30.4.12

10 สัญญาณ บ่งบอกคนข้างกายคือพ่อเทพบุตร



   

      วันนี้เอาวิธีการสังเกตุหนุ่มข้างกายมาฝากสาวๆที่ยังโสดกันค่ะ  โดยมาดูกันค่ะว่าหนุ่มๆที่อยู่ข้างกายเพื่อนๆที่ยังโสดอยู่นั้น เค้ามีสัญญาณที่จะบ่งบอกว่าจะเป็นพ่อเทพบุตรสำหรับเราหรือไม่ ซึ่งหากเขามีคุณสมบัติครบตามนี้แล้วล่ะก็ เขาเป็นเสียยิ่งกว่าคนที่ใช่เสียอีก เริ่มอยากรู้กันแล้วหรือยังว่ามีอะไรบ้าง งั้นมาดูกันเลยดีกว่า และเมื่อรู้แล้วก็อย่าปล่อยให้เค้าหลุดลอยนวลไปค่ะ เอ๊ยยย ไม่ใช่ อย่าคิดนานไปค่ะ...

1. สำหรับเขาคุณสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเสมอ

หากชายใดตกลงใจว่าจะมั่นคงกับใครคนหนึ่งแล้ว สาวผู้นั้นจะเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตของเขาทุก ๆวัน และจะพยายามทำทุกทางที่แสดงออกให้รู้ว่าเค้าจริงจังและมีความจริงใจใหักับคุณรวมทั้งคำพูดและการกระทำ โดยที่คุณไม่ต้องเอ่ยปากขอเลยหล่ะ


2. เมื่อมีปัญหาเขาจะอยู่กับคุณเสมอ

พ่อเทพบุตรตัวจริงพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ แม้ในช่วงเวลาลำบากที่ยากจะก้าวข้ามไป ในช่วงเวลาที่กดดันและตึงเครียดที่สุดในชีวิต เขาจะอยู่เคียงข้างคอยปลอบใจหรือจับมือไว้ไม่หนีห่าง และยังคงยืดหยัดอยู่เคียงข้างให้คุณอุ่นใจได้เสมอ อีกยังทั้งเวลาที่คุณต้องการกำลังใจ ก็ไม่ต้องมองไปไหนไกล เพราะเขาจะอยู่ข้างๆกายคุณตลอดอยู่เสมอ


3. ต่อให้ทำตัวเปิ่นประหลาดเขาก็ไม่นึกรังเกียจ

ชายผู้มอบหัวใจให้กับคุณจะเป็นคนที่มองเห็นความดีงามพร้อมๆกับมักมองข้ามข้อด้อยของคุณได้ แถมไม่รังเกียจหรือขัดอกขัดใจกับกับนิสัยบางอย่างที่ออกจะเพี้ยนๆ ไม่ค่อยน่ารักของคุณอีกด้วย เช่น บางครั้งคุณก็กินน้ำจากขวดโดยไม่เทใส่แก้ว, ชอบนั่กกระดิกขา หรือใส่ยีนส์ตัวเดิมซ้ำได้เป็นสัปดาห์เป็นต้น นอกจากเขาจะไม่นึกรังเกียจแล้ว บางทีก็อาจมองเป็นเรื่องที่เป็นสเน่ห์ของคุณด้วยนะ


4. เขาทำให้คุณรู้ว่าเขาแคร์และเอาใจใส่คุณแค่ไหน

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน คือการดูแลเอาใจใส่กันและกัน เขาอาจไม่ต้องแสดงออกว่าเขารักและเอาใจใส่คุณโดยการส่งดอกไม้ให้ทุกวัน แต่แค่แสดงถึงความใส่ใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวคุณก็พอ เช่น ส่งข้อความคอยให้กำลังใจในวันที่คุณมีพรีเซนท์การประชุม,เตือนให้คุณทานยาหลังอาหาร หรือตรวจเช็คลมยางรถของคุณเสมอ ฯลฯ ทุก ๆอย่างที่เกี่ยวกับตัวคุณไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่จะไม่ลอดสายตาเขาไปอย่างแน่นอน


5. ใจดีมีเมตตา

ฟังแล้วเหมือนพระเอกละครหลังข่าวชอบกล แต่ก็เป็นคุณสมบัติที่มองข้ามไม่ได้ค่ะ เพราะคุณมั่นใจหรือเปล่าว่า คนข้างกายคุณของคุณเป็นคนน่ารักใจดี ไม่ใช่แค่กับคุณหรือคนรู้จักของคุณเท่านั้น แต่ต้องเป็นกับคนทั่ว ๆไปด้วย ทั้งนี้จะต้องเป็นการกระทำที่สม่ำเสมอจริงใจ ทั้งตอนที่คุณเห็นและตอนที่คุณไม่เห็น (แต่แอบดูอยู่) ด้วยนะคะ


6. เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย

คนข้างกายที่จะเป็นคนที่ใช่ของคุณ ต้องเป็นคนที่คุณไว้วางใจได้ ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม มีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่โอนเอนง่ายๆ อย่าลืมนะว่าคนที่คุณคาดหวังให้เขาเป็นคนที่ใช่สำหรับคุณ ต้องเป็นคนที่คุณจะใช้ชีวิตร่วมด้วยไปอีกแสนนาน คำพูดของเขาจึงต้องหนักแน่น ไม่แปรเปลี่ยน รวมถึงการกระทำยิ่งต้องมั่นคงกว่าคำพูดด้วยค่ะ


7. เขาพร้อมที่จะวางอนาคตร่วมกับคุณ

ในการคบหากันนั้น เมื่อถึงเวลาที่สมควรและทุกอย่างเป็นใจ คนสองคนก็จะตกลกปลงใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ซึ่งคนที่ใช่สำหรับคุณ เขาจะต้องวางแผนอนาคตที่มีคุณอยู่ในนั้น และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเข้าหาคุณ เพื่อให้มั่นใจว่าอนาคตของเขาและอนาคตของคุณคือเส้นทางสายเดียวกัน


8. เขารับมือกับสภาวะอารมณ์ของคุณได้

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงนั้นการแสดงออกทางอารมณ์่จะชัดเจนกว่าผู้ชายมาก ทำให้ผู้หญิงดูมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ่อยๆอยู่เสมอ ผู้ชายที่จะเป็นคนที่ใช่ของคุณเค้าจะเรียนรู้วิธีการรับมือ กับช่วงเวลาที่อารมณ์แปรปรวนของคุณโดยไม่ปริปากบ่นว่า คุณใช้นิสัยแบบผู้หญิงๆหรือบอกว่าคุณขี้บ่นเหมือนแม่ของเขาแน่นอน


9. เป็นคนมีเหตุผล

วิธีการแก้ปัญหาในยามที่คุณทั้งสองมีเรื่องไม่เข้าใจกัน ก็เป็นอีกทางที่คุณจะได้ลอบสังเกตว่าเขา "ใช่" สำหรับคุณหรือไม่ การแสดงออกของเขาจะต้องสมเหตุสมผล และไม่ขัดแย้งกับบุคลิกในยามปกติ เขาคนนั้นจะพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของคุณตั้งแึต่ต้นจนจบ โดยไม่เถียงหรือแย้งแทรกขึ้นมากลางคัน รวมถึงพร้อมที่จะรับฟังและยอมรับข้อเสียของตัวเอง โดยไม่อารมณ์เสียหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วย


