จัดอยู่ในพวกคนที่แสนดี เพราะเป็นคนที่เสียสละมากไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงก็รัก ทั้งๆที่รู้ว่าคนที่ไปรักถูกสาปให้ต้องเป็นแบบนี้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะโค่นป่าทั้งป่า ก็คงจะเปลี่ยนให้เขากลับมาชอบเพศตรงข้ามไม่ได้แต่คนโสดกลุ่มนี้ดูไปแล้วก็ น่าอิจฉา เพราะอย่างน้อยก็ยังมีความรักหล่อเลี้ยง ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่ก็ยินดี เรียกได้ว่าเป็นพวกโสดไม่มีที่สิ้นสุด ดีเลิศประเสริฐแท้

4. มันเป็นเรื่องของรอยกงเกวียน (โสดภาคบังคับ)
คนโสดประเภทนี้ไม่ได้มีความอยากอยู่เป็นโสดแม้แต่น้อย แต่จำเป็นต้องอยู่เป็นโสดเพราะถูกคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิต หรือจะเรียกว่าผู้มีพระคุณ ตั้งกฎเกณฑ์บังคับให้ต้องอยู่เป็นโสด ถึงแม้ว่าจะพยายามค้นหาและไขว่คว้า หรือจะเอาชนะอย่างไรก็ไม่อาจจะพ้นจากความโสดได้ จนแล้วจนรอดก็ต้องถูกบังคับให้กลับมาเป็นโสด เหมือนเดิม เฮ้อช่างน่าสงสารจริงๆ

5. กว่าจะถึงเส้นแพ้ (โสดรอด้ายยยย…)
“ไม่เป็นไรรอด้ายยย” เป็นคำพูดติดปากของคนโสดกลุ่มนี้ คนพวกนี้มักพูดว่าไม่เรียกร้อง ไม่ต้องการ ยินดีที่จะมอบความรักไม่หวังผลตอบแทน และก็พร้อมที่จะเป็นแต่ผู้ให้ เพียงอย่างเดียว จะว่ากันง่ายๆก็ไปรักคนที่มีเจ้าของ แล้วก็คิดว่าวันหนึ่งเขาจะทิ้งคนรักของเขามากหาตัวเองเพราะความดีที่ทำให้ จึงได้แต่พร่ำว่า รอได้ รอได้ มันก็เลยต้องอยู่เป็นโสดเพราะว่ายังไง ก็…รอได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตามแต่ ถ้ามี ความสุขล่ะก็เอาเห๊อะ

6. คนรักช้าง (ทำเป็นโสด)
คนโสดพวกนี้มักจะบอกกับใครๆ ว่าตัวเองโสดอยู่ตลอดเวลา (ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่โสด) อันนี้จะคล้ายๆ กับโสดซ่อนกิ๊ก และก็แฉลบไปโดนกับโสดภาคบังคับอยู่นิดหน่อยเพียงแต่ว่าที่เขาทำก็ด้วย หน้าที่ ทำให้ต้องอยู่เป็นโสด คนพวกนี้จัดเป็นคนโสดเฉพาะกลุ่มสักหน่อย เพราะจะเป็นคนที่จัดอยู่ในประเภทคนของประชาชน มีคนมามอบความรักมากมายแต่ว่าไม่สามารถมีคนรักเป็นของตนเองได้เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่เป็นที่ยอมรับ และก็ต้องมาทำเป็น โสด นี่แหละ เหนื่อยหน่อยนะแต่ถ้าชอบก็เอา

7. แต่งกับความโสด (โสดตัวกินไข่ โสดปลาไหลกินน้ำแกง)
คนโสดประเภทนี้มักมีพฤติกรรมที่เกลียดเพศตรงข้ามจนออกหน้าออกตา อาจจะด้วยอยู่มานานแล้วไม่มีใครสนใจสักที เลยทำเป็นเกลียดขยะแขยง จริง ๆแล้วกลัวเสียฟอร์ม หรือไม่ก็อยากมี…แต่ก็กลัวหรือคิดอีกที อาจจะเคยผิดหวังอย่างแรงทำให้เกลียดเพศตรงข้ามไปเลย แต่ในใจลึกๆ ของคนโสดประเภทนี้ อยากมีคู่มากที่สุด แต่ก็แสดงออกมาในทางตรงกันข้าม เข้าตำรา โบราณที่ว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เลยต้องอยู่แบบ โสดตัวกินไข่ เพราะคนที่จะเข้ามาก็กลัวคนพวกนี้เหมือนกัน เป็นไงหละเลยโสดเลยเห็นมั้ย (บอกแล้ว)

‘โรคลมชัก’

   

วันนี้เอาเรื่องเกี่ยวกับการเจ็บป่วยมาฝาก เนื่องด้วยวันนี้ได้เดินไปซื้อของที่ห้างแัถวบ้าน ได้เห็นต่างชาติคนหนึ่งกำลังชักอยู่ที่พื้น         มีเเฟนเป็นคนไทยกำลังพยามช่วยเหลืออาการอยู่ ดูจากอาการแล้วก็กลัวๆเหมือน และดูแล้วผู้คนส่วนมากก็จะเป็นโรคนี้กันซะส่วนมาก แต่อย่างไรใครเป็นหรือไม่เป็น แต่ให้เราไปเรียนศึกษาไว้ก็ดีไม่เสียหลาย เอาหล่ะเรามาเริ่มดูกันว่ามีอะไรบ้าง สำหรับโรคลมชัก ที่คนส่วนใหญ่อาจเข้าใจว่าเกิดจากเครียด แท้ที่จริงแล้ว เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้า ซึ่งมีสาเหตุหลายอย่าง อาทิ สมองพิการแต่กำเนิด พันธุกรรม พยาธิในสมอง เส้นเลือดสมองผิดปกติ สมองถูกกระทบกระเทือน เนื้องอกในสมอง การได้รับสารพิษสะสม แต่ผู้ป่วยโรคลมชักกว่าร้อยละ 70 ไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้

       ทั้งนี้การชักเพียงแค่ครั้งเดียว ยังไม่เข้าข่ายป่วยลมชัก แต่จะต้องมีอาการมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป มักเกิดขึ้นหลังจากระบบไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมองที่ผิดปกติไปรบกวนการทำงานสมอง ส่วนอื่น อาการชักจึงเกิดขึ้น ซึ่งแพทย์สามารถตรวจหาความผิดปกติได้ด้วยการสแกนสมองและตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง

       ผู้ป่วยโรคลมชัก จะมี 2 แบบ คือ การชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว เพราะกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติเกิดขึ้นทุกส่วนของสมอง ทำให้ชักไปทั้งตัว อาการมักเริ่มจากหมดสติ ล้ม ตาเหลือก ส่งเสียงดังลั่น กัดฟัน และหยุดหายใจชั่วคราว แล้วจึงชักกระตุกไปทั้งตัว โดยเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที หลังจากหยุดชัก ผู้ป่วยจะรู้สึกเพลีย กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ และปวดศีรษะ

       อีกแบบ ความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นบางส่วน ผู้ป่วยจึงชักบางส่วน เช่น ใบหน้า แขน ขา หรืออาจไม่ปรากฎอาการชักกระตุก แต่จะดูเหมือนเหม่อลอย หรือหมดสติไปชั่วคราว และหลังจากชักไปแล้ว มักจะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้  อย่างไรก็ตาม โรคลมชักไม่ทำให้สมองเสียหาย แต่สร้างปัญหาด้านพฤติกรรมและอารมณ์ โดยรักษาได้หลายวิธี และรักษาให้หายได้ ทั้งด้วยยา หรือการผ่าตัด สำหรับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษานั้น ร้อยละ 80 มีผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ

      ที่สำคัญ หากพบผู้ป่วยโรคลมชักกำลังมีอาการชักกระตุก วิธีช่วยเหลือที่เหมาะสมที่สุด ไม่ควรสอดช้อนหรือของแข็งเข้าไปในปากของผู้ป่วย เพราะเสี่ยงทำให้บาดเจ็บ โดยควรใช้ผ้าหนาๆ นุ่มๆ สอดเข้าไปในปากของผู้ป่วยแทน นอกจากนี้ยังควรให้ผู้ป่วยอยู่ในบริเวณที่อากาศถ่ายเท หายใจได้สะดวก

        อาการของโรคลมชัก มักเกิดขึ้นรวม 3-5 นาที แล้วหาย กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการชักทั้งตัวนานเกิน 20 นาที หรือชักติดต่อกันและไม่รู้สึกตัว ให้ถือว่าเข้าขั้นร้ายแรง จำเป็นต้องรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล …

*********************

The Melody



เนื้อเพลง "The Melody รักทำนองนี้"
เพลง The Melody
ขับร้อง: วรเวช ดานุวงศ์
คำร้อง/ทำนอง/เรียบเรียง: ตรัย ภูมิ รัตน
จริงหรือเปล่า ที่ใครเขาบอก ว่าคนรักกัน ต้องอยู่ด้วยกันเรื่อยไป
จริงแค่ไหน ว่าความเหินห่าง จืดจางรักได้ แต่ฉันไม่เชื่ออย่างนั้น
*โอ้ความรักช่างสวยงาม ปล่อยไปตามที่เชื่อใจ
เผื่อเอาไว้คิดถึง คงซึ้งในความหมาย
เราจะได้รู้ว่าใจของเรา รักกันมากเท่าไหร่
**เราอาจไม่เจอกัน ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้จูงมือไปกับเธอจนถึงฝัน
ไม่ได้สัมผัส พูดว่ารักกัน แต่รู้ไว้ฉันรักเธอเสมอ
ไม่ว่าเมื่อไหร่ จะเป็นกำลังใจ ต่อให้จากนี้เรานั้นอาจไม่ได้เจอ
อยากให้เธอเชื่อว่าความรู้สึกที่ฉันมีให้เธอ จะไม่เปลี่ยนไปเลย
ฉันรักเธอ มากมายเหลือเกิน สุขใจเหลือเกิน เมื่อเราอยู่ใกล้กัน
คืนและวัน ความรักที่มี คงไม่ไหวหวั่น คงไม่มีวันเปลี่ยนไป
*โอ้ความรักนั้นสวยงาม ปล่อยไปตามที่เชื่อใจ
เผื่อเอาไว้คิดถึง คงซึ้งในความหมาย
เราจะได้รู้ว่าใจของเรา รักกันมากเท่าไหร่
**เราอาจไม่เจอกัน ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้จูงมือไปกับเธอจนถึงฝัน
ไม่ได้สัมผัส พูดว่ารักกัน แต่รู้ไว้ฉันรักเธอเสมอ
ไม่ว่าเมื่อไหร่ จะเป็นกำลังใจ ต่อให้จากนี้เรานั้นอาจไม่ได้เจอ
ไม่ว่านานเท่าไร โปรดจงรู้ไว้เสมอ ใจชั้นเป็นของเธอ
ยังรักเธอเสมอ จะไม่เปลี่ยนไปเลย...แม้เราต้องจากกัน

*****************



 "แดน วรเวช"แสดงนำในภาพยนต์รักสุดโรแมนติก "The Nelody รักทำนองนี้" งานนี้แดนรับบทเป็นนักดนตรี และนักแต่งเพลง ซึ่งตรงกับตัวจริงแดนอยู่แล้ว ทำให้งานนี้หนุ่มแดนไม่ลำบากเลยที่ต้องเล่นดนตรี และร้องเพลงประกอบภาพยนต์เรื่องนี้ นั้นคื่อเพลงที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อหนัง "The melody รักทำนองนี้" 


20.3.12

ทายนิสัยจากใบหน้า


     เชื่อหรือไม่ว่ารูปหน้าของๆคนเรานั้่นสามารถบ่งบอกถึงนิสัียของเจ้าของรูปหน้านั้นได้ ว่าเป็นคนนิสัยอย่างไร มีอัธยาศัยอย่างไร 
เอาหล่ะเรามาดูกันว่าเพื่อนๆมีรูปหน้าแบบใหน นิสัยอย่างไร...

ใบหน้ารูปกลม

ลักษณะความกว้างและความยาวบนใบหน้าเกือบจะเท่ากัน แต่หน้าผากและคางจะกลม มองได้ว่าคนรูปหน้ากลมเป็นคนมองโลกในแง่ดี ใจเย็น ใจดี แต่เป็นคนเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไม่กระตือรือร้น ไม่ค่อยอดทน ไม่หนักแน่น และไม่ชอบชิงดีชิงเด่นกับใคร มักปล่อยให้ชีวิตลอยตามลมไม่มีจุดมุ่งหมาย ซึ่งบางครั้งนิยสัยแบบนี้ก็ทำให้ชีวิตจืดชืดน่าเบื่อ อาชีพที่เหมาะสมที่สุดคือ ‘แม่บ้าน’....

ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

ลักษณะใบหน้าจะดูยาวกว่ากว้าง นับเป็นรูปหน้าที่ดีที่สุด เพราะแสดงถึงความน่าคบ น่าสนใจ รักเดียวใจเดียว เป็นคนทำอะไรด้วยใจเต็มร้อย เป็นคนเข้มแข็งแต่ไม่ก้าวร้าว ฉะนั้นคนรูปหน้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าจะไม่มีวันร้องไห้กับเรื่องไร้สาระเด็ดขาด เพราะความฉลาดทำให้รู้จักวางตัว มีภาวะผู้นำสูง ชอบเป็นนักการทูต ชอบสันติภาพ ความชอบเหล่านี้คือความสุขของคุณ ‘ผู้มีน้ำใจ’....

ใบหน้ารูปสามเหลี่ยม

ลักษณะหน้าผากกว้างและสูง คางแหลมเห็นได้ชัด รูปหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว ตัดสินใจเร็ว ใจร้อน ชอบคิดชอบฝัน ช่างจินตนาการไปไกล และเป็นคนอ่อนไหว บางครั้งรู้สึกเจ็บปวดกับฝันที่ไม่เป็นจริง นั่นเพราะได้แต่ฝัน ไม่ยอมลงมือทำ....

ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 

ลักษณะหน้าผากและรูปกรามกว้างจนเกือบเท่ากัน รวมทั้งความกว้างและความยาวบนใบหน้าก็ยาวเท่ากัน แสดงว่าคุณเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง หลงตัวเอง มีความมั่นใจในตัวเองสูง ทำให้เป็นคนทำอะไรตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น เรื่องนินทาชาวบ้านไม่ใช่นิสัย จุดเด่นของคนใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสคือ เข้มแข็ง มีความอดทนสูง สามารถรับมือกับปัญหาสารพัดรูปแบบได้อย่างสบาย กระตือรือร้น ขยันทำงาน ไม่หยิบโหย่ง มีความมุมานะเป็นที่สุด....

ใบหน้ารูปไข่ 

บริเวณแก้มจะกว้าง หน้าผากและคางจะกลมมนเป็นรูปไข่ นับเป็นรูปหน้าของคนสวย จุดเด่นคือสวยสะดุดตา เป็นคนรักสวยรักงาม ช่างแต่งตัว เป็นคนฉลาด ไม่อ่อนแอ รักความสบายเหนือสิ่งอื่นใด ความรักต้องมาคู่กับฐานะทางการเงินที่ดี เพราะความฉลาดทำให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และมักโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างอยู่เสมอ มีความสามารถทางศิลปะ รสนิยมดี ช่างฝันและมุ่งมั่นทำฝันให้เป็นจริง....

