31.12.12

Happ New Year...


เทคนิคการฝึก ส ม อ ง ไบรท์



          วันนี้เอาเทคนิคการฝึก สมองไบรท์ มาฝากเพื่อนกัน ซึ่งการมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน  ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม ซึ่งมีวิธีดังนี้


         1.  จิบน้ำบ่อยๆ  (Drink water very often)
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก  แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

          2. กินไขมันดี  (Enjoy good Omega 3)
บางคนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ   แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน  จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม  น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี  ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
         
          3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที  (Meditation 12 min a day)
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีTheta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
          4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention)
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมอง  จะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ  เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
          5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile)
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็น การกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

          6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)
 สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่  อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่  ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ           เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
           
          7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress)
 ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

          8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day)
 ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก  พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

          9.  ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath)
 สมองใช้ออกซิเจน 20 – 25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ  อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %


28.12.12

อาหารแปลกข้างทางไทยในสายตาชาวต่างชาติ

         เนื่องด้วยสองสามวันที่ผ่านมา ช่วงที่นั่งคุยกันอยู่ได้มีรถพ่วงคันหนึ่งเปิดเพลงดังมากกกกก เป็นแนวเพื่อชีวิต โดยจะมีรูปภาพในหลวงของเราติดอยู่ข้างบนหลังคาด้วย(อันนี้ปรบมือให้เลย) ส่วนคนขายก็จะแต่งตัีวออกแนวเพื่อชีวิต ดูแล้วจะคล้ายนักร้องวงคาราบาวประมาณนั้น เพราะมีรูปนักร้องวงนี้ติดอยู่ด้วยนอกเหนือจากรูปในหลวงของเรา พอช่วงจอดรถคนขายก็จะมีการเคาะจังหวะเพลงตามไปด้วยเป็นกลองประมาณนั้น บางช่วงก็เป็นตัวเขย่ากลมๆ ส่วนบนรถพ่วงก็จะมีเเมลงต่างๆนอนอยู่บนถาดอยู่หลายชนิด มีชื่อเขียนบอกพร้อม เพือนต่างชาติที่นั่งอยู่เค้าทึ่งมาก ไปขอถ่ายรูปซะหลายรูปพร้อมกับอุดหนุนพร้อม ทั้งที่พีแกก็ไม่ได้กินหรอก เพราะกลัีว ฮ่ะๆๆ เลยเสร็จพี่ไทยอย่างเรา ทำให้เลยอยากรู้ว่ามีอาหารอะไรบ้างที่ฝรั่งเค้าเห็นแล้วแปลกในสายตาพวกเค้า ก็ต้องอาศัยพี่กูเกิ้ลอีกแหละ ก็มีดังนี้ (ก็ไม่รู้ว่ามันจะแปลกตรงใหน)


ไข่นกกระทาครก 

   พูดถึงเมนูที่เกี่ยวกับนกกระทาหลายคนมักจะนึกถึงไข่นกกระทาร้อนๆ   โรยด้วยพริกไทย ใส่ซอยแม็คกี้และซอสมะเขือเทศนิดหน่อยก็เป็นอันอร่อยเหาะ แต่ต่างชาติตื่นเต้นกับกรรมวิธีมากกกก

แมลงทอด

เป็นอาหารทีต่างชาติทึ่งมากกกก ทั้งกลัว ทั้งอยากลอง แต่ส่วนมากจะกลัวไม่ค่อยกล้ากินสักเท่าไหร่ แต่จะตื่นเต้นซะมากกว่า ว่าคนไทยมีความสามารถในการนำสารพัดเเมลงมาทอดปรุงรสกินกันอย่างเอร็ดอร่อย....

ขนมเบื้อง 

ขนมโบราณของเรา แต่ถ้าโบราณในสมัยก่อนจริงๆ จะมีแค่หน้ากุ้งและหน้าหวาน  โดยหน้ากุ้งจะใช้กุ้งแม่น้ำตัวโตสับละเอียดผสมกับพริกไทยและผักชีตำพร้อมมันกุ้ง นำไปผัดใส่น้ำตาล น้ำปลาหรือเกลือให้หอม ปัจจุบันมักเป็นหน้ามะพร้าวใส่สีแดง ส่วนหน้าหวานมีส่วนผสมของฟักเชื่อม ฝอยทองและพลับแห้งที่หั่นบางๆ และถ้าแปลกมาอีกหน่อยก็จะเป็นหน้าหมู ใช้หมูสับคลุกคล้ากับกระเทียม พริกไทย รากผักชีโขลก ใส่พริกขี้หนู นำไปรวนพอสุก ก็เป็นอันได้หน้าขนมเบื้องอร่อยๆกินกัน แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็จะเหลือแต่ฝอยทองกับครีม หรืออาจมีพวกขนมฝรั่งโรยแต่งอีกที แต่ชาวต่างชาติไม่เคยเห็น แต่เขาได้บอกว่า มันก็เหมือนๆ แพนเค้กบ้านเขา เพียงแต่แผ่นมันเล็กๆ บางๆ และข้างในนั้นมีครีม แต่ที่ไม่เหมือนยิ่งไปกว่านั้นคือของเรามีฝอยทองที่เป็นไส้หวาน และมะพร้าวที่ทำเป็นไส้เค็ม นั้นเอง

 ผลไม้

พวกเค้าจะทึ่งในราคาที่ถูกและสดตลอดทั้งปี ซึ่งในบ้านเค้าจะมีราคาเเพงมาก บางเมืองก็ไม่มี หรือบางชนิดมี แต่ก็ไม่สด และบางที่รสชาติก็แตกต่างจากที่เค้าเคยกินในบ้านเมืองเค้ากัน ก็ไม่เข้าใจเหมือนก้นว่ารสชาติมันต่างกันตรงใหนหว่า???


 เฉาก๊วย

เป็นขนมที่ทำให้ชาวต่างชาติ ถึงกับงง และไม่กล้าลองมากที่สุด เพราะเป็นขนมหวานที่ดูไม่น่ากินเอาซะเลย Grass jelly (วุ้นหญ้า) แค่ชื่อมันก็ไม่ค่อยน่าลองซะเท่าไรแล้ว แต่พอได้ลิ้มลองกลับเป็นที่ถูกอกถูกใจ เป็นที่สุด เพราะมีทั้งความหอมของน้ำตาลทรายแดง และน้ำแข็งเย็นๆ พร้อมกับวุ้นที่รู้สึกนุ่มลิ้น....


 ไวน์ผลไม้

ฝรั่งต่างชาติจะทึ่งในราคาไวน์บ้านเรามากกกกก เพราะราคาถูกจะถูกกว่าบ้านเค้ามาก แถมรสชาติยังดีอีกด้วย เพราะบ้านเรานั้นมีทั้งไวน์สตอเบอรี่ ไวน์องุ่น ไวน์แอปเปิ้ล โอ๊ย สารพัดไวน์เพราะผลไม้่้บ้านเราเยอะแถมมีทั้งปีอีกต่างหาก ไม่ต้องกลัวการขาดตลาด แถมคนไทยก็เก่งเรื่องถนอมอาหารต่างๆ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องเอาผลไม้มาทำไวน์ก็เท่ากับเรื่องจิ๊บๆๆ (5555+++ โม้ซะหน่อย)



 ขนมตาล

ขนมตาล อันนี้เป็นขนมไทยดั้งเดิม บ้านฝรั่งเค้าไม่มีแน่นอน ที่หากินที่บ้านเขาไม่ได้ชัวร์ ถ้าไม่มีคนไทยไปอยู่ทำ ฮ่ะๆๆ เนื้อขนมมีลักษณะเป็นแป้งสีเหลืองเข้ม นุ่ม ฟู มีกลิ่นตาลหอมหวาน ขนมตาลทำจากเนื้อตาลจากผลตาลที่สุกงอม แป้งข้าวเจ้า กะทิ และน้ำตาล ผสมกันตามกรรมวิธี ใส่กระทงใบตอง โรยมะพร้าวขูด และนำไปนึ่งจนสุก เนื้อลูกตาลยีที่เป็นส่วนผสมในการทำขนมตาล ได้จากการนำผลตาลที่สุกจนเหลืองดำ เนื้อข้างในมีสีเหลือง มีกลิ่นแรง ซึ่งส่วนมากจะหล่นจากต้นเอง มาปอกเปลือกออก นำมายีกับน้ำสะอาดให้หมดสีเหลือง นำน้ำที่ยีแล้วใส่ถุงผ้า ผูกไว้ให้น้ำตกเหลือแต่เนื้อลูกตาลขนมที่เหมือนเค้กฟองน้ำที่ทำมาจากลูกตาล (Palm hearts) รสชาติหวานกำลังดี แต่ทุกวันนี้ก็หาทานขนมตาลรสชาติดีได้ยากอยู่เหมือนก้ัน  เนื่องจากปริมาณการปลูกต้นตาลที่ลดลง ขนมตาลที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ คนขายมักจะใส่เนื้อตาลน้อย เพิ่มแป้งและเจือสีเหลืองแทน ซึ่งทำให้ขนมตาลมีเนื้อกระด้าง ไม่หอมหวาน และไม่อร่อยเหมือนสมัยก่อนๆ