10. มีความเป็นผู้ใหญ่

เรื่องนี้ไม่ได้วัดกันที่อายุ แต่ดูที่ความเป็นผู้ใหญ่ในการใช้ชีวิต เพราะชายที่จะเป็นคนที่ใช่สำหรับคุณ ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ ในการมองโลก และมีทัศนคติต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างรู้เท่าและเข้าใจ หนุ่มคนไหนที่ยังคงดื้อดึงยืนยันที่จะไม่โอนอ่อนไปกับสภาพแวดล้อม นอกจากจะไม่มีความเป็นผู้ใหญ่มากเพียงพอแล้ว ยังจัดเป็นคนที่อ่อนความรับผิดชอบอีกด้วย หากเป็นเสียแบบนี้น่ากลัวว่าจะไม่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ให้ราบรื่นได้สักเท่าไหร่

อ่ะหล่ะทีนี้ครบ10 ข้อแล้วลองมองหนุ่มๆข้างกายว่าของใครมีคุณสมบัติตรงตามนี้ทุกข้อบ้างถ้ามีก็ขอแสดงว่าคุณได้เจอกับคนที่ใช่แล้ว ส่วนหนุ่มๆของใครเข้าข่ายเพียงบางข้อก็ไม่ต้องเสียใจไปเขาอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างเพียงแต่คุณมั่นใจว่าเขารักคุณจริงเท่านั้นก็มีความหมายกว่าทุกอย่างแล้วหล่ะ.....

กินไอศกรีมดับร้อนบอกนิสัย

 

ในช่วงนี้ทีอากาศเเสนจะร้อนอบอ้าวซะขนาดนี้ บางคนคงมีวิธีการคลายร้อนได้หลายแบบ เช่น อาบน้ำ ปะแป้งเย็นๆ ตากพัดลม เปิดแอร์ หรือไปหลบร้อนตามห้างต่างๆ หรือบางคนอาจจะทานอาหารเย็นๆ เช่นขนมหวานเเช่เย็น น้ำเเข็งใส หรือไอศครีมเย็นๆ เพื่อคลายร้อน ที่นี้พอพูดถึงเรื่องของไอศครีม ความเย็นฉ่ำของไอศครีม ยิ่งเป็นไอศครีมแท่งยิ่งเย็นอร่อยได้ใจ เพียงแค่ริมฝีปากได้สัมผัสกับเนื้อไอศครีมหวานๆเย็นๆก็อาจทำให้คลายร้อนลงไปได้บ้างไม่มากไม่น้อย แต่เพื่อนๆรู้หรือไม่ว่าการกินไอศครีมนั้นสามารถบ่งบอกถึงนิสัยและลักษณะบุคคลิกของผู้กินได้เหมือนกันว่าเป็นคนกินเป็นนิสัยใจคอแบบใหน เอาหล่ะเราลองมาดูกันว่าคนใกล้ตัวของเรา หรือเพื่อนๆของเราเป็นคนแบบใหนกัน 

คนที่ชอบกัดไอศกรีมคำแรกแสนอร่อย บ่งบอกว่าเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างดื้อ ชอบยึดติดกับความคิดของตัวเองไม่ค่อยมีความอดทน แต่ชอบทำงานหาเงิน โผงผาง ขี้โวยวาย เอาแต่ใจตัวเอง และค่อนข้างดื้อรั้น บางครั้งชอบความรุนแรง ต้องการเป็นคนที่เด่นกว่าผู้อื่น ชอบทำงานและซื่อตรงน่าคบหาเป็นเพื่อน สามารถเป็นที่พึ่งให้คนอื่น หรือคู่รักที่เชื่อถือได้

ส่วนที่ชอบกินไอศกรีมแบบค่อยๆดูด และขบริมๆ ขอบ ๆ ไปเรื่อยๆบ่งบอกถึงการเป็นคนที่ไม่ชอบวิ่งชนกับปัญหาและแคร์กับปัญหาต่างๆว่าแก้ไขแล้วจะดีขึ้นหรือไม่ เป็นคนช่างระมัดระวัง รอบคอบ บางครั้งก็ดึงตัวเองออกจากความวุ่นวายโดยไม่แคร์เพื่อน บางครั้งก็แก้ปัญหาได้ดีนอกจากนี้ยังเป็นคนอ่อนไหวและเอื้ออารี 

หากเป็นคนที่กินช้าจนไอศกรีมละลายเปรอะไปหมด มักเป็นคนที่มีหัวใจเป็นเด็ก ชอบคิดถึงเรื่องในอดีตที่ทำให้ตัวเองมีความสุข หรืออาจทำตัวเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา  

ส่วนคนที่ชอบกินไอศกรีมแบบค่อย ๆ เล็มทีละนิด โดยเริ่มจากรอบนอกถ้วยก่อนกินนั้น บ่งบอกได้ว่า เจ้าตัวเป็นคนที่มีความระมัดระวัง ทำอะไรคิดรอบคอบก่อนเสมอ,เชื่อฟังผู้ใหญ่ และเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี

สำหรับคนที่เอร็ดอร่อยกับการกินไอศกรีมแบบเลียจนหมด แสดงว่าเป็นคนปราดเปรียว ไม่เฉื่อยชา เฉยนิ่ง ชอบสังคม ชอบเรื่เเองท้าทาย และอยากให้ผู้คนสนใจ รักการได้รื่นเริงเฮฮาปาร์ตี้ กระตือรือร้น และทะเยอทะยานสูง

ส่วนคนที่ชอบใช้ลิ้นเลียริมผีปากหรือไอศกรีม เป็นคนที่ชอบพบปะคนแปลกหน้า เข้ากับคนอื่นได้ง่าย รักความสนุก ร่าเริง และชอบให้คนอื่นเห็นความสำคัญของตัวเอง

ที่นี้เพื่อนลองสังเกตุดูเอาว่าคนข้างเราเป็นแบบที่ว่าจริงหรืิอเปล่า.....

ที่มา -- dailynews

28.4.12

สร้างร่างกายให้สวยเซ็กซี่ตามอายุ

 
      วันนี้เอาวิธีการสร้างร่างกายใ้ห้เเข็งแรงและสวยเซ็กซี่ตามอายุมาฝากกันค่ะ เพราะผู้หญิงเราส่วนมากยอมกันได้ีที่ใหนใช่ม่ะเรื่องความสวยเนีีย ลองใครมาทักกันสิ ว่าไปทำอะไรมาถึงได้ดูดีกว่าแต่ก่อน หรือ เอ๊ะ....ไม่น่าเชื่อเลยว่าอายุขนาดนี้แล้วยังดูดีอยู่เลย รับรองค่ะ ยิ้มกันแก้มปริแน่นอน เอาหล่ะเรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง...