ใบหน้ารูปข้าวหลามตัดหรือรูปเพชร 

ลักษณะโหนกแก้มเป็นกระดูกที่เห็นเด่นชัด หน้าผากและคางจะแคบ ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนหยิ่งถือตัวและชอบใช้อำนาจ แต่ความจริงแล้วคุณเป็นคนเข้มแข็งและเชื่อมั่นในตัวเองมากจนเกินไปทำให้ใบหน้าไม่ยิ้มแย้ม คุณเป็นคนขี้ระแวง ใจแคบ ระมัดระวังตัวมาก จนบางครั้งทำให้ต้องโดดเดี่ยว เพราะใคร ๆ ก็ถอยห่าง คุณมักยึดถือตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร จุดเด่นคือใจกล้า มีความพรสวรรค์ด้านศิลปะ รสนิยมหรู ฉลาดและเจ้าเล่ห์....

ใบหน้ารูปชมพู่ 

ลักษณะหน้าผากแคบ คางและกรามเป็นสันดูแข็งแรง บ่งบอกว่าคุณเป็นคนแข็งแรง มีความอดทนสูง ไม่ชอบง้อใคร รักความอิสระ แต่ชอบเรียกร้องความสนใจ เป็นคนขยันในทุกด้าน ทั้งการเรียน การงาน ทำได้ดีทั้งหมด แม้ว่าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่คนก้าวร้าว ตรงข้ามกับบุคลิกภาพที่สุภาพเรียบร้อย รู้กาลเทศะ แต่ดื้อไปหน่อยเท่านั้นเอง....

ใบหน้ารูปหัวใจ 

ลักษณะโหนกแก้มกว้าง คางแหลม ที่เห็นชัดคือตีนผมตรงหน้าผากจะยื่นแหลมออกมาตรงกลาง ดูแล้วเป็นรูปหัวใจ ใบหน้ารูปนี้จะดึงดูดใจคนรอบข้าง เป็นคนมีเสน่ห์ เจ้าชู้ สนุกกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ชีวิตแพรวพราว ชอบเรื่องตื่นเต้นผจญภัย มีความสุขกับชีวิตนอกบ้าน เข้าสังคมเก่ง เป็นคนสนุก สดใส ไม่น่าเบื่อ และยังเป็นคนฉลาด คล่องแคล่วว่องไว อ่อนไหวและช่างฝัน ขณะเดียวกันก็เข้มแข็ง ทะเยอทะยาน มีความมั่นใจในตัวเองสูง …

***************

18.3.12

ความทรงจำที่มีต่อโรงหนังสามพี่น้องตระกูลเอเพ็คซ์....

          ห่างหายไปนานจาก Blogger เนื่องจากการโดน Hack ไปเรียบร้อย และเนื่องจากได้พิมพ์บทความล่วงหน้าไว้หลายวันจัด พอกลับมาอีกที เพราะว่าถึงเวลาต้องลงบทความใหม่ จะเข้ามาอีกที ก็ได้หายไปจากสารบบเสียแล้ว เอาหล่ะพล่ามมานาน วันนี้เอาืไปเจอสาระดีๆ ก็เลยอดเอามาฝากไม่ได้ตามเคย เกี่ยวกับ โรงหนัง"สยาม-ลิโด-สกาล่า'' ซึ่งใกล้จะโดนทุบ เต็มที เรามารู้เรื่องกับเรื่องที่ควรรู้ และความทรงจำที่มีต่อโรงหนังสามพี่น้องตระกูลเอเพ็คซ์ทั้งสามโ่รงนี้กันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง


สยามสแควร์ 

   เิริ่มจากประวัติ จุดก่อกำเนิดของโรงภาพยนตร์ อยู่ที่สยามสแควร์ จึงมีประวัติทีเกี่ยวพันก้ันมาเล่าใ้้ห้ฟังกันเล็กน้อย คือทางจุฬาฯได้บอกให้ทำโครงการพัฒนาที่ดินผืนใหญ่ 52 ไร่ ซึ่งก็คือ สยามสแควร์ปัจจุบัน  และผู้ที่ได้ทำก็โครงการนี้ก็คือคุณกอบชัย ซอโสตถิกุล ผู้ที่ได้รับสิทธิเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของจุฬาฯในตอนนั้น


คุณกอบชัย ซอโสตถิกุล 

      สมัยนั้นที่ดินย่านนั้นเป็นสวนผัก เป็นชุมชนแออัดที่เข้าไปบุกรุกที่ดินจุฬาฯ ทางคูณกอบชัยจะต้องเข้าไปทำความเข้าใจให้เขารื้อถอน ย้ายออกไป จึงสามารถเริ่มโครงการได้ แต่สร้างตึกแถวอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ทางจุฬาฯต้องการให้เป็นศูนย์การค้าเต็มรูป ตอนแรกต้องหาคนมาร่วมลงทุน แต่ไม่มีใครเอาด้วย ที่สุดคุณกอบชัยก็ต้องตัดสินใจทำเอง โดยคุึณกอบชัยได้ให้สัมภาษณ์ไว้จากบทความในเว็บของมติชน 

    “…ก็เสนอไปให้จุฬาฯพิจารณา เราออกแบบเป็นอาคารพาณิชย์ 550 หน่วย มีโรงภาพยนตร์ โรงโบว์ลิ่ง มีไอซ์สเก็ตติ้ง ดูเหมือนจะเป็นศูนย์การค้าแนวราบที่ใหญ่สุดของเมืองไทยก็ว่าได้ ทางจุฬาฯเห็นชอบ ผมสร้างตึกแถวแบบชั้นล่างเป็นที่ขายของ ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย และมีตลาด มีโรงหนัง ครบหมด คนมาซื้อของก็มาดูหนังด้วย ดังนั้น ตึกแถวที่สร้างขึ้นมาขายได้หมด…”

     “จุดเด่นของสยามสแควร์อยู่ที่มีโรงหนังถึง 3 โรง คือ สยาม และลิโด สร้างก่อน แล้วต่อมาจึงสร้าง สกาลา บริเวณโรงหนังสกาลา เดิมจะทำเป็นไอซ์สเก็ตติ้ง แต่มีปัญหา จึงเปลี่ยนมาเป็นโรงหนังแทน และได้กลุ่มเอเพ็กซ์ ของ คุณพิสิษฐ์ ตันสัจจา เข้ามารับผิดชอบ”

คุณพิสิฐ ตันสัจจา 

     จากความสามารถที่ปรากฏให้เห็นในด้านธุรกิจบันเทิงของคุณพิสิฐ จึงทำให้ได้รับการติดต่อจาก คุณกอบชัย ซอโสตถิกุล เจ้าของบริษัท เซาท์ อีสเอเซีย ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินบริเวณนี้มาปรับปรุงให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยบริษัท เซาท์ อีสเอเซีย ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ออกแบบ และก่อสร้างอาคารต่าง ๆ บนที่ดินผืนนี้ และมีคุณพิสิฐ มาร่วมด้วยโดยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงภาพยนตร์ทั้งสามโรง

    เนื่องจากคุณพิสิฐ ตันสัจจา โชว์แมนคนสำคัญของเมืองไทย ในขณะนั้นหลังจากที่ประสบผลสำเร็จอย่างมากในการทำโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย จากที่เคยเป็นโรงละคร มาเป็นโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย ที่ทำรายได้มากมาย เป็นผู้ริเริ่มคนแรก ในการนำเข้าระบบการฉายภาพยนตร์ในแบบต่าง ๆ เช่น ระบบสามมิติ, ระบบ ทอคค์ - เอ โอ, ซีเนมาสโคป - ซีเนรามา (เลนส์เดียว), 70 ม.ม. และ ซีเนรามา ฉายพร้อมกัน 3 เลนส์ เป็นต้น


"ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม"

       เ็ป็นชื่อภาษาไทยของหนังญี่ปุ่นเรื่อง''Alway:Sunset on Third street'' ที่เข้ามาฉายในเมืองไทยในปี 2549 เป็นหนังที่ฟอร์มไม่ใหญ่นัก ฉายจำำกัดโรง แต่ฟอร์มของหนังแรงมาก จนเกิดกระแสจากปากต่อปากเรียกคนเข้าไปชมหนังเรื่องนี้กันจำนวนมาก โดยหนังเรื่อง "Always" นี้่ได้พูดถึงชุมชนแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2501 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังฟื้นตัวเองจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวละครแต่ละตัวในชุมชน ต่างอยู่ร่วมกันด้วยการพึ่งพาอาศัยกันท่ามกลางความยากลำบากของยุคสมัย  แต่ความรู้สึกของหนังกลับทำให้คนดูรู้สึกเต็มอิ่มในทุกอารมณ์ ทั้งน้ำตาและเสียงหัวเราะ...