 กล้วยทับ

กล้วยเป็นไม้ผลที่คนไทยรู้จักกันมานาน เนื่องจากกล้วยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคดังกล่าว มีการพบว่ากล้วยมีวิวัฒนาการถึง ๕๐ ล้านปีมาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไม้ผลที่มนุษย์รู้จักบริโภคเป็นอาหารกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็สู้พี่ไทยไม่ได้อีกแหละสารพันคิดค้น กล้วยหรือมันปิ้ง จะมีรสชาติหอมหวาน ซึ่งก็หวานจากตัวกล้วยและมัน พร้อมกับกลิ่นหอมๆ ของการปิ้งชนิดที่ต่างชาติทึ่ง เเละลิ้มลองแล้วติดใจไม่ลืมไปหลายคนและที่สำคัญ เน้นสำคัญจริงๆ ราคาค่ะ ราคา พี่แกย้ำว่าราคาเพียง ไม้ละ 10-15 บาท หรือถ้าในที่เจริญมากหน่อยก็ไม่ละ 20 บาท เท่านั้น ถูกมากสำหรับพี่แก 



 หมูยอ

ต่างชาติถึงกับงง เมื่อเขารู้ว่านั้นคือไส้กรอกหมู (pork sausage) เขาต้องถึงกับสงสัยว่าไส้กรอกหมูหรอ ทำมัยมันถึงเป็นก้อนใหญ่ขนาดนั้น และทำไมมันต้องอยู่ในใบตองแบบนั้น และต้องแปลกใจอย่างมาก เมื่อแกะออกมา ไม่ได้ใหญ่เหมือนกับตอนอยู่ในห่อที่เห็น แกะ้ออกมาได้ร้อง ฮู้...เป็นกันตามไป ว่าทำไมเหลือแค่นิดเดียว เหอะๆๆๆ


 ไข่ป่ามหรืออ็อกไข่

เป็นอาหารของคนทางเหนือ หน้าตาหน้ากินมาก  เป็นไข่ที่อยู่ในใบตอง มีหน้าต่างๆ แปลกตา หาทานได้ที่ภาคเหนือของเรา อย่างที่เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน.....


 ลูกชุบ

แต่ก่อนนานกาลมาลูกชุบเป็นขนมประจำถิ่นโปรตุเกสเค้า แพร่หลายมาถึงย่านเมดิเตอร์เรเนียนแถบฝรั่งเศสตอนใต้ เพราะอยู่ใกล้บ้าน เช่น เมืองนิส  เมืองคานส์ก็มีขนมลูกชุบมากมายทั้งเมือง ลูกชุบในภาษาโปรตุเกส เรียกว่า Massapa'es เป็นขนมประจำถิ่นของแคว้นอัลการ์อิ โดยโปรตุเกสใช้เม็ดแอลมอลด์ เป็นส่วนผสมสำคัญ แต่ในประเทศไทยไม่มี จึงต้องใช้ถั่วเขียวแทน โดยบดกวนปั้นเป็นรูปร่างต่างๆระบายสี แล้วนำไปชุบวุ้นให้สวยงาม สีที่ใช้ทำลูกชุบนั้นนอกจากระบายลงบนถั่วเขียวกวนที่ปั้นแล้ว ยังใส่สีลงในถั่วกวนโดยตรงได้อีก อร่อยอย่าบอกใคร

ขนมไข่นกกระทาทอด 


ขนมไข่นกกระทาเป็นของขนมที่ทำการแป้งและมันเทศลักษณะเป็นก้อนกลม สีเหลืองอ่อน ทำง่ายและหาทานได้ทั่วไป เป็นขนมที่นิยมมากในอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา แม้กระทั่งรัตนโกสินทร์ ไม่พบบันทึกผู้ประดิษฐ์ นิยมขายตามร้านกล้วยทอด เผือกทอด มันทอด ข้างทาง บางพื้นที่อาจจะเรียกว่า ขนมไข่เต่า 

26.12.12

มอเตอร์ไซค์รุ่นเดอะของโลก


มอเตอร์ไซค์รุ่นเดอะของโลก อายุกว่า 105 ปี


          วันนี้เอาเรื่่องเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์มาฝากเพื่อนๆกัน เป็นข่าวเก่าแล้วล่ะ แต่ดูจากรูปภาพแล้วสวยดี ก็เลยอดเอามาฝากไม่ได้เผื่อยังมีคนที่ยังไม่รู้ โดยมีที่มาจากสำนักข่าวเดอะ ซัน ซึ่งมีการรายงานเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ว่า มีการเปิดเผยโฉมของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นคุณทวดอายุกว่า 105 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 50,000 ปอนด์ หากนำไปประมูล

          สำหรับมอเตอร์ไซค์คันนี้ สร้างโดยบริษัท อินเดียน คาเมลแบ๊ค (Indian Camelback) ในปี 1906 ที่เคยเป็นหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ที่ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ 2 ล้อขึ้นมา และบริษัทแห่งนี้ยังเคยเป็นคู่แข่งที่สำคัญของรถแบรนด์ดังอย่าง "ฮาร์เลย์ เดวิดสัน" (Harley-Davidson) อีกด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วบริษัท อินเดียน คาเมลแบ๊ค ก็ต้องล้มละลายไปในปี 1953 โดยที่พาหนะ 2 ล้อรุ่นโบราณคันนี้เคยเป็นของครอบครัว ดู ปอง ซึ่งได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์อินเดียนมาไว้ในครอบครอง และครั้งสุดท้ายที่มันได้ออกวิ่งสู่ท้องถนนนั้นต้องย้อนกลับไปในปี 1970 เลยทีเดียว


          ในส่วนของรถคันนี้ ประกอบด้วยกระบอกสูบหัวเดียว มาพร้อมกับความแรง 2.25 แรงม้า โดยทำความเร็วได้ถึง 30 ไมล์ต่อชั่วโมง และที่สำคัญมันไม่มีเบรค! ซึ่งจะต้องใช้วิธีเบรคโดยการถอยคันเหยียบให้หมุนกลับหลังเหมือนเบรครถจักรยาน หรืออาจจะต้องใช้เท้าเหยียบไถลไปกับพื้นดิน เพื่อช่วยหยุดรถอีกแรงหนึ่ง

          ทั้งนี้เจ้ามอเตอร์ไซค์วัยดึกคันนี้นั้นเป็นที่ต้องการของเหล่านักสะสมรถทั้งหลาย ซึ่งทางบริษัทได้ผลิตรถรุ่นนี้ขึ้นมาเพียง 1,698 คันเท่านั้น และรถคันนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คันที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยมีนักสะสมรถรุ่นเก่าทั้งหลายต่างหมายปองที่จะได้มันมาไว้ในครอบครอง เพราะมันยังอยู่ในสภาพคงเดิม แบบโบราณ ที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือตกแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น

          ซึ่งทางผู้เชียวชาญเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ เชื่อว่าหากนำมันไปซ่อมและปรับแต่งเสียใหม่ จะทำให้มูลค่าของมันลดลง แต่หากนำไปประมูลในขณะที่คงสภาพเดิมไว้อยู่นั้น อาจจะทำให้มันมีราคาสูงถึง 50,000 ปอนด์ (หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท) เลยทีเดียว ดูจากรูปแล้วทึ่งเลยทีเดียว.......