20+ สร้างแกนที่แข็งแรง

เริ่มสร้างแกนของร่างกายที่แข็งแรงในวันนี้ เพื่อช่วยให้เรามีบุคลิกภาพที่ดียิ่งขึ้นและป้องกันปัญหาปวดหลังเมื่ออายุมากขึ้น

ท่าไม้กระดาน

นอนคว่ำราบลงกับพื้น ดันตัวขึ้นมาโดยใช้ท่อนแขนยันพื้นเอาไว้

ยกลำตัวขึ้นให้นิ้วเท้ากับท่อนแขนคอยรับน้ำหนัก (จะสังเกตได้ว่าตอนนี้ทำท่าคล้ายวิดพื้น)

พยายามให้แผ่นหลังอยู่ในลักษณะธรรมชาติ แขม่วหน้าท้อง ค้างท่านี้ 20-60 วินาที ทำซ้ำครั้งละ 3-5 เซ็ต

30+ ยกกระชับสะโพก

สาวในวัยนี้มักจะใช้เวลาไปกับการนั่งโต๊ะทำงาน จึงต้องกระชับสะโพกเพื่อความอ่อนเยาว์

ท่าสะพาน

นอนหงายลงบนเสื่อหรือผ้าขนหนู แล้วชันเข่าขึ้นมา เท้าราบเรียบไปกับพื้น

วางแขนไว้ข้างลำตัว คว่ำฝ่ามือเอาไว้

พอมั่นคงดีแล้ว ให้ยกสะโพกจนสูงสุดเท่าที่ทำได้ และเกร็งสะโพกเอาไว้ก้วย

หยุดเกร็งสะโพกและหย่อนสะโพกลงจนเกือบแตะเสื่อ จากนั้น ทำซ้ำประมาณ 12-15 รอบ ครั้งสุดท้ายให้เกร็งนานไว้ 10 วินาที ทำเช่นนี้วันละ 2-3 เซ็ต

40+ บอกลาแขนหย่อนยาน

อย่าปล่อยให้เวลากับแรงโน้มถ่วง มาดึงท้องแขนให้ตกลงหย่อนคล้อย

ท่าคุกเข่าวิดพื้น

คุกเข่าให้หน้าแข้งราบไปกับพื้น จากนั้นให้ก้มตัวโดยใช้มือรับน้ำหนักด้านหน้า อยู่ในระดับเดียวกับหัวไหล่

โน้มตัวลงมาข้างหน้า ในจังหวะนี้ให้ไขว้ข้อเท้าไปด้วย เมื่อโน้มตัวลงมาแล้วให้เว้นระยะระหว่างพื้นกับหน้าอกไว้ประมาณ 3 นิ้ว แล้วกลับมาที่ท่าเดิม ทำซ้ำ 1-3 เซ็ต เซ็ตละ 12 รอบ

แค่นี้เพื่อนก็มีรูปร่างที่สวยเพรียวตามอายุกันได้แล้วค่ะ


23.4.12

วิธีเด็ดในรักษาน้ำหนักให้คงที่

 
      เมื่อคราวที่แล้วเราพูดถึง ความลับน่ารู้ของการเผาผลาญพลังงานกันไปแล้ว วันนี้ก็เลยหาวิธีเด็ด ในการรักษาน้ำหนักให้คงที่มาฝากเพือนกัน เอาหล่ะเรามาเริ่มดูก้ันสิว่ามีวิธีเด็ดๆแบบใดบ้าง

1. เดินออกกำลัง โรคอ้วนกำลังระบาดไปทั่วอเมริกา และมีแนวโน้มว่าจะระบาดหนักขึ้นอีกในทศวรรษหน้านี้ การใช้เวลาพิเศษ 20 นาที เพื่อให้ร่างกายได้มีกิจกรรมมากขึ้น หรือการเดินวันละ 2,000 ก้าว คือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่ม ถ้าอยากรู้ว่าคุณเดินกี่ก้าวแล้วน่ะเหรอ ก็ลองใช้เครื่อง Pedometer หรือมาตรวัดจำนวนก้าวติดที่เข็มขัด แล้วก็ออกเดินได้เลย ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม ตั้งแต่จูงสุนัขเดินเล่นหรือออกไปซื้อของแถวบ้าน


2. กินแอปเปิ้ลแบบสโนว์ไวท์ แอปเปิ้ลมีวิตามิซี 15 เปอร์เซ็นต์ ของทั้งหมด ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันเชียวนะ เพื่อที่จะเสริมสร้างให้ร่างกายทุกส่วนมีสุขภาพดี โดยทั่วถึงแอปเปิ้ลอุดมด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง ในการไดเอ็ต ลองกินแอปเปิ้ลหรือผลไม้อื่น ๆ วันละสักสองสามลูก หรือมากกว่านั้นดูสิ


3. เซย์โนไขมันแปรรูป แย่พอๆ กับไขมันอิ่มตัวนั่นแหละ ไขมันแปรรูปทำให้ระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม และโปรตีนไลปิดความหนาแน่นต่ำ (LDL) ซึ่งเป็นระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีสูงขึ้น แต่กลับไปลดระดับโปรตีนไลปิดความหนาแน่นสูง (HDL) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายลง การบริโภคไขมันแปรรูปอาจไปขัดขวางการดูดซึมไขมันที่ดีต่อสุขภาพที่จำเป็นต่อการเติบโต และการทำงานของอวัยวะสำคัญ


4. ดื่มแอลกอฮอล์ได้บ้าง ที่อนุญาตให้ดื่มนี้หมายถึงวันละหนึ่งถึงสองแก้ว ต่อวันสำหรับผู้ชาย และหนึ่งแก้วเท่านั้นสำหรับผู้หญิง หากดื่มมากเกินปริมาณที่พอเหมาะ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่คุณจะเสพติดแอลกอฮอล์ มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคอ้วน หลอดเลือดสมองตีบ มะเร็งเต้านม และยังเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายและประสบอุบัติเหตุด้วยนะ


5. กินวิตามินเสริม จาการวิจัยของ Journal of Nutrition พบว่า การกินวิตามินรวมทุกวันช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดหัวใจกำเริบครั้งแรก ทั้งในเพศชายและหญิง ซึ่งผู้เขียนรายงานการวิจัยคิดว่า เป็นผลมาจากวิตามินบีที่พบอยู่ในวิตามินรวม เช่นเดียวกับวิตามินซีและอีที่ต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุอย่างซีลีเนียมและเบต้าแคโรทีน วิตามินเสริมนี้ไม่สามารถจะแทนที่คุณค่าอาหารที่คุณได้จากอาหารปกติได้ แต่มันก็ช่วยปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย


6. เพลา ๆ เกลือลงหน่อย สำหรับคนที่ชอบเติมเกลือในอาหาร การที่ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง โดยชาวอเมริกันมากกว่า 50 ล้านคน หรือเท่ากับหนึ่งในสี่ของทั้งประเทศมีความดันโลหิตสูง โดยที่หนึ่งในสามของคนเหล่านี้ไม่รู้ตัวเลย ซึ่งความดันโลหิตสูงนั้นเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคไต และหลอดเลือดสมองตีบ แบบนี้แล้วใช้เครื่องปรุงอื่น ๆ ปรุงรสอาหารดีกว่านะ


7. จำไว้ว่าสีน้ำตาลดีกว่าสีขาวนะ แป้งโฮลวีตนั้นมีสารอาหารและเส้นใยอาหารมากกว่าแป้งขัดสี ลองเปลี่ยนมากินขนมปังโฮลวีตแทน ขนมปังขาว และกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวดีกว่านะ ซึ่งข้าวโพดคั่วและข้าวโอ๊ตบดหยาบก็ถือเป็นธัญพืชเช่นกัน


8. กินโยเกิร์ต เป็นที่รู้กันว่าแคลเซียมในโยเกิร์ต ทำให้กระดูกแข็งแรง แต่มีเหตุผลมากกว่า ที่จะกินโยเกิร์ตเพื่อสุขภาพของกระดูก เพราะเดี๋ยวนี้โยเกิร์ตบางยี่ห้อยังมี Inulin ซึ่งเป็นไฟเบอร์คล้ายๆ คาร์โบไฮเดรต ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พบได้ในผักและผลไม้ ซึ่ง Inulin นี้ช่วยเพิ่มการทำงานให้เซลล์ที่มีชีวิต และป้องกันการเติบโตของแบคทีเรียในระบบย่อยอาหาร ที่สำคัญคือเป็นผู้ช่วยดูดซึมแคลเซียมด้วยอีกด้วย