        เหตุที่เกริ่นถึงหนังเรื่องนี้ก่อน ก็เพราะว่าโรงหนังหนึ่งที่เป็นพื้นที่จัดฉายหนังเรื่อง "Always" นั่นคือ โรงหนังลิโด ซึ่งในตอนนี้ มีข่าวว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเจ้าของพื้นที่เวนคืนพื้นที่สยามสแควร์เพื่อทำวอล์กกิ้งสตรีท ซึ่งหนึ่งในจุดที่โดนเวนคืนก็คือ โรงหนังในเครือเอเพ็กซ์อย่าง โรงหนังลิโดและสกาล่า ซึ่งจะหมดสัญญาเช่าในปี 2556 และปี 2559 ตามลำดับ ในอนาคต เป็นไปได้ว่า ตึกนี้จะโดนทุบทิ้ง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามที่ว่าไว้  แต่ถึงแม้ว่า วันพรุ่งนี้ โรงหนังเหล่านี้จะถูกทุบทิ้งหรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่สลายไป ทุบทิ้งไม่ได้ ก็คือความทรงจำของคนรักหนังต่อโรงหนังในเครือเอเพ็กซ์ ที่เคยหัวเราะและร้องไห้ไปกับมัน  คงไม่ต่างจากที่เรามองเห็นกรุงโตเกียวที่แสนจะก้าวล้ำในวันนี้ แต่ก็ยังไม่เคยลืมความประทับใจของโตเกียวเมื่อ 54 ปีที่แล้ว ที่หลายคนอาจจะมีโอกาสชมผ่าน "Always" ในโรงหนังลิโด้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา....
  
       "ชุมชน" คนรักโรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์ได้ส่งข้อความถึงโรงภาพยนตร์ที่พวกเขารักมาเป็น  ''เรื่องที่ควรรู้ และความทรงจำที่มีต่อโรงหนังเครือเอเพ็กซ์ ก่อนที่ตึกจะโดนทุบ" ในวาระที่กิจการโรงหนังเครือนี้มีอายุย่างเข้าปีที่ 46 พอดี...


1.ก่อนช่วงเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในปี 2553 โรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์มีอยู่ 3 โรงด้วยกัน ได้แก่ โรงภาพยนตร์สยาม, โรงภาพยนตร์ลิโด และโรงภาพยนตร์สกาลา ซึ่งปัจจุบัน(พ.ศ.2555) เหลือโรงภาพยนตร์ในเครือเพียง 2 โรง นั่นคือ โรงภาพยนตร์สกาลา กับ ลิโด เพราะโรงภาพยนตร์สยามถูกไฟไหม้ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553  


BATTLE OF THE BULGE

2. โรงภาพยนตร์สยาม มีจำนวน 800 ที่นั่ง เปิดฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2509 ด้วยเรื่อง "รถถังประจัญบาน" (BATTLE OF  THE BULGE) ของบริษัทภาพยนตร์ วอร์เนอร์ บราเดอร์สฯ นำแสดงโดย เฮนรี่ ฟอนด้า, โรเบิร์ต ชอว์ และเป็น โรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยที่สุด มีบันได้เลื่อนขึ้นลง เป็นแห่งแรก


BATTLE OF THE BULGE

3. ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน 2511 เปิดโรงภาพยนตร์ลิโด ที่นั่ง 1,000 ที่ ด้วยภาพยนตร์เรื่อง "ศึกเซบาสเตียน" (GAMES FOR SAN SEBASTIAN) ของ บริษัท เมโทร โควิลด์ฯจำกัด นำแสดงโดย แอนโธนี่ ควินส์ ฯลฯ ถึงวันนี้ โรงภาพยนตร์ลิโด แบ่งออกเป็น 3 โรงด้วยกัน คือ ลิโด 1, 2 และ 3

 "ศึกเซบาสเตียน" 

4. ตอนเริ่มก่อสร้างโรงภาพยนตร์ใหม่ๆ บริเวณสยามสแควร์ ยังไม่มีร้านค้าใดเลย สมัยที่โรงภาพยนตร์โรงแรกเสร็จ ยังต้องส่งปิ่นโตให้กับพนักงานทาน เพราะแถวนี้ไม่มีร้านอาหารเลย จะต้องไปไกลถึงสามย่าน ซึ่งสมัยนั้นกว่าจะถึงสามย่าน ก็ต้องใช้เวลานานมากมีรถเมล์น้อยสาย ไม่ทันที่จะกลับมาทำงาน ตามรอบได้ทันเวลา

โรงภาพยนตร์สกาลา

5. น้องสุดท้องของโรงหนังเครือเอเพ็กซ์ คือ เปิดโรงภาพยนตร์สกาลา จำนวนที่นั่ง 1,000 ที่ โดยประเดิมในวันที่ 31 ธันวาคม 2512 เปิดฉายภาพยนตร์เรื่อง  "สองสิงห์ตะลุยศึก" นำแสดงโดยจอห์น เวนย์, ร็อค ฮัดสัน  และ ไท ฮาดีน ฯลฯ เป็นโรงภาพยนตร์ซีเนรามาที่สมบูรณ์ขั้น มาตรฐานโลก แห่งที่ 3 ณ บริเวณศูนย์การค้าแห่งนี้



6. สมัยนั้นค่าชมภาพยนตร์ราคาตั้งแต่ 10 บาท 15 บาท สูงสุด 30 บาท แต่มาถึงวันนี้ 100 บาทขาดตัว

7. โรงภาพยนตร์ "สยาม" เดิมทีเดียว ตั้งใจจะใช้ชื่อว่าโรงภาพยนตร์ "จุฬา" แต่มีผู้ใหญ่คัดค้าน เข้าใจว่าจะเป็นม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกว่าเป็นชื่อของ พระมหากษัตริย์ และเป็นชื่อของมหาวิทยาลัย ไม่สมควรจะใช้ชื่อเดียวกัน จึงเปลี่ยนเป็น "สยาม"

8. โรงภาพยนตร์ทั้ง 3 โรงนี้ เป็นผู้นำในการจัดฉายภาพยนตร์เพื่อการกุศล โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น รายได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โดยทูลเชิญเสด็จล้นเกล้า ทั้งสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินรอบปฐมทัศน์อาทิ เช่น เรื่อง "OLIVER" และเรื่อง "HELLO DOLLY" และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จรอบปฐมทัศน์ รายได้สมทบทุน "ประชาธิปก" ภาพยนตร์เรื่อง "LOST HORIZON" ฯลฯ

9. การโฆษณาให้คนรู้จักโรงภาพยนตร์ทั้ง 3 มากขึ้น ทางผู้บริหารโรงภาพยนตร์ได้จัดพิมพ์หนังสือซึ่งเรียกว่า "สูจิบัตร" ข่าวภาพยนตร์ขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2513 เรียกตุลาบันเทิง เพราะในสมัยนั้น จัดว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่โก้ที่สุดในเมืองไทย สูจิบัตรนี้แจกฟรีกับผู้ที่มาดูภาพยนตร์ จะมีข้อมูลทุกอย่าง ออกเป็นรายเดือนเล่มใหญ่ มีเนื้อหาสาระมากเกี่ยวกับภาพยนตร์