ที่่มา -- kapook.com 

21.12.12

5 วิธีสำหรับการง้อสาว




                 เมื่อสองสามวันก่อนมีเพื่อนผู้ชายสมัยเรียนด้วยกันโทรมาปรึกษาเกี่ยวกับการงอนง้อภรรยา เนืองจากเพื่อนอิฮั้นไปทำความไม่ดีไว้บางอย่าง นั่นก็คือปีนี้ดันลืมวันแต่งงาน ซึ่งทุกปีก็จะไม่ลืมหรอก แต่ว่าเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี เลยต้องขยัีนทำโอทีที่บริษัทโดยลืมวันไปโดยปริยาย งานก็เลยเข้า เลยต้องอาศัยเจ้ากูเกิ้ลอีกตามเคย ได้เปิดไปเจอวิธีสำหรับง้อสาวมาฝากเพื่อน ใหนก็ใหนๆก็เลยเอามาลงในบล๊อกซะเลยเผื่อมีใครเอาไปใช้บ้าง เอาหล่ะแต่ว่าเรามาดู 5 อันดับทีผู้หญิงชอบงอนกันก่อนดีกว่า เริ่มด้วย.............


1. มองผู้หญิงคนอื่น

ถ้าความรักทำให้คนตาบอดได้จริง สาว ๆ หลายคนสาบานว่า จะยอมทุ่มเทความรักเพื่อให้บอยตาบอดจริง ๆ ซะที เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ขนาดเดินจับมือกันแท้ ๆ แต่เห็นชะนีหน้าเด้งหน่อยไม่ได้
( -*-) มันจะสวยกว่าฉันขนาดไหนกานยะ มองหล่อนซะตากลับขนาดนั้น แค่งอนน่ะ ยังน้อยไปด้วยซ้ำ นะเจ้าคะ

2. ลืมวันสำคัญ

บรรดาบอยมักจะบอกว่า บางทีมันก็จำยากอยู่เหมือนกัน เพราะสาว ๆ มักสร้างวันสำคัญขึ้นเองชนิดที่ไม่ต้องง้อปฏิทิน แค่ครบรอบ 5 วัน หรือ 10 วันที่คบกัน ก็สำคัญซะแล้ว ไหนจะสำคัญรอบสัปดาห์ รอบเดือน รอบปี นี่ยังไม่ได้รวมวันสำคัญของบัญชีกิ๊กหางว่าวด้วยนะ เห็ยใจกันหน่อยเหอะ บอยเค้าขอร้องมาน่ะเจ้าคะ

3. โกหกแล้วจับได้

จริงๆ แล้วไม่อยากให้มีใครเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอกนะเจ้าคะ เพราะว่ามันทำให้บอยทั้งเจ็บปวดและอับอาย คือ เจ็บปวดที่โง่ให้โดนจับได้น่ะเจ้าคะ และอับอายเพื่อนฝูงอีกตะหาก อ้าว !! นึกว่าสำนึกผิดนะเนี่ยนะเจ้าคะ

4. ผิดนัด

ผิดนัดไม่ว่าแต่แจ้งล่วงหน้ายังพอให้อภัยได้นะเจ้าคะ แต่พวกที่ปล่อยให้รอเก้อเนี่ยสิเจ้าคะ แบบยืนตลอด20ศรรตวรรคเนี่ย มันเกินไปหน่อยแล้วนะพ่อคุณ แล้วมาทำมึนเหมือนอย่างกับว่าศรีษะกระทบ
กระเทือนจนหน่วยความจำล้มเหลว อย่ามาเอ๋อนะเจ้าคะ

5. โทรไปไม่รับสาย

ก็เพราะตอนก่อนเป็นแฟนกันคุณๆผู้ชายชอบทำตัวโปร่งใส จะกิน ถ่าย หลับ นอน ต้องโทรรายงานทุกความเคลื่อนไหว แต่พอหมดโปรโมชั่นเป็นแฟนกันเมื่อไหร่ ยอมเสียตังค์โทรไปยังไม่ค่อยจะอยากรับซะงั้นนะเจ้าคะ ต่อมงอนก็เลยบานเอาๆ

เอาหล่ะทีนี้เราก็มาดูวิธีการง้อสักหน่อยว่ามีอะไรบ้าง

1. ต้องมีดอกไม้หรือของขวัญ

กลายเป็นว่าพวกสาว ๆ เป็นคนเห็นแก่ได้ซะงั้น นึกว่าที่งอนอยู่ทุกวัน เพื่อเรียกร้องเอาของขวัญจนเป็นนิสัยงั้นเรอะ โถ ๆ ๆ ๆ พวกผู้ชายรู้น้อยด้อยสติ ของขี้ประติ๋วพวกนั้น่ะ ถ้าไม่รับไว้เดี๋ยวก็จะเสียเซลฟ์กันไปซะเปล่า ๆ รับไว้เอาบุญหรอกย่ะ

2. สัญญาว่าจะไม่ทำอีก

คำเตือน : อย่าไปหลงเชื่อพวกนี้ง่าย ๆ ถึงสัญญาจะออกจากปากแต่ก็ไม่ต่างจากผายลม ถึงให้ดื่มน้ำแช่คมหอกคมดาบก็เหอะ อาจจะยังน้อยไปนะ ทางที่ดีให้กินดาบเข้าไปด้วยซะเลยดีกว่า

3. งอนกลับ

เดี๋ยวนี้พวกคุณๆผู้ชายมักจะมีเล่ห์เหลี่ยมกลชมารยาต่าง ๆ สงสัยว่าร่องสมองจะลึกขึ้นกว่าเดิมซัก 2 มิลฯ เลยรู้ทันพวกสาว ๆ ว่า ที่งอนๆกันอยู่ทุกวันนี้ เค้าเรียกกัยว่างอนกันตามโบราณราชประเพณีค่ะ เลย
โดนงอนกลับตลบหลังซะ จนทนว้าเหว่วังเวงจิตไม่ไหว เดี๋ยวก็ต้องตามมาเอาใจคุณๆผู้ชายเองแหละเจ้าคะ

4. บอกรัก

เป็นวิธีน่ายกกำลังสิบจริง ๆ แต่เชื่อเหอะ ต่อให้งอนตุ๊บป่องเหมือนหมาเน่าท้องอืดขนาดไหน เจอคำว่า”Love” เข้าไปเหมือนเอาน้ำแข็งเข้าไมโครเวฟทุกที ก็คงจริงอย่างที่เค้าว่าอ่ะนะว่า ” ความรักชนะทุกสิ่ง ”

5. ยอมรับผิดแล้วขอโทษ

ต้องนับถือคุณๆผู้ชายที่ง้อสาวด้วยวิธีนี้จริงๆนะคะ ผิดแล้วยอมรับผิดสมกับเป็นลูกผู้ชายตัวจริงกระทิงแดง แต่ส่วนใหญ่มักใช้หลังจากที่ง้อทุกวิธีแล้วไม่ประสบผลสำเร็จน่ะ


*** คุณผู้ชายทั้งหลายดก็ต้องเข้าใจนิดนึงนะว่าที่สาว ๆ เค้างอนน่ะ ไม่ใช่ว่ารักว่าหวงนะ แล้วเค้าเรียกว่าอะไร ? ลองคิดดูนะคะ แคร์สาว ๆ เค้าหน่อย เอาใจเค้านิสสสสส..นะคะ

ที่่มา--upyim.com





18.12.12

โทษของชาเขียว




        เมือสองสามวันที่ผ่านมาได้เอาสาระประโยชน์เกียวกับชาเขียวมาฝากกัน และไ้ด้มีน้องคนนึงถามว่ามีแต่ประโยชน์ และโทษของการชงชากินแบบเย็น แล้วโทษของมันตอนกินร้อนๆนี่ไม่มีเลยเหรอ?  ทำให้เราเกิดความสงสัยเหมือนกัน เลยลองเสาะหาดูจาำำกหลายๆบทความมีอันนี้น่าเชื่อถือและไกล้เคียงจากที่ถามจากเพื่อนญี่ปุ่นมา ใหนๆก็ได้มาแล้วจะอยู่เฉยไปทำไม เหอะๆต้องทำการเเบ่งปันค่ะ

       
เมื่อชาเขียวมีประโยชน์ แต่โทษของชาเขียวก็มีเช่นกัน ถ้าชาเขียวที่เราชงดื่มกินนั้นเข้มข้นเกินไป ก็อาจจะเกิดโทษได้เช่นกัน