9. ห่ออาหารกลับบ้าน เดี๋ยวนี้อาหารตามร้านอาหารหรือฟาสต์ฟู้ด มีจานใหญ่ขึ้นมากจริง ๆ และบางคน ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกินให้หมดจาน ดังนั้น เมื่อสั่งอาหารให้คุณขอแบ่งอาหารครึ่งหนึ่งใส่กล่องกลับบ้านแทนสิ เพื่อที่คุณจะสามารถเก็บไว้กินในวันต่อไปได้ด้วย จะได้ทั้งประหยัดค่าอาหารและมีรูปร่างสมส่วนไงล่ะ


10. ดื่มน้ำมาก ๆ น้ำนั้นสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญทั้งหมดในร่างกายเรา น้ำช่วยในย่อยที่ทำให้น้ำหนักลดลง และยังช่วยให้ผิวพรรณแลดูผ่องใสอีกด้วย เคล็ดลับสำคัญคือ ดื่มน้ำปริมาณ 8 ออนซ์ ต่อแก้ว วันละ 8-10 แก้ว หรือถ้าคุณกินผักและผลไม้ที่มีส่วนประกอบของน้ำ ก็จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกายได้เหมือนกัน


ที่มา -- หนังสือ lisa



22.4.12

ความลับน่ารู้ของการเผาผลาญพลังงาน

 

     หลังจากหยุดงานมาหลายวัน และดื่มกินเที่ยวชนิดลืมตัวกัน ทำให้หลายๆคน มีน้ำหนักตัวทีเพิ่มขึ้นทำให้เราอึดอัดเอาได้ เอาหล่ะเรามาดูกันสิว่าวิธีการเผาผลาญพลังงานอย่างง่ายๆคืออะไร ที่ตออบกันส่วนมากนั้่นก็คือ การดื่มน้ำนั่นเอง เอาหล่ะเรามาดูกันสิว่า มีวิธีไหนอีกที่เด็ด ๆ อีกบ้าง

1. ร่างกายของคุณจะเผาผลาญแคลอรีมากกว่า เวลาย่อยอาหารและเครื่องดื่มเย็นจัด  

จริงค่ะ แต่ก่อนที่คุณจะรีบไปกินไอศกรีม ฟังนี่ก่อน ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ความแตกต่างที่เกิดขึ้นอาจเล็กน้อยมากจนเห็นไม่ได้ชัดเจน โดยงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัด ๆ 5-6 แก้วต่อวัน อาจช่วยคุณเผาผลาญได้มากขึ้นราว 10 แคลอรีต่อวัน แต่ถึงแม้มันจะเล็กน้อยมาก ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะดื่มของเหลวไม่มีแคลอรีอย่างน้ำเปล่า ชา หรือกาแฟ (ไม่ใส่ครีมและน้ำตาล) กับน้ำแข็ง เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

2. การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่า

เพราะปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกายคุณทั้งหมด รวมทั้งการเผาลาญพลังงานต้องอาศัยน้ำ ถ้าคุณขาดน้ำ คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้น้อยลงราว 2% นี่เป็นผลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยยูท่าห์ ซึ่งติดตามดูระดับการเผาผลาญพลังงานของผู้ใหญ่ 10 คนในขณะที่ดื่มน้ำในปริมาณที่ต่างกันในแต่ละวัน โดยคนที่ดื่มน้ำแก้วละ 8 ออนซ์ 8-12 แก้วต่อวันมีระดับการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนที่ดื่มแค่สี่แก้ว

3. อาหารเผ็ดร้อนจะทำให้ระบบเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

ก็เพราะว่า แคปไซซิน สารประกอบที่ทำให้พริกมีความเผ็ดร้อนช่วยขับเหงื่อ ที่อาจทำให้การเผาลาญพลังงานของคุณเพิ่มขึ้น พร้อมทำให้รู้สึกอิ่มและลดความหิว การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินพริกราว 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งเท่ากับแคปไซชิน 30 ม. ทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นชั่วคราวถึง 23%  ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ให้คนกินพริก 0.9 กรัมผสมในน้ำมะเขือเทศ หรือในรูปแคปซูล ก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ นักวิจัยพบว่า แต่ละคนลดปริมาณการรับแคลอรีลงไปได้ราว 10 หรือ 16% เป็นเวลาสองวันหลังจากนั้น

4. การกินโปรตีนช่วยให้การเผาผลาญของคุณเพิ่มขึ้น

จริงค่ะ โปรตีนให้ประโยชน์ทางด้านการเผาผลาญ เมื่อเทียบกับไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานมากกว่าในการย่อยมัน การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า คุณอาจเผาผลาญแคลอรีได้มากถึงสองเท่า ในขณะย่อยโปรตีนมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ตามปกติอาหารของเราจะมีโปรตีนราว 14% ลองเพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัว (โดยลดคาร์โบไฮเดรตลงเพื่อชดเชย) คุณจะเผาผลาญได้เพิ่มขึ้น 150-200 แคลอรีต่อวัน


credit -- หนังสือ lisa


21.4.12

ทำนายดวง จากการกระตุกของตา



สวัสดีค่ะ หายไปเลยวันช่วงกรานต์ที่ผ่านมา แต่ตากระตุกมาห้าวันติดเลยเฮ้ยใจไม่ดี เลยไปหาข้อมูลมาวันมันเป็นลางร้าย หรือลางดีกันแน่ เพราะทำยังไงมันก็ยังไม่หาย....ได้ความว่า ในเรื่องสุขภาพ น่าจะเป็นเพราะกล้ามเนื้อส่วนนั้น โดนใช้งานอย่างหนัก ไม่ก็เกร็งมากไปหน่อย แต่ถ้าทางโหราศาสตร์หล่ะก็....

"การเขม่น"

การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านขวา หมายถึง การจะถูกหักหลัง


การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคนรักบ่นถึง

การเขม่นที่หางตาทางด้านขวา หมายถึง การจะได้โชคลาภ ได้รับเงินทอง

การเขม่นที่หางตาทางด้านซ้าย หมายถึง การจะไม่สบายใจ การเจ็บป่วย

การเขม่นที่หน้าผาก หมายถึง การจะเสียของรัก

การเขม่นที่ตาทางด้านขวา หมายถึง การจะมีคนนำโชคลาภมีให้

การเขม่นที่ตาทางด้านซ้าย หมายถึง การที่มีผู้หญิงบ่นถึง

การเขม่นที่หูทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับข่าวไม่ค่อยดี

การเขม่นที่หูทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับข่าวดี

การเขม่นที่จมูก หมายถึง การจะมีเรื่องมีราวที่ไม่ดี

การเขม่นที่แก้มทางด้านขวา หมายถึง การจะได้ลาภจากคนรัก

การเขม่นที่แก้มทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีความสุขสมหวังกับคนรัก

การเขม่นที่ริมฝีปาก หมายถึง การจะมีโชคลาภทางอาหารการกิน

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านบน หมายถึง การจะมีคนเลี้ยงไปงานเลี้ยง

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านล่าง หมายถึง การจะได้รับข่าวดีจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลาภจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีปากเสียงทะเลาะวิวาท

การเขม่นที่คาง หมายถึง การจะประสบปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ทางครอบครัว

การเขม่นที่ต้นคอ หมายถึง การจะประสบอุบัติเหตุ

การเขม่นที่คอทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลูกชายเป็นที่น่าพึงพอใจ

การเขม่นที่คอทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลูกสาวเป็นที่น่าพึงพอใจ

การเขม่นที่ไหล่ทางด้านขวา หมายถึง การจะเสียเงินเสียทองของรัก

การเขม่นที่ไหล่ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ

การเขม่นที่รักแร้ทางด้านขวา หมายถึง การจะเกิดความเดือดร้อน

การเขม่นที่รักแร้ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลาภ มีข้าวของเงินทอง