10. คำว่า "สยามสแควร์" ที่เป็นที่รู้จักกันมาจนทุกวันนี้ มาจาก กอบชัย ซอโสตถิกุล  “ชื่อของ สยามสแควร์ มาจากผม” กอบชัย เริ่มต้นสั้นๆ ตรงเป้า แล้วจึงอธิบายว่า ตอนนั้นมี ศูนย์การค้าราชประสงค์ ย่าน วังบูรพา เกิดขึ้นมาแล้ว ย่านเหล่านั้นแออัด คนจึงขยายมาซื้อที่ปทุมวัน ผมสร้างตึกแถวแบบชั้นล่างเป็นที่ขายของ ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย และมีตลาด มีโรงหนัง ครบหมด เราขึ้นป้ายโครงการ ปทุมวันสแควร์ เพราะอยู่อำเภอปทุมวันมี พล.อ.ประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในตอนนั้นเป็นประธานวางศิลาฤกษ์  พอทำมาสักพักเกิดความรู้สึกว่าชื่อ ปทุมวันสแควร์ มันเล็ก มันแค่อำเภอ ก็เลยเปลี่ยนเอาชื่อประเทศเลยดีกว่า ใหญ่ดี ตกลงชื่อ สยามสแควร์ แทน และบังเอิญฝั่งตรงข้ามเขากำลังสร้างโรงแรมสยามอินเตอร์-คอนติเนนตัล เลยมีชื่อสยามเหมือนกัน แต่ชื่อของเราเปลี่ยนก่อน ของโรงแรมซึ่งตอนแรกใช้ชื่อ บางกอกอินเตอร์-คอนฯแล้วเปลี่ยนเป็นสยาม เลยไม่รู้ว่าใครเปลี่ยนตามใคร…” สยามสแควร์ จึงปรากฏแทนปทุมวันสแควร์ตั้งแต่นั้นมา...
(ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๕)

11. ในหนังสือสูจิบัตร ข่าวภาพยนตร์นี้เอง นักเขียนที่เขียนลงในหนังสือเล่มนี้ก็อย่างเช่น สันตศิริ หรือครูสงบ สวนสิริ, ประมูล อุณหธูป, วิลาศ มณีวัตร, บัวบาน, สุจิตต์ วงษ์เทศ, สายัณห์ แห่ง เดลินิวส์, ขรรค์ชัย บุนปาน, เวทย์ บูรณะ, ประจวบ ทองอุไร ฯลฯ

12. ในยุคหนึ่ง โรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์จะเป็นผู้นำสมัยในเรื่องระบบการฉายภาพยนตร์อยู่เสมอ อย่างเช่น การติดตั้งระบบ "DOLBY DIGITAL" ก่อนผู้อื่น ซึ่งที่ถือว่าเป็นระบบที่ดีที่สุดในสมัยนั้น

13. โรงภาพยนตร์ทั้ง 3 แห่ง นอกจากจะเป็นผู้นำระบบต่าง ๆ แล้วยังมีความเป็นผู้นำในการทำร้านเล็ก ๆ เพื่อให้คนรุ่น ใหม่ที่มีทุนน้อยเริ่มทำงานใหม่ เริ่มต้นจากการเช่าร้านเล็ก ๆ จากใต้ถุนโรงภาพยนตร์ จนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังมีร้านค้าเล็กมากมายรายรอบ
(ข้อ 2-13 ข้อมูลจาก www.apexsiam-square.com)

"พันธุ์หมาบ้า"

14. ย่านโรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์เป็นที่นัดพบของผู้คนในทุกยุคทุกสมัย แต่วรรณกรรมที่พูดถึงสถานที่แห่งนี้ได้ชัดเจนที่สุดคือเรื่อง "พันธุ์หมาบ้า" ของนักเขียนชื่อดังอย่าง "ชาติ กอบจิตติ" (รวมเล่มครั้งแรก เมื่อพ.ศ.2531)โดยตัวละครในเรื่องใช้ย่านนี้เป็นจุดนัดพบและทำธุรกิจเครื่องหนัง อันเป็นแรงบันดาลใจให้ดาราอย่าง หนุ่ม-อรรถพร ธีมากรและเพื่อนฝูง ลงทุนเปิดแบรนด์เสื้อผ้า "พันธุ์หมาบ้า"(Phanmaba) ตรงชั้นสองของโรงหนังลิโดในทุกวันนี้

15. โรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์เป็นโรงภาพยนตร์สแตนอะโลน
(ฉายหนังเพียงอย่างเดียว) ที่มีชื่อเสียงในการนำหนังดีนอกกระแสมาฉาย อันที่จริง ทาง "เอเพ็กซ์" ได้เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ก็ฉายหนังทั่วไป จนเมื่อปี 2545 ได้มีโครงการ APEX Exclusive ขึ้นมาซึ่งได้ทดลองจัดฉายหนังอิหร่านเรื่อง Children of Heaven ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดี จากคนทั่วไปที่ชอบหนังทางเลือก ทางโรงหนังจึงจัดฉายหนังทางเลือกควบคู่กับหนังกระแสหลักตั้งแต่นั้นมา


16. ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดสามอันดับแรกของเครือเอเพ็กซ์ในยุคที่เริ่มฉายหนังนอกกระแส ได้แก่ อันดับหนึ่ง ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ Slumdog Millionaire ประมาณ 3 ล้านบาท อันดับ 2 Be With You เกือบ 3 ล้านบาท และอันดับ 3 Nana ภาค 1 ประมาณ 2 ล้านกว่าบาท

17. ภาพยนตร์ในยุคหนังนอกกระแสที่เข้าฉายในเครือเอเพ็กซ์ได้นานที่สุดคือ ภาพยนตร์เรื่อง Be With You ที่เข้าฉายนานถึง 3 เดือน ในช่วงกลางปี 2548

18. นอกจากภาพยนตร์รางวัลออสการ์ซึ่งเข้าฉายในเครือเอเพ็กซ์เป็นประจำแล้ว ภาพยนตร์ที่ถูกฉายบ่อยและกลายเป็นอีกหนึ่งลายเซ็นของที่นี่ไปแล้ว คือ ภาพยนตร์ญี่ปุ่น ที่พูดถึงกันเยอะๆก็อย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง Nana, Tokyo Tower, Always : Sunset on Third Street, Be With You, Nada Sou Sou, The Village Album, Knowbody Knows หรือที่ฉายอยู่ตอนนี้ก็คือ I Wish เป็นต้น

19.  "เด็กบ้านนอกคนนึง ถูกปรามาสว่าดูหนัง soundtrack ไม่เป็นหรอก ตอนซื้อตั๋วเห็นฝรั่งอยู่ข้​างๆ ไอ้เราก็กลัวจะดูไม่รู้เรื่​อง กลัวอ่านซับไม่ทัน แต่ก็สักครั้งในชีวิต เพื่อลบคำสบประมาส พอหนังขึ้นเท่านั้นแหละ ฝรั่งก็ฝรั่งเถอะ...เพราะหนังเรื่องนี้ เป็นหนังญี่ปุ่น เสียดายจังถ้าถูกทุบ เพราะเป็น 1 ใน 3 โรงที่ดู (ลิโด้ สกาล่า สยามที่หายไปแล้ว)" 
(จาก Cookie Kokkok)

20. โรงภาพยนตร์สยามเคยต้อนรับภาพยนตร์ไทยรางวัลเมืองคานส์อย่าง "สัตว์ประหลาด" ผลงานกำกับของ เจ้ย-อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งได้รับรางวัล Jury Prize หรือรางวัลขวัญใจกรรมการ ซึ่งเข้าฉายที่นี่ 10 วัน

21. ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ฉายที่โรงภาพยนตร์สยามก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ คือ เรื่อง "Iron Man" ภาค 2

22. โปรโมชั่นอมตะของโรงภาพยนตร์โรงนี้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาหลายปีแล้ว นั่นก็คือ ตั๋วหนังราคา 100 บาท ทุกครั้งที่ดูสามารถปั๊มตราโรงหนังที่บัตร "เอเพ็กซ์ เอ็กซ์คลูซีฟ มูฟวี่ ไมลีก" ได้ 1 ดวง ครบ 10 ดวง ดูฟรี 1 เรื่อง สะสมบัตร "เอเพ็กซ์ เอ็กซ์คลูซีฟ มูฟวี่ ไมลีก" ได้ 10 บัตร ดูได้ฟรีอีก 1 เรื่องต่างหาก

"เอเพ็กซ์ เอ็กซ์คลูซีฟ มูฟวี่ ไมลีก"

23. โอเปอเรเตอร์ที่คอยรับสายโทรศัพท์ก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของที่นี่ เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยมุกฮาเวลาสนทนากับลูกค้าที่จะมาดูหนังแล้ว ยังเต็มไปด้วยความเอาใจใส่คนดูหนังจนได้รับคำชมอย่างหนาหู

24. "ครั้งนึงเคยโทรไปถามตารางหนัง ลุงคนรับสายแกถามก่อนเลยว่า​บ้านอยู่ไหน แล้วอยากดูหนังเรื่องอะไร ผมจะได้ช่วยกะเวลาเดินทางไ​ด้ถูก คุณจะได้ไม่ต้องกระหืดกระหอ​บเหนื่อยมาดูหนัง นี่แบบ..ได้ใจเต็มๆ อะ เป็นห่วงลูกค้าด้วย :D พี่เลยลองถามหนังเรื่องอื่น​ด้วยว่าฉายกี่โมง เนื้อเรื่องอะไรยังไง คนดูเยอะมั้ย ลุงก็ตอบได้ครบถ้วนแถมคุยสนุกด้วย สุดยอดประทับใจเลย" 
(จาก Sutthasinee Jit)

25. "ตอนผมเข้าเรียนปี 1 เขาก็กำลังไล่รื้อตึกแถวบริเวณส​ามย่านกันพอดี ผมยังทันได้ชิมร้านข้าวร้านขนมข​องอาแป๊ะอาซิ้ม ที่ตั้งกันมานานหลายสิบปี ยังจำรสชาติอร่อยล้ำได้จนถึงทุก​วันนี้ หลังจากนั้นไม่นานร้านค้าและตึก​แถวก็กลายเป็นแท่งปูนมหึมาตั้งขึ้นมาตรงสามย่าน และเขาก็หยุดสร้างกันไปนานหลายปี เพราะเหตุวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 40 จนเพิ่งกลับมาสร้างกันต่อ และเสร็จสมบูรณ์กลายเป็นจามจุรี​สแควร์ติดแอร์เย็นฉ่ำ ความเปลี่ยนแปลงในแง่หนึ่งมันก็​นำไปสู่สิ่งใหม่ที่พัฒนาขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันทำลายสิ่งเก่าที่มีคุณค่าในตัวไปหมดเกลี้ยง" 
(แอดมินของเพจ "กลุ่มคนชอบดูหนังที่โรงเอเพ็กซ์สยามสแควร์")

   

จามจุรีสแควร์

26.  "ผมเคยไปเดินกล่องรับบริจาคส​มัยเป็นลูกเสือวัดสุทธิวราร​ามครับ จำได้ว่าดู ′เกรมลินส์ ปีศาจแสนซน′ (ฟีบี้ เคทส์ - นางเอก) ราวเจ็ดสิบรอบ 5555 เป็นโรงหนังที่คนดูควงคู่กั​นมาชมภาพยนตร์จริงๆ นะครับ ไม่ค่อยเห็นมาทำประเจิดประเ​จ้อเหมือนสมัยนี้ (ทีรู้ก็เพราะตอนนั้นกำลังอ​ยู่ในวัยสอดรู้สอดเห็นมาก)" 
(จาก Ponchai Tiger Nawakanpisut)

เกรมลินส์ ปีศาจแสนซน

27. ว่าด้วยพี่เดินตั๋วหนัง..."หนังดีๆ โรงมีสไตล์ ไม่แพง คนเดินตั๋วเป็นมิตรเหมือนญา​ติ'' เสียดายครับ เข้าใจว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป​ตามกาล แต่เสียดายแทนคนรุ่นที่โตมา​กับสยามจริงๆ"
(จาก Ajiravudh Subarnbhesaj)

28.  "เป็นโรงที่ไปดูคนเดียวอย่าง​ชิวที่สุด คุณลุงชุดเหลืองและพนักงานข​ายตั๋วน่ารักมาก เพื่อนร่วมโรงส่วนใหญ่ก็มีม​ารยาท ไม่ค่อยเจอพวกนิสัยเสียในโร​งหนัง(ที่หลังๆเจอบ่อยมากเว​ลาดูเครืออื่น) เจอแต่คนชอบดูหนังที่ตั้งใจ​มาดูจริงๆ :′)" 
(จาก Chompunud Phiromjit)

City of God

29. "ผมเริ่มดูหนังนอกกระแสเรื่อ​งแรกๆของชีวิต คือ City of God ที่ลิโด้ ครับ ... หลังจากนั้น ผมก็แทบจะดูแต่หนังนอกกระแส​และหนังฟอร์มเล็กตลอดครับ ... ลิโด้ จึงเป็นจุดเริ่มที่ทำให้ผมเ​ปลี่ยนมาดูแต่หนังนอกกระแสแ​ละหนังฟอร์มเล็กครับ :)" 
(จาก Chompot Kasemrungchaikit)

30. "ที่สกาลา จำได้ว่า ซอยข้างโรงหนัง มีก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อย พร้อมร้านขายน้ำต้นตำรับวลี​ทีเด็ดในการตั้งชื่อเมนู เช่น วารีกระด้างพล้อย (น้ำแข็งเปล่า) ฯลฯ อะไรประมาณนี้
(จาก Nozebook Janesak)"

31. "แนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊ติม (ก๋วยเตี๋ยวกวน teen) ที่ศูนย์อาหาร 1 ร้านแรกติดกับสกาล่า ลองไปคุยดูเผื่อได้อะไรดีๆ เพราะขายมานานมากแล้ว . . . รสชาติพอใช้ได้ ได้เยอะ ลีลาการรับออร์เดอร์ คิดเงินกวนเหลือรับประทาน ^_^"
(จาก นิ้งหน่อง ดีเจบ้านนอก)

32. สมัยก่อน ที่นี่เป็นสถานที่ที่วัยรุ่นมานัดเดทกันเป็นประจำ จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่...