1.ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น

2.หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์

3.ในรายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)

4.คนที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมา มากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร

5.การดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย

6.การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ

7.ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง

8.การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้

9.ในกรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG[5] ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50% แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี


ที่มา -- จากหนัสือการชงชาให้อร่อย 


15.12.12

ประโยชน์จากชาเชียว





           วันนี้เอาสาระประโยชน์มาฝากเพืือนกันค่ะ เกี่ยวกับชาเขียว เพื่อนรู้ไม๊ว่าเหตุใด คนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด  เรื่องจริงที่คนไทยไม่รุ้...ชาเขียว เป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี  ในขณะที่คนไทยเพิ่งรู้จักกันมา10 กว่าปีมานี้เอง


            คนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนร้อนกัน  เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าชาเขียวร้อนมีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษใน ร่างกายคนเราให้ขับออกมาทางอุจจาระ และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ  ชาเขียวชึ่งทำให้ร่างกายสามารถขับพิษและลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่

            แต่....คนไทย นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น  ซึ่งคนไทยส่วนมากไม่เคยรู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียวเลย  ทำให้คนญี่ปุ่นรุ้สึกขบขันในใจแถมหัวเราะเยาะในใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนญี่ปุ่น  เพราะอะไรงั้นหรือ...เพราะว่าชาเขียวที่มีคุณอนันต์นั้น ย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน เพราะชาเขียว จะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันหากดื่มชาเขียวตอนที่เย็น  แล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น  นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายได้แล้วยังก่อให้เกิด การเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง

           นอกจากนี้ ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้  ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เรายังมีการทดสอบให้เห็นอย่างง่ายๆ และชัดเจนเกี่ยวกับอันตรายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้ให้ท่านเห็นได้ด้วยตนเอง โดยการนำชาเขียวแช่เย็น ยิ่งเย็นยิ่งเห็นชัด นำมาเทลงในชามก๊วยเตี๊ยว จะพบว่าหลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปได้ครู่เดียว จะมีคราบไขมันลอยเห็นเป็นคราบบนน้ำซุปหรือเกาะเป็นคราบที่ชามก๊วยเตี๊ยว ทันที แล้วร่างกายท่านล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดื่มชาเขียวแช่เย็นเข้าไป...........สยองไหมละ   ดังนั้นพวกคนญี่ปุ่นเค้าจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด แต่จะดื่มชาเขียวร้อนอย่างชาญฉลาด  ในขณะที่คนไทยที่คิดว่าตนเองฉลาดกลับดื่มชาเขียวแช่เย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย แบบฉล๊าด ฉลาด แต่หารู้ไม่ว่าเหมือนกับฆ่าตัวเองทางอ้อมดีๆนีีเอง

          เอาล่ะต่ออีกนิดใบของชาเขียวยังทำประโยชน์ได้อีกมากมายเหมือนกัน เราลองมาดูกันว่ามันทำประโยชน์อะไรได้อีกบ้างนอกจากการชงดืม  ประโยชน์ของชาเขียวทำความสะอาดพรม นอกจากใบชาแห้งจะเป็นยาดับกลิ่นได้ดีแล้ว ยังมีคุณสมบัติต่อต้านหรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย ก่อนทำความสะอาดพรมด้วยเครื่องดูดฝุ่น ให้โปรยใบชาแห้งบนพรม ให้ทั่วทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงดูดฝุ่นรวมทั้งใบชาทั้งหมด กลิ่นหอมสะอาดของใบชาเขียวจะช่วยทำให้ห้องสดชื่น รวมทั้งทำความสะอาดพรมด้วย

           ทำความสะอาดเครื่องครัว เราสามารถใช้กากชาเขียวดับกลิ่นคาวต่าง ๆ ได้ โดยหลังจากใช้เขียงประกอบอาหารแล้ว ให้นำไปล้างน้ำ หลังจากนั้นเกลี่ยใบชาเปียกให้ทั่วเขียง ทิ้งไว้สักพักใหญ่แล้วจึงใช้ใบชาขัดถูเขียงให้ทั่ว และล้างออกด้วยน้ำสะอาด น้ำชาต้มก็สามารถนำมาใช้ล้างทำความสะอาดเขียงและอุปกรณ์เครื่องครัวอื่น ๆ ได้เช่นกัน

           ป้องกันสนิม ใช้ใบชาขัดถูหม้อ หรือกะทะเหล็กป้องกันสนิมได้ สารแทนนิน (tannin) ในใบชาจะจับตัวกับเหล็กและสร้างสารเคลือบบาง ๆ บนพื้นผิวหม้อหรือกะทะเพื่อป้องกันสนิม

           เป็นน้ำยาบ้วนปาก กลั้วปากด้วยชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในปาก สารฟลูออรีนในชาเขียวช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุและเหงือกอักเสบ ไม่จำเป็นต้องใช้ชาเขียวชงครั้งแรกกลั้วปาก ดื่มชาให้ชื่นใจก่อน หลังจากนั้นคุณสามารถใช้ชาเขียวชงครั้งที่สามหรือสี่ได้

           ประคบดวงตาให้สดใส นำถุงชาที่เปียกและเย็น ทั้งที่ใช้แล้วหรือถุงชาเก่าที่ไม่ได้ใช้ วางบนเปลือกตาจะช่วยคลายความเมื่อยล้าและทำให้ดวงตาสดใส

           เอาผสมน้ำอาบ นำถุงชาใช้แล้วหรือใบชาใส่ถุงผ้าฝ้ายบาง ๆ มัดให้แน่นแช่ทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำอุ่น น้ำอุ่นผสมน้ำชาจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น

           ทำหมอนใบชา กลิ่นหอมบาง ๆ จากใบชาจะช่วยให้เราหลับสบายขึ้น การดูแลรักษาทำได้ง่ายโดยนำหมอนที่ทำจากใบชาออกตากในที่ร่ม เพื่อระบายอากาศเป็นประจำ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง

           ทำเป็นเครื่องหอม โดยนำใบชามาเผาเป็นเครื่องหอมจะให้กลิ่นหอมมาก

           ทำเป็นยาดับกลิ่นในตู้เย็น ให้นำถุงผ้าฝ้ายบ้าง ๆ บรรจุใบชาหรือถุงชาใช้แล้วใส่ไว้ในตู้เย็น สามารถขจัดกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาในตู้เย็นได้

           ทำชาเขียวกับความงามสูตรน้ำแร่ชาเขียว นำน้ำแร่มาต้มให้เดือด ใส่ชาเขียวแบบผงหรือใบชาลงไป อาจเพิ่มใบสะระแหน่สักเล็กน้อย แล้วทิ้งไว้ให้เย็น หรือนำไปแช่ในตู้เย็น ถ้าใช้ใบชา ควรกรองเอาแต่น้ำ เทใส่ขวดสเปรย์ ใช้เป็นสเปรย์น้ำแร่ชาเขียว จะเพิ่มความชุ่มชื่นและความเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า ฉีดได้ทุกเวลาที่ต้องการความสดชื่น


           ทำสูตรถนอมผิวรอบดวงตา ต้มชาเขียวกับน้ำเดือด แล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่ม นำมาวางบริเวณเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดร่องรอยความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตา และยังลดการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตา ผิวจะนุ่มนวลและดูสดชื่นขึ้น
สูตรลดน้ำหนัก ดื่มชาเขียววันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานและและไขมันของร่างกายได้


           และอันสุดท้าย (หรือมันอาจจะมีมากกว่านี้อีกก็ได้นะ) ทำเป็นปุ๋ยค่ะ ตามเศษฐกิจพอเพียงตามที่พ่อสอน โดยนำกากชาไปใส่ที่กระถางต้นไม้ ใช้เป็นปุ๋ยแทนได้ รับรองต้นไม้ หรือผัก หรือดอกไม้ที่เพื่อนๆปลูกไว้งามแน่นอน.....