การเขม่นที่แขนทางด้านขวา หมายถึง การจะได้ลาภจากการเดินทาง

การเขม่นที่แขนทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับข่าวดี

การเขม่นที่ข้อศอกทางด้านขวา หมายถึง การมีญาติพี่น้องมาเยี่ยม

การเขม่นที่ข้อศอกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคนรักที่น่าพึงพอใจ

การเขม่นที่มือทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับเงินทองเป็นของรางวัล

การเขม่นที่มือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศ

การเขม่นที่หลังฝ่ามือทางด้านขวา หมายถึง การจะมีคนมาติดต่อเรื่องงาน

การเขม่นที่หลังฝ่ามือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับจดหมายจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่นิ้วหัวแม่มือ หมายถึง การจะมีคนมาขอรับปรึกษา

การเขม่นที่นิ้วชี้ หมายถึง การจะเกิดเรื่องเกิดราว

การเขม่นที่นิ้วกลาง หมายถึง การจะมีคนมาขอให้เป็นพยาน

การเขม่นที่นิ้วนาง หมายถึง การจะได้รับข่าวดีจากต่างเพศ

การเขม่นที่นิ้วก้อย หมายถึง การจะมีคนดูถูก

การเขม่นที่หน้าอก หมายถึง การจะพบเพศตรงข้ามที่พึงพอใจ

การเขม่นที่หัวนมทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่หัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้เดินทางไกล

การเขม่นที่ฐานหัวนมทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับข่าวจากคนรัก

การเขม่นที่ฐานหัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การที่คนรักจะคิดถึงมาก

การเขม่นที่สีข้างทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภ

การเขม่นที่สีข้างทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้ลาภจากเพศตรงข้าม

การเขม่นที่สะโพกทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคกับเพศตรงข้าม

การเขม่นที่สะโพกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคู่ครองได้แต่งงาน

เอาละจริงไม่จริงก็ลองดูละกันนะค่ะ แต่ที่แน่ๆตอนนี้อยากให้มันเขม่นที่สะโพกทางด้านซ้่ายจังเลย ฮิๆๆๆ



17.4.12

9. พระพิฆเนศวร วัดพระศรีมหาทุรคามณเฑียร


 
พระพิฆเนศปางลีลาประทานพรในวัดศรีสุดาราม

สถานที่สุดท้ายที่จะแนะนำกันในวันนี้ เป็นวัดไทยที่มีพระพิฆเนศประดิษฐานไว้ นั่นก็คือ "วัดศรีสุดาราม" ย่านบางขุนนนท์ หรือที่เรียกกันว่าวัดชีปะขาว วัดแห่งนี้เคยเป็นสถานศึกษาของสุนทรภู่ กวีเอกของโลก ภายในจึงมีอนุสาวรีย์สุนทรภู่ตั้งอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นที่นับถือของชาวบ้านในแถบนั้น
และสำหรับองค์พระพิฆเนศที่วัดนี้นั้น ก็ประดิษฐานอยู่ใกล้กับองค์หลวงพ่อโต โดยมีผู้ที่ศรัทธามาสร้างถวายวัดเอาไว้ เป็นพระพิฆเนศปางลีลาประทานพร แต่ผู้คนมากราบไหว้ค่อนข้างบางตา อาจเพราะยังไม่ทราบว่ามีพระพิฆเนศอยู่ภายในวัดด้วยเช่นกัน
 ข้อมูลสถานที่ : วัดแห่งนี้กำเนิดขึ้นจากความร่วมมือของกลุ่มนักธุรกิจชาวอินเดีย สมาคมฮินดูสมาช และ สมาคมฮินดูธรรมสภา เพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวฮินดูในย่านนี้ วัดพระศรีมหาทุรคามณเฑียร กำลังดำเนินการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ มีบัณฑิตพราหมณ์จากสมาคมฮินดูสมาช หรือ วัดเทพมณเฑียร เดินทางมาประกอบพิธีให้เป็นประจำ ชาวไทยสามารถเข้าไปสักการะองค์เทพภายในได้
    เทวรูปที่ประดิษฐาน : เทพทุกพระองค์ แกะสลักจากหินอ่อน แต่ละองค์ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ล้วนเต็มไปด้วยพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากวัดแห่งนี้ สร้างขึ้นจากความศรัทธาของชาวฮินดูที่รักในองค์เทพอย่างเต็มเปี่ยม
 ตั้งอยู่ที่ : ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 5 เขตคลองสาน
เวลาเปิด : 15.00 - 19.00 น. (ร่วมพิธีอารตีได้ทุกวัน)





16.4.12

8. เทวาลัยพระพิฆเนศวร วัดศรีสุดาราม



สำหรับที่สถานที่จะแนะนำกันในวันนี้ เป็นวัดไทยที่มีพระพิฆเนศประดิษฐานไว้นั่นก็คือ "วัดศรีสุดาราม" ย่านบางขุนนนท์ หรือที่เรียกกันว่าวัดชีปะขาว วัดแห่งนี้เคยเป็นสถานศึกษาของสุนทรภู่ กวีเอกของโลก ภายในจึงมีอนุสาวรีย์สุนทรภู่ตั้งอยู่ด้วย อีกทั้งยังมีรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นที่นับถือของชาวบ้านในแถบนั้น

และสำหรับองค์พระพิฆเนศที่วัดนี้นั้น ก็ประดิษฐานอยู่ใกล้กับองค์หลวงพ่อโต โดยมีผู้ที่ศรัทธามาสร้างถวายวัดเอาไว้ เป็นพระพิฆเนศปางลีลาประทานพร แต่ผู้คนมากราบไหว้ค่อนข้างบางตา อาจเพราะยังไม่ทราบว่ามีพระพิฆเนศอยู่ภายในวัดด้วยเช่นกัน



         ข้อมูลสถานที่ : วัดนี้เดิมเป็นวัดโบราณ ชื่อ วัดชีปะขาว หรือ วัดชีผ้าขาว บางทีเรียก วัดปะขาว ก็มีสันนิษฐานว่าสร้างมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว) ซึ่งเป็นพระพี่นางเธอของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์มาแต่ในรัชกาลนั้น ครั้นล่วงมาน้ำได้เซาะตลิ่งพังเข้ามาจนถึงหน้าพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาขุนมนตรีเป็นแม่กองสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ โดยเลื่อนขึ้นจากที่เดิม ทรงโปรดให้เจ้าพนักงานปักกำหนดเขตรอบโรงพระอุโบสถลงใหม่ ใช้แทนวิสุงคามสีมาเดิม แล้วโปรดให้ลงเขื่อนหน้าวัด เพื่อป้องกันน้ำเซาะตลิ่งจนเป็นผลสำเร็จ ครั้นการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดศรีสุดาราม ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เชื่อกันว่าสุนทรภู่เคยเรียนอยู่ที่นี่

          เทวรูปที่ประดิษฐาน : เทวรูปพระพิฆเนศ ปางยืน มีพระพิฆเนศองค์เล็กสำหรับ "เสี่ยงทาย" โดยให้ทำการอธิษฐาน ผลการอธิษฐานเป็นเช่นไร ขอให้องค์พระพิฆเนศหนักเบา ดังนี้…

          ยกครั้งที่ 1 ถ้าสิ่งที่อธิษฐานจะเป็นผลสำเร็จ จะสามารถยกพระพิฆเนศขึ้นจรดหน้าผากได้
          ยกครั้งที่ 2 ถ้าสิ่งที่อธิษฐานจะเป็นผลสำเร็จ เทวรูปพระพิฆเนศจะหนักมาก ยกไม่ขึ้น

          หากยกทั้งสองครั้ง เบาหนักสลับกัน หรือเบาทั้งสองครั้ง หรือหนักทั้งสองครั้ง สิ่งที่อธิษฐานจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จยากต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูง

          ตั้งอยู่ที่ : ริมคลองบางกอกน้อยฝั่งตะวันตก เลขที่ 83 แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

          เวลาเปิด : ตามเวลาวัด 06.00 - 18.00 น.