 "คุณพ่อเล่าว่าสมัยก่อนคนที่มาดูหนังที่สามโรงนี่เป็นพวกเด็กเตรียมอุดม(คุณพ่ออยู่เตรียมฯ) เด็กช่างกล แล้วก็เด็กจุฬาซะเยอะ คุณพ่อไปดูหนังก็ต้องซื้อขนม ซื้อข้าวโพดคั่วเป็นของคู่โรงหนัง แล้วก็แถวนั้นก็จะมีโรงโบลลิ่งด้วยที่ชอบไป รุ่นคุณป้าคนที่สามก็ไปเดทที่โรงหนังนี่เหมือนกัน แต่ถ้าเลยขึ้นไปรุ่นคุณลุงคนที่ 1 คนที่ 2 เค้าจะเดทกันที่โรงหนังคิงส์ ควีน (อีกชื่อปาล์มจำไม่ได้) แถววังบูรพามากกว่า''

"ส่วนคุณแม่เล่าว่าคนสมัยก่อนชอบไปดูหนังกัน เพราะมันไม่มีพวกวิดีโอ หรือแผ่นหนังให้ดูเหมือนคนสมัยนี้ แล้วหนังแต่ล่ะเรื่องก็รู้สึกว่าเค้าลงทุนทำดีมากอย่างพวก My Fair Lady, The Sound of Music ซึ่งถ้าหนังดีมาก คุณลุงก็จะพาน้องๆ ไปดู แต่ก็ไม่ได้ไปแค่สามโรงนี้ ยังไปพวกโรงหนังอินทรา โรงหนังเอเธนส์ ซ. รางน้ำ จำได้ว่าดู Fiddler on the Roof ที่โรงหนังแอมบาสซาเดอร์ตรงสะพานขาวด้วย''

"พูดถึงสามโรงหนัง ก็ถือว่าเป็นโรงหนังที่เลือกหนังเข้ามาฉายได้ดีขึ้นชื่อ และเป็นโรงหนังที่ใหญ่และทันสมัยมากในยุคนั้น หนุ่มสาว"ทุกคู่" ต้องไปดูหนังเดทกันที่นี่ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ แล้วร้านรวงก็ไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ คุณแม่จำได้ว่าที่เด่นๆ มีร้านไข่บูติกของสมชาย แก้วทองอยู่ที่โรงหนังสยามด้วยค่ะ" 
(จาก Preeyapa ′Palmy′ Temcharoen)

The Sound of Music

33. "มาดูกะแฟนคนแรก..และก็มาดูกับแฟนคนสุดท้าย..ซึ่งก็เป็น​คนเดียวกัน..(ก็ชาตินี้มีแฟ​นอยู่คนเดียวนี่นา..(^^)" )
(จาก พรสุข คงเอี่ยมพิธี)

34. แถวๆหน้าโรงภาพยนตร์ มีที่นั่งที่ซึ่งหลายคนใช้เป็นที่อ่านหนังสือ..."ที่นี่มันเป็นหลาย ๆ อย่างของเรา เป็นที่ออกเดต เป็นที่พบปะสังสรรค์กับเพื่​อน เป็นที่ที่เราใช้ฝึกการดูหนังในเชิงประเด็น/​เนื้อหา และเป็น "สวนสาธารณะ" ที่เราสามารถไปนั่งสงบจิตใจ ผ่อนคลายร่างกาย หรืออ่านหนังสือได้อย่างสงบ​ท่ามกลางโปสเตอร์หนังที่เรี​ยงรายอยู่รอบ ๆ" (จาก Pongpreeda Limwatthanakun)

35.  "เป็นโรงหนังเครือเดียวที่พี่คนขายตั๋วไม่ทำหน้าตกใจเวล​าบอกว่า เอาใบเดียวค่ะ หรือสรุปเอาเองว่าสองใบนะ เพราะลิโด้เป็นโรงหนังสำหรั​บนักดูหนัง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำได้ลำพังแม้ไม่มีเพื่อนดูด้วย วันนึงไปดูหนังนอกกระแส ที่ทั้งโรงมีคนดู 4 คน คู่นึงมาดูด้วยกัน เหลือมาดูคนเดียวแค่ 2 คน สุดท้ายก็เลยย้ายที่นั่งมานั่งดูข้างกันค่ะ ได้มิตรภาพกลับไป ^ ^" 
(จาก RomchatWachirarattanakornkul)

36. ร้านหนังสือดวงกมล สยามสแควร์: เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ร้านหนังสือดวงกมลสยามสแควร์ ถือเป็นหนึ่งในร้านหนังสือรุ่นแรกๆของเมืองไทยที่หนอนหนังสือต้องไปแวะเวียน ร้านประกอบด้วยสามชั้น ชั้นล่างจะเป็นหนังสือประเภทเรื่องสั้น วรรณกรรมแปล นิตยสารและหนังสือพิมพ์ ชั้นสองและสามจะเป็นหนังสือวิชาการ และหนังสือจากต่างประเทศร้านหมึกจีน ถ้าเป็นคอการ์ตูน ก็จะทราบกันดีว่าต้องเดินตรงไปด้านหลังของโรงหนังลิโด้ ร้านนี้เป็นแหล่งรวมหนังสือการ์ตูนหลากหลายประเภท ที่มากที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งจากของสำนักพิมพ์หมึกจีนเองและเจ้าอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีหนังสือประเภทนวนิยายให้บริการแก่ลูกค้าอีกด้วย

37. "ป็อปคอร์น30บาท อร่อยที่สุด (^^)
(จาก Yim P. Charuphan-ngam)"

38. วัยรุ่นสมัยก่อน มักจะรวมตัวกันที่โรงพิมพ์เล็กๆหลังลิโด ก่อนที่จะไปดูหนังกัน ซึ่งคล้ายกับวัยรุ่นสมัยนี้ โดยเฉพาะเด็กมัธยมฯที่มักจะรวมตัวกันด้านหลังลิโดเช่นกัน

39. รำลึกความหลัง..."กรุงเทพครั้งแรก...กับโรงหนัง ลิโด้ สำหรับคนต่างจังหวัด ที่มีแต่หนังกลางแปลง แค่นี้ ก็อยู่ในความทรงจำตลอดกาล หนังเรื่องนั้น คือ "superman" "(จาก Attapon Srihayrun)

40. "โดดเรียนครั้งแรกตอนม.ต้น เพื่อไปดูหนังเรื่อง"รองต๊ะ​แล่บแปล๊บ"ค่ะ ^___^" (จาก Nuch Nuch Wan)

41. แอนิเมชั่นจากแดนญี่ปุ่นก็ฉายที่นี่เป็นประจำ..."เคยดูเรื่อง ponyo เมื่อปี 2008 ชอบเก้าอี้ สไตล์เก่าๆ ทำให้นึกถึงโรงหนัง ตจว. คิดถึงสมัยที่ยังไม่มีเมเจอ​ร์ sf" (จาก ′Gabby Evilimp)

Ponyo

42.  "สยาม ลิโด สกาล่า ในความทรงจำ... มิสเตอร์โดนัทสาขาแรกตรงข้า​มสกาล่า .. ร้านป้าที่ขายอาหารเครื่องดื่มให้เด็กจุฬากับเกรียนยุค​นั้นก๊งเหล้า ซึ่งต่อมาเป็นเจ้าของ MK สุกี้... ร้านขายชุดเด็กเลดี้เบิร์ดต​รงข้างลิโดอันแสนคลาสสิค...​ ฝั่งเซ็นเตอร์ก็ Hi-light ที่มืดตึ๊ดแม้ในตอนกลางวัน มุมเก้าอี้โซฟาแบบเรโทรที่เ​กรียนยุคนั้นใช้สูบบุหรี่กิ​นเหล้า.. กับแฟชั่นแบบโดมอนแมน เทมโปโป้.. และอื่นๆอีกมากมาย" (จาก Thai Land)

43. "ที่นี่เคยจัดฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ในช่วงปี 2545-2548 ด้วยนะ "ตอนนั้นอยู่​ ม.5 ได้ไปดูหนัง international film fest (ไม่รู้จำชื่อถูกเปล่า) พอเข้ามหาลัยก็ไปเรียนที่เชียงใหม่ แต่ลงมากรุงเทพทีไรต้องไปดู​หนังที่ลิโด้ให้ได้ จนจบแล้วทำงานแล้วก็ยังเป็น​แบบนี้่อยู่ หลังๆ เพิ่งรู้สึกตัวว่าลิโด้เป็น​ที่นึงในกรุงเทพที่ผมไปแล้ว​รู้สึกสงบ เหมือนกลับไปมหาลัยหรือกลับ​ไปโรงเรียนเก่า" (จาก Ronnawat Janjaruwong)