ที่มา -- kapook.com, sanook.com, หนังสือ lisa

13.12.12

FW: :ซึ้งๆ (คำถามจากพ่อ)




           วันนี้เอา fw: เมล์ เก่าๆซึ้งๆมาฝากใหนๆก็ยังอยู่ในช่วงเดือนของวันพ่อ แ่ต่จริงแล้วมันก็วันพ่อทุกๆวันแหละเนอะ เพื่อนๆว่าไม๊




"ชายแก่" เลยวัย 70 คนหนึ่ง คุยกับ "ลูกชาย" ที่เพิ่งกลับมาเยี่ยม หลังจากแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี

ชายแก่ : แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก ?  พ่อเห็นลาง ๆ
แจ๊ค : อ๋อ "วัว" หน่ะพ่อ

เวลาผ่านไป 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก ?
แจ๊ค : "วัวตัวเดิม" นั่นแหละพ่อ ยังไม่ไปไหนเลย

ผ่านไปอีก 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรอีกล่ะลูก ?
แจ๊ค : (เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัว...พ่อ !  วัว !!  วัวตัวเดิม ที่เพิ่งถามนั่นแหละ

เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก ?
แจ๊ค : (เริ่มทนไม่ไหว)
        เอ๊ะ !! พ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ได้ ผมจะบอกครั้งสุดท้าย แล้วนะว่า... วัว !!

ผ่านไปอีก 2-3 นาที

ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรน่ะลูก ?
แจ๊ค : โอ๊ย... พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยกันไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว

แล้ว "แจ๊ค" ก็ผละจาก "พ่อ" ไปอย่าง "อารมณ์เสีย" เป็นที่สุด

***********************************************

เวลาผ่านไป...... จวบจนตอนเย็นได้เวลาอาหารค่ำ

เมื่อไม่เห็นผู้เป็นพ่อลงมา แจ๊คจึงเดินขึ้นไปตามที่ห้อง ณ ที่นั่น เขาได้พบ "ชายแก่" นั่งเหม่อลอย
ข้าง ๆ มีไดอารี่เก่า ๆ เล่มหนึ่ง ที่ "เพิ่งเขียน" บันทึก ใน "วันนี้ " เสร็จ  "แจ๊ค" ถือวิสาสะเข้าไปอ่าน  ความว่า.......


ครั้งหนึ่ง.... เมื่อ 40 กว่าปีก่อนมาแล้ว เรามี "ลูกชาย" คนหนึ่ง ที่ "เรารักมากที่สุด" เราตั้งชื่อเค้าเองว่า... "แจ๊ค"  

ในวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง เราพาแจ๊คออกไปเดินเล่น  ตอนนั้นแจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน  พอดีมีวัวผ่านมา...

"แจ๊ค" ถามเราว่า "พ่อ" นั่นอะไร...
"วัว" ไง "ลูก"  เราตอบ 

เวลาผ่านไป อีกไม่ถึงนาที

"แจ๊ค" ก็ถามคำถามเดิมเราอีก 
"เรา" ก็ตอบเช่นเดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 25 ครั้ง เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลย ที่จะตอบคำถามเดิม ๆ เหล่านั้น เรากลับรู้สึก "ดีใจ" อย่างที่สุด ที่ "ลูก" สนใจเรา อย่างไม่เบื่อหน่าย

แต่....ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถาม"คำถามเดียวกัน"

หากแต่ว่า "เรา" เป็นฝ่ายถาม "แจ๊ค" เป็นฝ่ายตอบ " เพียง 5 ครั้งเท่านั้น "  
"ลูก" ก็ ตวาดเสียงดัง ใส่ "เรา" "หาว่า เราเลอะเลือน...รังเกียจ แม้แต่จะคุยกับเราต่อไป . . ."


เมื่ออ่านจบ...

"แจ๊ค" รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ

"พ่อ" ... เลี้ยงเขามาอย่างดี

แต่...  วันนี้ สิ่งที่เขาทำให้ท่านคือ.....

''การตวาดเสียงดัง''....."ไม่พูดด้วย"..... แล้วก็...... "เดินหนีไป".....

เขาตระหนักว่า... เขาได้ทำ "สิ่งผิดพลาด" ซึ่งเขาเองแทบไม่รู้ตัว

แล้วคุณล่ะ...

วันนี้ ...คุณ  "ได้ทำอะไรดี ๆ" ให้ "ท่านเหล่านั้น" หรือยัง ?


Job (จ๊อบ บรรจบ) - รักติดปีก.avi

2.12.12

ทายนิสัยตามวันเกิด



ที่มา -- facebook.com

ความจริงในดวงตาโมนาลิซา




         รหัสลับดาวินชีของจริง ซ่อนอยู่ในดวงตาโมนาลิซา   หลังจากที่นิยาย และภาพยนต์เรื่องรหัสลับดาวินชี (The Da Vinci Code) ของแดน บราวน์ ออกมาเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ผู้ศรัทธาในพระเยซูคริสต์โกรธเคืองในความหมิ่นประมาทนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องทำใจยอมรับว่ามันเป็นแค่นิยาย และจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของนิยายประเภท "จินตนาการที่เพ้อฝัน" ไปโดยปริยาย


        แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีการค้นพบที่คนทั้งโลกอาจจะต้องสนใจ เพราะความจริงแล้วภาพของลีโอนาร์โด ดาวินชี ภาพนี้ มีความลับซ่อนอยู่จริงมาถึงห้าศตวรรษ และกำลังจะถูกเปิดเผย ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องฉาวอย่างในนิยายก็ตาม

        ข่าวที่ทำให้ทั่วโลกตื่นเต้นและจับตามองเกิดขึ้นหลังจากที่ ซิลวาโน วินเซติ (Silvano Vinceti) ประธานคณะกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมของอิตาลี ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชื่อดังด้วย ได้ประกาศการค้นพบที่สุดแสนมหัศจรรย์ เมื่อวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2553 นี้เอง โดยเขากล่าวว่า เมื่อตรวจสอบลึกเข้าไปในตาอันเร้นลับของโมนาลิซาแล้ว ก็ได้พบว่าตาทั้งสองข้างของเธอมีตัวอักษร หรือตัวเลขซ่อนอยู่

          หากมองเผิน ๆ ดวงตาของโมนาลิซาเป็นสีเข้ม ทำให้ทุกคนมองข้ามไป แม้ว่าจะมีการตรวจสอบภาพโมนาลิซาด้วยวิธีอันล้ำสมัยมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเอ็กซเรย์ สแกน หรือตรวจด้วยอินฟราเรด ก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นมาก่อน แต่การตรวจพบครั้งนี้ ใช้เพียงอุปกรณ์ง่าย ๆ นั่นคือ "แว่นขยาย" ซึ่งก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี เพราะเมื่อ 400 กว่าปีก่อน คงไม่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยใด ๆ ที่จะช่วยให้ดาวินชีซ่อนข้อความลับได้มากนัก

        สิ่งที่ตรวจพบคือ ในดวงตาขวาของโมนาลิซา มีสัญลักษณ์ที่คล้าย ๆ กับตัวอักษรแอลและวี (LV) ซ่อนอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นลายเซ็นหรือชื่อย่อของเขาเอง ส่วนดวงตาข้างซ้าย เมื่อมองลึกลงไปก็พบว่ามีสัญลักษณ์บางอย่างด้วยเช่นกัน แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ยากจะตีความได้ว่าดาวินชีต้องการจะบอกอะไรกันแน่ เพราะมันเป็นตัวอักษร ซีและอี (CE) แต่บางคนก็มองว่า น่าจะเป็นบี (B) มากกว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็สื่อความหมายไม่ได้อยู่ดี

        นอกจากนี้ เมื่อมองไปรอบ ๆ ภาพแล้ว ยังพบสัญลักษณ์ในที่อื่น ๆ อีก คือ ฉากหลังตรงที่เป็นสะพานบริเวณส่วนโค้ง ผู้สังเกตทุกคนต่างก็บอกว่า มันเป็นตัวอักษร แอล และเลขสอง (L2) หรืออาจจะเป็นตัวเลข 72 ก็ได้ ซึ่งทางทีมงานยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวอักษรหรือตัวเลขกันแน่ อีกทั้งซิลวาโนเองก็บอกว่า โมนาลิซานั้นอยู่มาตั้งห้าศตวรรษแล้ว จะให้ทุกอย่างดูคมชัดคงเป็นไปไม่ได้ ของเก่าก็ต้องแก่ไปตามกาลเวลา ซึ่งโมนาลิซานี้ก็ถูกเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะด้วยการขายต่อ การยกให้พิพิธภัณฑ์ และช่วงหนึ่งยังถูกมือดีขโมยไป ทำให้ภาพนั้นเสื่อมลง จนบางครั้งต้องให้ศิลปินยุคหลัง ๆ มาช่วยกันซ่อมแซม