15.4.12

7. พระพิฆเนศ วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรุงเทพ


วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรุงเทพมหานคร เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีเทวรูปขององค์พระคเณศประดิษฐานอยู่ เพื่อให้สานุศิษย์ทั้ง นักศึกษา ครูอาจารย์ พนักงานรวมถึงประชาชนทั่วไป ที่ศรัทธาในพระองค์ได้เข้าไปกราบสักการะ ประดิษฐานอยู่ทางทิศใต้ของพระอุโบสถ วัดบวรสถานสุทธาวาส หรืออีกชื่อหนึ่งคือ วัดพระแก้ววังหน้า (เนื่องจากในอดีตบริเวณวิทยาลัยนาฏศิลป์เป็นที่ตั้งของวัดบวรสถานสุทธาวาส วัดประจำพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า)

เทวรูปพระคเณศองค์นี้มีขนาดสูงประมาณ ๒๕๐ เซ็นติเมตร ประดิษฐานอยู่บนแท่นสองชั้น ด้านหลังองค์เทวรูปเป็นแผ่นหินกลม มีสี่พระกร ทรงวัชระ ปาศะ ทันตะ และหม้อ(หรือขัน)น้ำ ประทับนั่งในลักษณะแยกพระชงฆ์ออกจากกันโดยฝ่าพระบาททั้งสองข้างหันเข้าหากัน ทรงเครื่องเทวพัสตราภรณ์ประดับด้วยงูและหัวกะโหลก ซึ่งถือเป็นลักษณะทางประติมากรรมที่ได้รับอิทธิพลจากชวา

เบื้องหลังความงามของเทวรูปองค์นี้ ได้รับการออกแบบโดยปรมาจารย์ทางด้านศิลปผู้ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และนายชิ้น ชื่นประสิทธิ์ เป็นผู้หล่อ โดยหล่อจากวัสดุปูนซีเมนต์ทั้งองค์ นับเป็นเทวรูปขนาดใหญ่ที่มีความงดงามและถือเป็นต้นแบบของพระพิฆเนศวรที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ทั่วประเทศนำไปเป็นต้นแบบสำหรับสร้างเพื่อประดิษฐานประจำยังวิทยาลัยนั้นๆ รวมถึงเป็นต้นแบบในการจัดสร้างวัตถุมงคลของทางกรมศิลปากรอีกด้วย (อาทิ พระคเณศรุ่นปี พ.ศ.๒๕๔๐ ๒๕๔๗ และล่าสุดคือรุ่นปี ๒๕๕๐)

สำหรับเวลาที่แนะนำให้ท่านที่ต้องการเดินทางไปสักการะนั้น ควรไปในวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลาระหว่าง ๘.๓๐ น. - ๑๕.๓๐ น. (ในวันและเวลาราชการ) เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ราชการ แต่ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปสักการะได้ แต่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่รักษษความปลอดภัยหน้าประตูทราบด้วยว่าท่านต้องการเข้ามาสักการะพระคเณศภายใน และต้องไม่ส่งเสียงอึกทึกรบกวน ตามมารยาทของผู้เข้าไปในสถานที่ราชการ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษาครับ)



         ข้อมูลสถานที่ : วิทยาลัยนาฏศิลป์ เป็นสถาบันการศึกษาที่ยึดมั่นในองค์พระพิฆเณศวรอย่างสูงสุด สถาบันแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของอุโบสถวัดพระแก้ววังหน้า เป็นที่ประดิษฐานพระพิฆเณศวร์ ซึ่งสร้างสรรค์โดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี โดยนายชื้น ชื่นประสิทธิ์ เป็นผู้ปั้นแบบ ประดิษฐานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 ถือว่าเป็นประติมากรรมองค์พระพิฆเนศวร์ที่งดงามที่สุดองค์หนึ่งของไทย กาลต่อ ๆ มาก็ได้มีการจำลองเทวรูปของวิทยาลัยนาฏศิลป์แห่งนี้ไปประดิษฐานยังสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะวิทยาลัยนาฎศิลป์ทั่วประเทศ ก็ได้จำลององค์พระพิฆเณศวร์แบบเดียวกันนี้ไปประดิษฐานด้วย

          เทวรูปที่ประดิษฐาน : พระพิฆเนศวร ปั้นหล่อด้วยปูนซีเมนต์ สูงถึง 250 เซ็นติเมตร ประทับนั่งบนแท่นหิน สวมพระกุณฑล หรือ ต่างหูเป็นรูปหัวกะโหลก มี 4 พระกร ทรงวัชระ งาหัก บ่วงบาศ และชามขนม สวมสายธุรำเป็นรูปงู ด้านหลังเทวรูปเป็นแผ่นหินทรงกลม อันหมายถึงจักรวาลและความรู้อันใหญ่หลวง

          ตั้งอยู่ที่ : บริเวณสนามหลวง เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ถนนราชินี เขตพระนคร กรุงเทพฯ (กรุณาแจ้ง รปภ.ก่อนว่าจะเข้ามาไหว้พระพิฆเนศ)

          เวลาเปิด : เปิดตามเวลาสถาบันการศึกษา

14.4.12

6. พระพิฆเนศ สี่แยกห้วยขวาง-รัชดา



           ข้อมูลสถานที่ : เหตุที่ต้องสร้างพระพิฆเนศวรบริเวณสี่แยกห้วยขวาง-รัชดา เพราะสมัยก่อนบริเวณดังกล่าวเกิดอุบัตติเหตุบ่อยครั้ง อาจารย์สุชาติ รัตนสุข จึงมีความเห็นว่าควรมีรูปเคารพองค์เทพตั้งไว้เพื่อแก้เคล็ด ต่อมาท่านมอบองค์พระพิฆเนศวรให้มาประดิษฐานไว้บริเวณดังกล่าว

          เทวรูปที่ประดิษฐาน : พระพิฆเนศองค์ประธานของที่นี่เป็น ปางยืนประทานพร 1 เศียร 4 กร ทรงวัชระ บ่วง ขนมโมทกะ และงา ทรงมุทราประทานพร ก้าวเดินบนดอกบัว ตั้งอยู่ด้านหน้า ได้รับการกล่าวขานกันว่า เป็นพระพิฆเนศที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีเทวรูปพระศิวะ พระอุมา และพระคเนศประทับร่วมกันอยู่ภายในศาล มีเทวรูปพระคเนศ 3 เศียร (ตรีมุข) พระโคนนทิ พระยาภิเภก พระพรหมเทพ เหล่าฤษี และ เทวรูปพระคเนศประทับร่วมกับพระชายาทั้งสอง