44. "เรียนอยู่ย่านๆนี้ หลังเลิกเรียนก็มีแต่สยามสแ​ควร์นี่แหล่ะที่เป็นที่สุมหัว ดูหนังก็ต้องลิโด้ สกาล่า ตั้งแต่สตาร์วอร์ภาคแรก ๆ เสิ้อผ้าก็ต้องไข่บูติค เดินได้ทุกวัน สมัยนั้นยังไม่มีมาบุญครอง" 
(จาก Plearn Siri)

45. "ความประทับใจของฉัน คือ เคยเจ้าหน้าที่ออกตั๋วให้ผิด เราก็ไม่ได้เช็ค แต่คุณพี่เสื้อเหลืองในโรงพาเราออกมาและคุยกะเจ้าหน้าที่เพื่อเปลี่ยนตั๋วแถมเดินมาส่งเราถึงหน้าโรงที่ถูกต้องอีกอย่างคือ บัตรสะสมแต้มของเอเพ็กซ์ เป็นอะไรที่เรารักมาก เป็นของไม่กี่อย่างในกระเป๋าที่เราเก็บสะสมแต้ม ดูครบ 10 ครั้งแถม 1 ครั้ง ไม่มีกำหนด เรา เคยใช้สิทธ์ สะสมครบ 10 ใบ ฟรี ตั๋ว 2 ที่นั่งมาแล้ว ทุกครั้งที่ครบจะรู้สึกดีมาก แถมบัตรก็มีลวดลายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ"

46.  "ดูหนังที่นี่หลายเรื่อง มานั่งแฮงก์บ่อยสมัยที่สยาม​ยังมี hoburger เป็นอาหารแรกด่วนรุ่นบุกเบิ​ก แบบว่า ฟาสต์ฟู๊ดส์อย่างแม็กโดนัลด์ยังมาไม่ถึงเมืองสยาม แต่ถ้าวัยรุ่นจริงๆ สมัยนู๊นนน เขาต้องนัดกันที่ "ดังกิ้นโดนัท" แต่ถ้าเอาเก่ารุ่นจิ๊กโก๋ขา​เดฟ ต้องถามพี่ๆ ที่ไปดูคอนเสิร์ตรอบเช้า(ก่​อนหนังรอบปกติฉาย) วงดังสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็น รอยัลสไปรท์, แม็คอินทอช ฯลฯ ล้วนเคยเปิดคอนเสิร์ตในสกาล่า กันมาแร้วทั้งนั้น 555"(จาก Sompratana Kraywichian)

47. และแต่ก่อนแสงสว่างรอบ ๆ โรงภาพยนตร์ จะต้องใช้ไฟของโรงภาพยนตร์ต่อไปใช้ตามที่จอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาชมภาพยนตร์รอบค่ำ

48. ่จากข้อสังเกตุ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้โรงภายนตร์เก่าทั้งสามโรงสามารถยืนหยัดอยู่ได้จนถึงปัจจุบันท่ามกลางการล้มหายตายจากของเพื่อนๆ โรงภาพยนตร์หลายต่อหลายโรงในอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน รวมถึงจากการผุดชึ้นของโรงภาพยนตร์ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ นอกจากจะเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คงความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา อาทิ ในเรื่องของระบบการฉายต่างๆ

49. โรงหนังทั้งสามโรง มีเรื่องของความมี “เอกลักษณ์” ทั้งในส่วนของรูปแบบการก่อสร้าง การอนุรักษ์ไว้ซึ่งบรรยากาศเดิมๆ เช่น เครื่องแต่งกายของพนักงาน บรรยากาศ ฯ รวมไปถึงในส่วนของการเป็นโรงภาพยนตร์ “ทางเลือก” ที่มีการจัดโปรแกรมฉายหนังที่หลากหลาย และแตกต่างไปจากโรงภาพยนตร์หลักๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญไม่แพ้กัน.....

50. เวลาไปดูหนังที่ลิโด และสยาม ไม่รู้ว่่าจะรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่าว่า เรามักจะรู้สึกแบบว่าถึงมีคนดูแค่ไม่กี่คนแต่เรากลับจะรู้สึกว่าทุกคนในนั้น เป็นเพื่อนกับเรา ซึ่งต่างจากการดูในโรงใหญ่ๆที่ดังๆและทันสมัยในหนึ่งรอบมีคนดูเยอะๆ แต่ถ้าเราไปดูคนเดียวเราก็ยังคงรู้สึกว่าเราอยู่คนเดียว...

51. Spring, Summer, Fall, Winter and Spring (29/01/2004) ของคิมคีด็อค เป็นอีกหนังเทศกาลที่ฉายที่นี่ เป็นประสบการณ์ดูหนังที่สวยงาม เพราะความน่าประทับใจคือ หลังจากหนังจบ ผู้ชมก็พากันลุกขึ้นยืน และปรบมือให้กับหนัง นั่นคือคำว่า Standing Ovation 

52. ใน 3 โรงนี้ สกาลา ใหม่สุด คือถ้าจะจำได้คือ อีเวนท์ ที่คนจัดหนังรอบพิเศษเช้ามืดจริงๆ คือ เช้ามืด 6 โมง มีดนตรีก่อน ซึ่งตอนนี้มันไม่มีแล้ว-(ชลิดาภรณ์)

53. เมื่อก่อน สกาลาก็มีร้านอาหารด้านล่าง ถือว่าหรูมาก แล้วสยาม ก็เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจเรื่องที่จอดรถ ขณะที่ก่อนหน้านั้น รุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ไปเที่ยวบางลำพู ยศเส มีตลาดโรงหนัง  แต่ย่านเก่าในเกาะรัตนโกสินทร์ ก็ไม่เหลือแล้ว กลายเป็นอะไรใหม่หมด-(พรรษิษฐ์)

54. และในความเป็นจริงแล้ว หนังก็ไม่ได้ทำเงิน แต่ต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการ (ตระกูลตันสัจจา) พื้นเพเดิมเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับหนัง รู้สึกว่าเขาสร้างหนังด้วย ไม่ได้มีรายได้เพียงแต่ค่าตั๋วโรงหนัง เป็นตระกูลเก่าที่ก็มีเงิน เพียงแต่ตอนหลังๆ โรงหนังเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่ไฟไหม้ลิโด โดยปรับปรุงใหม่ และส่วนที่ทำเงินก็คือ ช็อปปิ้งพลาซ่าข้างล่าง  แล้วให้เช่าร้านค้าเปิดหน้าร้านออกตรงซอยทางเดิน ตรงกลาง นั่นคือแหล่งทำรายได้ของทั้งลิโด และสยาม ทำใ้ห้โรงหนังอยู่มาได้จนถึงทุกวัีนนี้

55. เมื่อก่อนแบรนด์ร้านอาหารที่เป็นไอคอน ก็จะมาเริ่มที่สยาม นอกจากเตรียมมาดูหนังที่โีรงหนังสยามแล้ว ก็เตรียมการมารับประทานอาหาร เพราะก็ไม่ได้มีมาก ตั้งแต่ปี 1990 ถึงตอนนี้สังคมไทยเปลี่ยนมาก ค่อนข้างพลิกหมด กลายเป็นฟาสต์ฟู้ด ผิดกับแต่
เมื่อก่อนเหมือนเป็นอาหารไอคอนของโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นโดนัท หรือแฮมเบอร์เกอร์ ในสมัยเด็กๆ....

แต่ตอนนี้คงไม่มีแล้วหล่ะ นอกจากความทรงจำดีๆทีจดจำกันไ้ว้ ซึ่งอาจจะมีหลงเหลืออยู่บนเเผ่นภาพเก่าๆ ที่อาจหลงเหลือให้เด็กรุ่นใหม่ได้เห็นกันบ้าง....