        ดังนั้นจึงมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะเป็นไปได้ที่รหัสที่เพิ่งค้นพบนี้ ไม่ใช่ของดาวินชี แต่เป็นเพียงความบังเอิญหรือความผิดพลาดของผู้ที่มาซ่อมแซมภาพเท่านั้น ซึ่งซิลวาโน ก็ยืนยันว่า สัญลักษณ์ดังกล่าวเหล่านี้ เป็นของแท้จากพู่กันของดาวินชีแน่นอน และไม่ได้เกิดจากความบังเอิญแต่ประการใด เพราะดาวินชีเป็นคนขี้เล่น และชอบซ่อนความลับไว้ตรงนั้นตรงนี้ โดยเฉพาะในผลงานของเขาเสมอ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอะไรซ่อนไว้ในภาพวาดสุดรักของเขา แต่ก็ยังเป็นปัญหาที่ตีไม่แตกว่า "สารลับ" นี้ต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่

       จริงอยู่ที่แว่นขยายเป็นอุปกรณ์ค้นพบสารลับนั้น แต่ก่อนที่จะมีการส่องดูดวงตาของโมนาลิซา มีเหตุการณ์ต้นเรื่องเกิดขึ้น คือเพื่อนร่วมทีมของซิลวาโนคนหนึ่ง ชื่อลุยจิ บอร์เกีย ได้ไปพบหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งในร้านขายของเก่าเข้า และหนังสือเล่มนั้นก็พูดถึง "สารลับ" ในดวงตาของโมนาลิซา โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นยังคงเป็นชายนิรนาม ทำให้ซิลวาโนได้ทำการตรวจค้นดวงตาของเธอดังกล่าว และทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่พบนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พร้อมกันนั้นทางทีมงานยังเชื่อว่า จะต้องมีหนังสือโบราณ เอกสาร หรือสารลับอื่น ๆ อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ ซึ่งจะเป็นเครื่องถอดรหัสสารลับในดวงตาของโมนาลิซาได้...


credid -- thairath.co.th

30.11.12

อาการของสุขภาพขาดสมดุล




     เพื่อนๆเคยสังเกตไหมว่า ทำไมอยู่ๆเพื่อนๆ หรือสมาชิกในครอบครัวถึงรู้สึกมีอาการไม่สบายขึ้นมา มีอาการแปลกๆ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคอะไร

+ มีความวิตกกังวล หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ควบคุมอารมณ์ตัวเองยากขึ้น

+ ปวดศีรษะ มึนงง ตึ๊บ ๆ สมองไม่โล่ง

+ ตื่นเต้น ตกใจง่ายมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

+ หลับไม่สนิท ฝันร้าย หรือในทางกลับกัน ก็หลับทั้งวัน ง่วงนอนตลอดเวลา นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ

+ เบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทานอะไร แต่บางคนก็มีอาการตรงข้ามคือ รับประทานแหลกเลยทีเดียว

+ ใจสั่น

+ หายใจไม่อิ่ม ถอนหายใจบ่อย ๆ แบบไม่รู้ตัวเอง

+ ท้องผูก หรือท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ

+ ปวดต้นคอ หรือไหล่ ปวดเมื่อยตามตัว

+ เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียบ่อย ๆ

+ ไม่มีสมาธิ ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม

+ ประจำเดือนไม่ปกติ เดี๋ยวเลื่อนเดี๋ยวเร็ว เอาแน่นอนไม่ได้

+ สมรรถภาพทางเพศลดลง

      หากเพื่อนๆมีอาการเตือนเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วหล่ะก็ทางออกก็คือ จะต้องเร่งหาวิธีคลายเครียดตัวต้นเหตุของอาการเหล่านี้โดยด่วนค่ะ ก่อนที่โรคต่าง ๆ จะถามหา ควรคิดว่าปัญหาทุกอย่างมีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้แบกนะคะ ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องดูแลสุขภาพ

ที่มา--sanook.com

27.11.12

พบหลักฐานใหม่ชี้ 2012 โลกไม่แตก


 


         วันนี้ใครที่กำลังหวาดกลัวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกที่จะมาถึงในปลายปีนี้ อาจคลายความวิตกลงได้เมื่อได้ชมข่าวนี้ เมื่อล่าสุด นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ พบหลักฐานใหม่ซึ่งเชื่อว่า ชาวมายาไม่ได้ทำนายเรื่องวันโลกแตกในปีนี้แต่อย่างใด

สำหรับผู้ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลก โดยอ้างอิงปฏิทินโบราณของชนเผ่ามายา ในทวีปอเมริกากลางซึ่งทำนายว่า โลกของเราอาจถึงคราวดับสูญในวันที่ 22 ธันวาคม คริสตศักราช 2012 หรือในปลายปีนี้ อาจต้องเปลี่ยนความเชื่อดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากที่ล่าสุด นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ได้ค้นพบหลักฐานใหม่ เป็นภาพเขียนฝาผนังเก่าแก่ของชาวมายา ที่ชี้ว่า ปฏิทินทางจันทรคติของชาวมายาไม่ได้สิ้นสุดลงในปี 2012 แต่อย่างใด

ภาพฝาผนังดังกล่าว ซึ่งขุดพบในซากปรักหักพังที่ปกคลุมด้วยต้นไม้นานาชนิด คาดว่าเขียนขึ้นตั้งแต่คริสตศัตวรรษที่ 800 หรือกว่า 1,200 ปีก่อน โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ภาพส่วนหนึ่งเผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า วัฎจักรด้านกาลเวลาของชาวมายาไม่มีที่สิ้นสุด โดยเดือนธันวาคมปลายปีนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นวัฎจักรใหม่ของปฏิทินแบบชาวมายา หรือที่เรียกกันว่า "แบ็กทัน"

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับความเชื่อของนักโบราณคดีหลายคนที่ออกมาปฏิเสธตำนานวันสิ้นโลกในช่วงตลอดไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ระบุว่า การที่ปฏิทินของชาวมายาสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม 2012 ไม่ได้หมายความว่า โลกจะต้องดับสูญไปหลังจากช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด

สำหรับซากปรักหักพังที่ค้นพบใหม่นี้ ตั้งอยู่ในอดีตอาณาจักรของชนเผ่ามายา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเมืองซุลตัน ประเทศกัวเตมาลา โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบศิลปะของชาวมายาบนฝาผนังของบ้าน ซึ่งเชื่อว่าจิตกรน่าจะเป็นนักบวชผู้เชี่ยวชาญด้านตัวอักษร และการทำปฏิทิน เพื่อช่วยกษัตริย์ของชาวมายา ผูกโยงพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เข้ากับปรากฏการณ์ต่างๆบนท้องฟ้า..........

credit -- news.voicetv.co.th

25.11.12

10 อันดับ ชายหาดยอดแย่ที่สุดในโลก

        ช่วงนี้เริ่มเข้าอากาศหนาวแล้วเนอะ กับบรรยากาศที่มีแสงแดดอุ่นๆในยามเช้่า สายลมอ่อนๆ ชายหาดสวยๆ แต่คงจ๋อย หรือหมดมู๊ดกันพอดี ถ้าเจอชายหาดเหล่านี้ เพราะแต่ละที่ถูกขนานนามว่าเป็น 10 อันดับ ชายหาดยอดแย่ที่สุดในโลก เอาล่ะเราลองมาดูกันดีกว่าว่าชายหาดทีว่านี้มีอะไรบ้าง....

อันดับ 1 ชายหาด “Chowpatty” 
ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย


ชายหาด Chowpatty สมคำล่ำลือจริงๆ ในเรื่องขึ้นชื่อแห่งความสกปรก เต็มไปด้วยขยะ และมลพิษ แถมยังขาดการดูแลเอาใจใส่อีกด้วย ก็เรียกได้ว่ากลายเป็นอันดับ 1 ของชาดหาดยอดแย่! ไม่น่าเที่ยวที่สุดในโลกไปเลย


อันดับ 2 ชายหาด “Goa” ประเทศอินเดีย

 

ชายหาด Goa ท่ามกลางชายหาดแห่งนี้ นอกจากคนที่มานอนอาบแดดแล้ว ยังคงมีสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่ก็ชอบอาบแดดเหมือนกัน นั่นก็คือ ฝูงวัวศักดิ์สิทธิ์ ที่คนท้องถิ่นเลี้ยงไว้ และปล่อยให้มันเดินเล่นริมชายหาดตามสบาย เอ๊ะ… มันจะเหมือนกับ ‘ม้า’ ตามชายหาดบ้านเราหรือเปล่านะ


อันดับ 3 ชายหาด “Marunda” 
ในเมืองจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย


พระเจ้า…! แทบไม่น่าเชื่อสายตาหากได้เห็นภาพด้านบน กับการเพลิดเพลินของเด็กๆ ที่กำลังเก็บเศษขยะพลาสติกในน้ำคลำ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นน้ำทะเลของชายหาด Marunda แต่รู้หรือไม่ว่าถึงแม้น้ำทะเลของชายหาดแห่งนี้จะสกปรกม๊ากมาก… แต่มันก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย


อันดับ 4 หาด “SEMINYAK” 
บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย


ชายหาด Seminyak จากผลวิจัยของนักนิเวศน์วิทยากล่าวว่า ปัจจุบัน “บาหลี” กำลังประสบปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหามลพิษทางน้ำ ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และสิ่งปฏิกูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก


อันดับ 5 หาด “Haina” ที่สาธารณรัฐโดมินิกัน



ชายหาด Haina ถ้าเพื่อนๆ ลงไปดูภาพทางด้านบนนี้แล้ว คงไม่สงสัยว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงได้อันดับ 5 แห่งชายหาดยอดแย่! เพราะพื้นที่ในแถบนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่พักพิงให้ทิ้งขยะ และของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่สกปรกที่สุดในโลก 


อันดับ 6 หาด “Port Phillip Bay” 
ในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย



ชายหาด Port Phillip Bay ไม่เพียงแค่สกปรกอย่างเดียว แต่ยังเต็มไปด้วยเศษแก้ว และเข็มฉีดยาของบรรดาวัยรุ่นขี้ยาที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้ากันลืม และเมื่อปีที่แล้วทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่ ลงพิ้นที่บูรณะทำความสะอาดครั้งใหญ่กับชายหาดแห่งนี้ และพบว่าบริเวณริมหาดนั้นมีขยะมากมายเป็นจำนวนมากถึง 1 พันตันทีเดียวเชียว


อันดับ 7 หาด “Repulse”  ที่ฮ่องกง

 

ชายหาด หรืออ่าว Repulse ถูกขนานนามว่าเป็นอ่าวที่สุดแสนโสโครก เต็มไปด้วยมลพิษจากสิ่งก่อสร้างของโครงการต่างๆ นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้เกิดการแพร่กระจายของสาหร่าย  “red tide” ซึ่งเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวที่มีพิษ ทำลายระบบนิเวศน์ และมีกลิ่นเหม็น  ทั้งยังทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีอีกด้วย


อันดับ 8 หาด “Doheny”
 ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา



ชายหาด Doheny ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะได้รับการขนานนามว่าเป็นชายหาดที่มีมลพิษมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน จนต้องนำป้ายมาปักเตือนนักท่องเที่ยวว่าห้ามลงเล่นน้ำ เพราะจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่เพียงชายหาดแห่งนี้เท่านั้น แต่ที่แคลิฟอร์เนียยังมีชายหาดอีกหลายแห่งที่มีค่ามลพิษเกินมาตรฐานความ ปลอดภัยอีกด้วย


อันดับ 9 หาด “Odaiba” 
ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น



ชายหาด Odaiba เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีมลพิษ และสารปนเปื้อนในน้ำเกินมาตรฐานความปลอดภัย เป็นเหตุให้ทางการต้องนำป้ายมาปักเตือนนักท่องเที่ยวว่าห้ามลงเล่น หรือแม้แต่เดินลุยน้ำโดยเด็ดขาด และถ้าจะให้ดีควรสวมหน้ากากอนามัยขณะ มาเดินเล่นริมชายหาดแห่งนี้ด้วย


อันดับ 10 หาด “Blackpool” ประเทศอังกฤษ 



ชายหาด Blackpool ถึงแม้ว่าหาดแห่งนี้จะมีรีสอร์ทริมทะเลชื่อดังอยู่หลายแห่ง แต่ก็ยังคงมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากบริเวณโดยรอบชายหาด Blackpool  เป็นศูนย์รวมบาร์เครื่องดื่มราคาถูก ที่มีอยู่มากถึง 130 แห่ง ทำให้มักมีบรรดาวัยรุ่นขี้เมา มาขว้างปาขวดแก้ว หรือคอยกลั่นแกล้งข่มขู่เด็กๆ และผู้หญิง ทั้งยังมีเหตุทะเลาะวิวาท ชกต่อยบ่อยๆ

ที่มา -- mthai.com

23.11.12

นับถอยหลัง 1 เดือน สิ้นวงรอบ 'ปฏิทินมายา'



เปรียบเทียบกับยุคต่างๆของโลก

1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
6 6.0.0.0.0 1155 – 761 BC สงครามม้า
7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
8 8.0.0.0.0 366 BC – ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่

*************************************

ประเทศแถบอเมริกากลางเตรียมโกยเงินจากนักท่องเที่ยว ฉลองวาระสิ้นสุดวัฏจักร 5,200 ปีของปฏิทินอารยธรรมชาวมายาในวันที่ 21 ธันวาคม หลังภาพยนตร์ '2012' โหมกระแสอวสานโลก

เหลือเวลาอีกแค่ 30 วัน ระบบปฏิทินของชาวมายาจะถึงจุดสิ้นสุด รัฐบาลของเม็กซิโก กัวเตมาลา และฮอนดูรัส และภาคเอกชน ต่างจัดเทศกาลใหญ่ มีทั้งขบวนแห่ และพิธีกรรมตามความเชื่อ หวังจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งหลงใหลในปริศนาคำพยากรณ์ถึงวันสิ้นภพ

กระแสโจษขานถึงวันโลกแตก เริ่มจากหนังฮอลลีวูด "2012" ซึ่งฉายภาพโลกที่ถูกโถมกระหน่ำด้วยน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด

แต่ผู้รู้บอกว่า ปฏิทินของชาวมายาเพียงแต่ระบุถึงจุดสิ้นสุดของวัฏจักรอันยาวนาน 5,200 ปี ไม่ใช่วันกาลอวสาน และบรรดาชาวพื้นเมืองพากันบ่นรำคาญ ที่วัฒนธรรมของพวกเขาถูกนำไปใส่สีตีไข่ เพื่อขายทำเงิน

ชนเผ่าดั้งเดิมของกัวเตมาลาจะแยกตัวไปจัดงานของตัวเอง แยกต่างหากจากรัฐบาล ในเมืองต่างๆ 5 แห่ง และสถานที่ธรรมชาติ 6 แห่ง ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ กว่าครึ่งของประชากรเกือบ 15 ล้านคนของประเทศนี้สืบเชื้อสายมาจากชาวมายา

ทว่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกาวินาศ กำลังจะทำเงินมหาศาล

กัวเตมาลาคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไปเยือนในปีนี้ราว 2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 8% ทางการจะจัดงานตามแหล่งโบราณคดีและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ 13 แห่งในวันที่ 20 ธันวาคม แล้วพอถึงวันที่ 21 ประธานาธิบดีออตโต เปเรซ ก็จะไปร่วมพิธีกรรมที่แหล่งโบราณคดี ติกาล อันเป็นที่ตั้งพีระมิด

ที่คาบสมุทรยูคาตันของเม็กซิโก ซึ่งมีหาดทรายขาวสวยงาม สมาคมโรงแรมเมืองแคนคูนบอกว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนธันวาคม ห้องพักได้ถูกจองแล้ว 90%

ที่แหล่งโบราณคดี เอล ทอร์ตูเกโร ในรัฐโทบัสโก อันเป็นจุดที่ค้นพบปฏิทินศิลาหินที่ระบุวันสิ้นสุดวัฏจักรของกาลเวลาในรอบปัจจุบัน จะมีการจัดประชุมสัมมนา และพิธีกรรมต่างๆ

ที่เมืองโบราณ ชิเชนอิตซา ซึ่งมีพีระมิดขั้นบันได 365 ขั้น จะจัดงานที่มีชื่อว่า "จุดสิ้นสุดปฏิทินอันยาวนานของชาวมายา"

ในประเทศฮอนดูรัส จะมีการจัดงานในวันที่ 21 ธันวาคม ที่เมืองโคปัน โดยประธานาธิบดี โปรฟิริโอ โลโบ จะเป็นประธาน

เอลซัลวาดอร์จะจัดงานแสงสีเสียงในชื่อ "ราตรีสื่อสารถึงดวงดาว" ที่แหล่งโบราณคดี 2 แห่งทางตะวันตกของประเทศ

วันที่ 21 ธันวาคม เป็นวันสิ้นสุดของการนับเวลาของชาวมายา ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 3114 ก่อนคริสต์ศักราช ถือเป็นการครบระยะเวลา 5,200 ปี ซึ่งนับได้เท่ากับ 13 บักตุน หน่วยนับเวลาที่เรียกว่า บักตุน นี้ กินเวลาเท่ากับ 144,000 วัน หรือราว 400 ปี

วัฒนธรรมชาวมายาได้รุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงปีค.ศ.250-900 ก่อนที่จะเริ่มเสื่อมลง และล่มสลายไปเมื่อพวกผู้พิชิตชาวสเปนได้เข้าครอบครองดินแดนโลกใหม่ในศตวรรษที่ 16

credit -- news.voicetv.co.th

22.11.12

วิธีฟิตหุ่นให้สวย .. แบบไม่พึ่งเครื่องออกกำลังกาย





      วันหยุดนี้จะมัวแต่นั่งๆนอนๆเฉยๆ อยู่บ้านกันทำไมคะ ลองมาหากิจกรรมฟิตหุ่นให้สวยเช้งด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องออกกำลังกายดีกว่า

* 10 นาที ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยออกกำลังกายเบา ๆ หลังตื่นนอน เพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานมากกว่าเดิม และความเพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าสำหรับวันหยุดสุดสบายนี้

* 15 นาที ใช้เวลาขณะดูนั่งทีวีหรือคุยโทรศัพท์ออกกำลังกายเบา ๆ โดยการเกร็งหน้าท้องเข้าออกและบิดเอวไปมา หรือยืนตัวตรงปล่อยไหล่สบาย ๆ แขม่วท้องแล้วผ่อนหายใจออกอย่างต่อเนื่อง ช่วยกระชับกล้ามเนื้อท้องให้เฟิร์มขึ้น

*  20 นาที เดินเร็ว ๆ ก่อนมื้ออาหารกลางวันและเย็น ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานดียิ่งขึ้น

*  30 นาที หาดีวีดีออกกำลังกายที่คุณชอบมาลองทำตามที่บ้าน โดยสลับสับเปลี่ยนดีวีดีออกกำลังกายที่สนใจไปเรื่อย ๆ เช่น อาทิตย์นี้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก อาทิตย์ถัดไปออกกำลังกายแบบโยคะ ฯลฯ การออกกำลังกายเป็นประจำทุกสัปดาห์จะช่วยให้คุณร่างกายแข็งแรงและหุ่นเฟิร์ม เร็วขึ้น

*  35-40 นาที มีงานวิจัยรายงานว่า ระบบเผาผลาญในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลงหลังจากตื่นนอน 8 ชั่วโมงแล้ว คุณจึงควรไปวิ่งออกไปกำลังกายในช่วงเวลา 17.00-19.00 น. ประมาณ 35-40 นาที ให้ระบบเผาผลาญกลับมาทำงานตามปกติ แถมช่วยสลายไขมันขณะนอนหลับได้ดี

*  60 นาที ออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะหรือเดินชอปปิ้งไม่เพียงเป็นการพักผ่อนหย่อนใจใน ช่วงวันหยุดแต่ยังช่วยเผาผลาญพลังงานจากอาหารที่คุณกินเข้าไปมากมายการเดิน เล่นแค่ 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญได้ถึง 240 แคลอรี

*  90 นาที งานบ้านทุกอย่างสามารถช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้อย่างเช่น ขัดห้องน้ำ 1 ครั้ง เผาผลาญพลังงานได้ 55 แคลอรี ล้างรถ 1 ครั้ง เผาผลาญพลังงานได้ 350 แคลอรี รีดผ้า 1 ครั้ง เผาผลาญพลังงานได้ 300 แคลอรี

*  2 ชั่วโมง การดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้ว ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำซึ่งจะทำให้คุณหิวมากขึ้นและกินหนักกว่าเดิม

*  8 ชั่วโมง คนที่นอนหลับสนิทครบ 8 ชั่วโมง และเข้านอนไม่เกินเที่ยงคืน ระบบเผาผลาญจะทำงานได้ดีมากกว่าคนอดนอนถึง 40% รู้อย่างนี้แล้วอย่ามัวไปเป็นตระเวนท่องราตรีจนใบหน้ามัวหมอง รีบกลับบ้านเข้านอน พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อผิวสวยสุขภาพดีกันดีกว่า

ที่มา--lisa

19.11.12

ความลับน่ารู้ของการเผาผลาญพลังงาน




       วันนี้เอาวิธีการเผาผลาญพลังงานอย่างง่ายๆมาฝากเพื่อนๆกันค่ะก็คือ การดื่มน้ำนั่นเอง เอาหล่ะเรามาดูกันว่า มีวิธีไหนเด็ด ๆ บ้าง

1. ร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากกว่า เวลาย่อยอาหารและเครื่องดื่มเย็นจัด

จริง แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปกินไอศกรีม ฟังนี่ก่อน มีผู้เชี่ยวชาญเคยบอกไว้ว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นอาจเล็กน้อยมากจนเห็นไม่ได้ชัดเจน โดยงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัด ๆ 5-6 แก้วต่อวัน อาจช่วยคุณเผาผลาญได้มากขึ้นราว 10 แคลอรีต่อวัน แต่ถึงแม้มันจะเล็กน้อยมาก ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะดื่มของเหลวไม่มีแคลอรีอย่างน้ำเปล่า ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่ครีมและน้ำตาล) กับน้ำแข็ง เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

2. การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่า

ปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายคุณทั้งหมด รวมทั้งการเผาลาญพลังงานต้องอาศัยน้ำ ถ้าคุณขาดน้ำ คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้น้อยลงราว 2% นี่เป็นผลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ซึ่งติดตามดูระดับการเผาผลาญพลังงานของผู้ใหญ่ 10 คนในขณะที่ดื่มน้ำในปริมาณที่ต่างกันในแต่ละวัน โดยคนที่ดื่มน้ำแก้วละ 8 ออนซ์ 8-12 แก้วต่อวันมีระดับการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนที่ดื่มแค่สี่แก้ว

3. อาหารเผ็ดร้อนจะทำให้ระบบเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

เพราะแคปไซซิน สารประกอบที่ทำให้พริกมีความเผ็ดร้อนช่วยขับเหงื่อ ที่อาจทำให้การเผาลาญพลังงานของคุณเพิ่มขึ้น พร้อมทำให้รู้สึกอิ่มและลดความหิว การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินพริกราว 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งเท่ากับแคปไซชิน 30 ม. ทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 23%  ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ให้คนกินพริก 0.9 กรัมผสมในน้ำมะเขือเทศ หรือในรูปแคปซูล ก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ นักวิจัยพบว่า แต่ละคนลดปริมาณการรับแคลอรีลงไปได้ราว 10 หรือ 16% เป็นเวลาสองวันหลังจากนั้น

4. การกินโปรตีนช่วยให้การเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

จริง โปรตีนให้ประโยชน์ทางด้านการเผาผลาญ เมื่อเทียบกับไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานมากกว่าในการย่อยมัน การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้มากถึงสองเท่า ในขณะย่อยโปรตีนมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ตามปกติอาหารของเราจะมีโปรตีนราว 14% ลองเพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัว (โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงเพื่อชดเชย) คุณจะเผาผลาญได้เพิ่มขึ้น 150-200 แคลอรีต่อวัน

ที่มา--lisa