          ตั้งอยู่ที่ : ตรงหัวมุมบริเวณสี่แยกห้วยขวาง-รัชดา

          เวลาเปิด : เดินเข้าไปสักการะได้ตลอด 24 ชั่วโมง

5.พระพิฆเนศ วัดเทพมณเฑียร สมาคมฮินดูสมาช



เมื่อ 80 ปีที่ผ่านมา ในเทศกาลวิชัยทศมี ปี พ.ศ. 2468 หนึ่งในวันสำคัญของ ศาสนิกชนชาวฮินดู ชาวภารตะ (ชาวอินเดีย) ในประเทศไทย ได้ถือเป็นวันอุดมฤกษ์อันสำคัญ จึงพร้อมใจกันจัดตั้งสมาคมเพื่อรวมใจชาวภารตะให้เป็นหนึ่ง ณ อาคารเล็ก ๆ หลังหนึ่งในย่านหลังวังบูรพา (ใกล้โบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า) ในนาม "ฮินดูสภา" ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "สมาคมฮินดูสมาช" จนถึงปัจจุบัน

กิจกรรมของสมาคมฯ ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นับจากวันก่อตั้งอาคารที่ทำการคูหาเดียวในหลังวังบูรพา ต้องขยับขยายเป็น 3 คูหาติดต่อกันในเวลาต่อมา และด้วยเห็นความสำคัญต้องการสนับสนุนการศึกษา ของเหล่าเยาวชนของชาติ จึงได้จัดตั้ง "โรงเรียนภารตวิทยาลัย" ขึ้นในบริเวณเดียวกัน

ในการก่อสร้างอาคารสมาคมฮินดูสมาช และ โรงเรียนภารตวิทยาลัยแล้ว จึงได้ทำการก่อสร้าง โบสถ์เทพมณเฑียร ขึ้น และได้อัญเชิญเทวปฏิมา ของพระผู้เป็นเจ้าและเทพยดา อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวฮินดู มาจากประเทศอินเดีย (พร้อมกับแผ่นหินอ่อนแกะสลักทั้งหมด) และอัญเชิญดินศักดิ์สิทธิ์จากพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญ 4 แห่ง อันได้แก่ ลุมพินี (สถานที่ประสูติ) พุทธคยา (สถานที่ตรัสรู้) สารนาถ (สถานที่แสดงปฐมเทศนา) และ กุสินารา (สถานที่ปรินิพพาน) มาไว้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิริมงคล พร้อมกันนี้ได้อัญเชิญน้ำจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในอินเดีย เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา และ แม่น้ำสุรัสวดี ฯลฯ มารวมกันและนำมาประดิษฐานไว้ ณ โบสถ์เทพมณเฑียรแห่งนี้ เพื่อเป็นที่สักการะของเหล่าศาสนิกชนทั้งหลาย โดยสมาคมฯ ได้จัด พิธีเฉลิมฉลองการเปิดโบสถ์เทพมณเฑียรแห่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 11 มิถุนายน 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธี

หลักใหญ่ของสมาคมจะยึดมั่นอยู่กับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยกิจกรรมสำคัญประการหนึ่งของสมาคมซึ่งได้ยึดถือปฏิบัติกันเรื่อยมา คือการนัดชุมนุมกันในเวลากลางคืนของทุกวันจันทร์ 

นอกจากสวดมนต์และขับร้องเพลงถวายพระเจ้าแล้ว ก็มีการอ่าน และบรรยายความหมายของคำสอนใน คัมภีร์ภควัทคีตา บางครั้งก็มีการอ่านบทความว่าด้วยเรื่องราวทางศาสนา หรือวัฒนธรรม 

นอกจากนี้ยังมีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จากประเทศอินเดีย มาแสดงปาฐกถาให้ผู้ชุมนุมฟัง พร้อมทั้งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วย ต่อมาในปี พ.ศ.2482 ได้มีการตั้งโรงเรียนภารตวิทยาลัย มีการสอนภาษาฮินดี และภาษาอังกฤษ ให้เยาวชนอินเดียเป็นพิเศษในเวลากลางคืน 


"วัดเทพมณเฑียร" มีเทวรูปหินอ่อนประดิษฐานอยู่หลายองค์ด้วยกัน โดยมี พระวิษณุ และ พระแม่ลักษมี เป็นองค์ประธาน เทวรูปองค์อื่นๆ ก็มีอาทิ
พระพรหม ผู้สร้างโลก ดูงดงามอ่อนช้อยในศิลปะแบบอินเดียเหนือ 
พระแม่ทุรคา สัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็งและความมีอำนาจ 
พระพุทธเจ้า ชาวพราหมณ์ฮินดูถือว่าเป็นอวตารปางที่เก้าของพระนารายณ์ สัญลักษณ์แห่งความไม่เบียดเบียน (อหิงสา) 
พระราม และ ภควดีสีดา (พระแม่สีดา) พระรามเป็นอวตารปางที่เจ็ดของพระวิษณุ 
พระกฤษณะและชายา อีกอวตารหนึ่งของพระวิษณุนารายณ์
พระหนุมาน อวตารของพระศิวะ เพื่อคุ้มครองดูแลพระราม
พระแม่ลักษมี มหาเทวีผู้ยิ่งใหญ่ สัญลักษณ์แห่งความงามการรักษาความดี พระพิฆเนศวร (พระคเณศ) โอรสของพระอิศวรและพระแม่อุมา และยังมีอีกหลายองค์ที่ชาวฮินดูและชาวไทยให้ความเคารพนับถือ

พิธีกรรมภายในวัดเทพมณเฑียรในแต่ละวัน เรียกว่า "พิธีอารตี" คือการถวายไฟแก่ทวยเทพ มีขึ้นทุกวันตั้งแต่ 06.00-08.00 น. (ในวันอาทิตย์ มีจนถึง 10.00 น. หรือ 11.30 น.) และตอนเย็นของทุกวันตั้งแต่เวลา 18.30-19.30 น. ผู้ศรัทธาสามารถเข้าร่วมพิธีกรรมได้โดยไม่ต้องขออนุญาต

ย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อนได้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ขึ้น เมื่อเทวรูปของชาวฮินดู "ดื่มนม" จากผู้ที่นำมาถวาย ต้นเหตุของข่าวเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย แล้วลุกลามไปทั่วโลก แม้แต่ในประเทศไทยเอง ซึ่งในขณะนั้น ประชาชนที่ทราบข่าวก็พากันแห่มาที่วัดเทพมณเฑียรจนมืดฟ้ามัวดิน เพื่อพิสูจน์ความจริง ปรากฏว่า น้ำนมหายไปจริง!! พร้อมกับมีการพิสูจน์จากกรมทรัพยากรธรณี และหน่วยงานของรัฐอีกหลายแห่ง แม้แต่สื่อมวลชนก็นำเสนอข่าวกันอย่างครึกโครม

เหตุการณ์เทวรูปดื่มนมในวัดเทพมณเฑียรนี้ ในด้านวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าน้ำนมหายไปได้อย่างไร โดยไม่ทิ้งร่องรอยหรือคราบใดๆ ไว้ แต่ในด้านศาสนา มีคำอธิบายจากท่านเจ้าอาวาสวัดเทพมณเฑียรในขณะนั้นว่า ผู้คนในยุคปัจจุบันเริ่มเหินห่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็ไม่เชื่อถือ ไม่มีศรัทธาต่อเทพเจ้าอีกต่อไป ปรากฎการณ์นี้จึงปาฏิหาริย์ที่เทพเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้ประจักษ์พร้อมๆกัน และเป็นคำยืนยันจากพระองค์ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นยังคงมีอยู่จริงและไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นได้

สมาคมฮินดูสมาช และ วัดเทพมณเฑียร ได้ร่วมในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ทั่วไป ทั้งของรัฐบาลและประชาชนอยู่เสมอ อาทิ

- สร้างอาคารเรียน 10 หลัง ให้แก่โรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร เช่นที่ จังหวัดเลย สระแก้ว นครพนม และสกลนคร

- ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ พระอารามหลวงเป็นประจำทุกๆ ปี จนถึงปัจจุบัน

- บริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ

- ให้ทุนการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นประจำทุกปี อาทิ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนโรงเรียนภารตวิทยาลัยเป็นประจำทุกปี

- ออกหน่วยบรรเทาสาธารณภัยของสมาคมฯ เพื่อช่วยเหลือราษฏรที่ประสบสาธารณภัยในถิ่นทุรกันดาร เช่น ภัยหนาวจัด อุทกภัย ฯลฯ โดยการแจกข้าวสาร อาหารแห้ง หรือผ้าห่มกันหนาว ฯลฯ

- บริจาคเงินช่วยเหลือผ่านหน่วยงานราชการ อาทิ กรมประชาสงเคราะห์ กรมการศาสนา สภาสังคมสงเคราะห์ฯ และสภากาชาดไทย บริจาคเพื่อสมทบโครงการจักษุศัลยกรรม เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ 

- จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ร่วมกับคณะแพทย์ จากมูลนิธิพุทธเอนกประสงค์นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลเด็ก โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน และโรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร ฯลฯ

- ร่วมมือกับหน่วยงานทางการแพทย์ ให้บริการตรวจรักษา แจกยาฟรี ให้กับราษฏรในถิ่นทุรกันดารห่างไกลความเจริญ เป็นประจำ

- โรงเรียนภารตวิทยาลัย ได้ยืนหยัดในฐานะสถาบันที่สร้างเยาวชน อันเป็นอนาคตของชาติมายาวนาน สร้างบุคคลสำคัญในสังคมที่ได้รับความสำเร็จเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติเป็นจำนวนมาก 

วัดเทพมณเฑียรตั้งอยู่ในโรงเรียนภารตวิทยาลัย (ใกล้กับโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า)
เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 06.00-20.00 มีเวลาปิด 3 ชั่วโมง ระหว่างเที่ยง-บ่ายสาม
เมื่อเดินทางถึงโรงเรียนภารตวิทยาลัย ให้แจ้งความประสงค์แก่ รปภ. หน้าโรงเรียนว่าต้องการมาไหว้พระ
จากนั้นขึ้นลิฟท์หรือบันไดด้านใน ไปยังชั้น 3 จะพบโบสถ์อยู่ภายใน เข้าไปไหว้เทพได้ทุกพระองค์
มีชาวไทยไปสักการะเทพและนั่งสมาธิทุกวัน พราหมณ์และเจ้าหน้าที่ภายในยินดีเบิกเนตรเจิมองค์พระให้
แนะนำให้ถวายเงินตามกำลังศรัทธาเพื่อช่วยบำรุงโบสถ์ 
การถวายดอกไม้ พวงมาลัย ขนมต่างๆ ให้จัดเตรียมไปเอง เนื่องจากไม่มีจำหน่ายภายในวัด

ที่มา -- siamganesh.com 

13.4.12

Happy New Year...


4. พระพิฆเนศ วัดวิษณุ สมาคมฮินดูธรรมสภา

 

      เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "วัดวิษณุ" เทวาลัยฮินดูในย่านยานนาวา คนกรุงเทพฯ หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยเท่ากับ "วัดแขก" ถนนสีลม หรือ "วิหารเทพมณเฑียร" ย่านเสาชิงช้า แต่หากศึกษาถึงต้นรากทางวัฒนธรรมและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ จะพบว่า "วัดวิษณุ" คือองคาพยพสำคัญที่สะท้อนภาพความสัมพันธ์ไทย-อินเดียได้อย่างแนบแน่นและกลม เกลียว เนื่องจากวัดวิษณุถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวฮินดูจากรัฐอุตตรประเทศ(อินเดียเหนือ)ในเขตกรุงเทพ ตลอดจนได้รับการยกย่องว่าเป็นเทวาลัยที่มีความโดดเด่นในภูมิภาคอุษาคเนย์ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานรูปเทพเจ้าฮินดูสลักจากหินอ่อนซึ่งมีลักษณะงดงาม ได้สัดส่วนถึง๒๔ องค์ 
ความสำคัญของวัดวิษณุส่งผลให้การศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียผ่าน มิติชุมชนอันสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และประวัติศาสตร์การทูต กลายมาเป็นประเด็นที่มีสีสัน ตลอดจนยังเป็นการเปิดมุมมองใหม่ทางด้านพหุลักษณ์เชิงวัฒนธรรม (Cultural Diversity) ให้กับสังคมไทยยุคปัจจุบัน

อุตตรประเทศ: ดินแดนหัวใจแห่งอารยธรรมภารตะ

     การศึกษาประวัติความเป็นมาของวัดวิษณุและการอพยพของชาวอินเดียเหนือ เข้าสู่สังคมไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าใจถึงความสำคัญของอุตตรประเทศในบริบทและโลกทัศน์ ของชาวอินเดีย คำว่า "อุตตรประเทศ" (Uttar Pradesh) คือชื่อของรัฐและเขตการปกครองที่ตั้งอยู่ทางตอนบนของประเทศอินเดียโดยมี อาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh) รัฐอุตตรรันจัล (Uttaranchal) และประเทศเนปาล ทิศตะวันตกติดกับรัฐหรยาณา (Haryana) และรัฐราชสถาน (Rajasthan) ทิศใต้ติดต่อกับรัฐมัธยประเทศ (Madhya Pradesh) ทิศตะวันออกติดต่อกับรัฐพิหาร (Bihar) และทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกับรัฐชาดติสการ์ (Chhattisgarh) และรัฐจาร์คาน (Jharkhand)

     ลักษณะภูมิประเทศอันเกิดจากการทับถมของตะกอนแม่น้ำคงคาและยมุนา ผสมผสานกับแนวเทือกเขาหิมาลัยที่ตั้งตระหง่าน ส่งผลให้อุตตรประเทศกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ มีชื่อเสียงของประเทศอินเดีย

    ขณะเดียวกันประติมากรรมทางภูมิศาสตร์และความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินก็ส่งผลให้อุตตรประเทศ กลายเป็นดินแดนหัวใจแห่งการรังสรรค์ทางศิลปะ ตลอดจนเป็นต้นรากทางอารยธรรมของชาวฮินดูยุคโบราณ สังเกตได้จากการแพร่กระจายของศิลปะแบบคันธาระ (Gandhara) มถุรา (Mathura) อมราวดี (Amaravati) คุปตะ (Gupta) และปาละ-เสนะ (Pala-Sena) ในเขตแว่นแคว้นอุตตรประเทศ2 ประกอบกับการขยายตัวทางการเมืองและการทหารของรัฐฮินดูยุคจารีต ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์โมริยะ (Mauryan) ราชวงศ์กาศี (Kashi) และราชวงศ์คุปตะ (Gupta) ก็ล้วนมีขอบข่ายปริมณฑลแห่งอำนาจครอบคลุมอินเดียตอนเหนือในเขตลุ่มแม่น้ำคง คาและยมุนา

   นอกจากนี้อุตตรประเทศยังเป็นที่ตั้งของเมืองพาราณสี (Varanasi) ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าสามพันปี และเป็นต้นกำเนิดของประเพณีลอยศพและชำระบาปในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเป็นศูนย์กลางการจาริกแสวงบุญของชาวฮินดูจากทั่วทุกสารทิศ

    ดินแดนอุตตรประเทศยังได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของไวษณพ นิกายลัทธิฮินดูที่นับถือพระวิษณุ หรือพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าสูงสุด เห็นได้จากเมืองโบราณที่สัมพันธ์กับภาคอวตารของพระวิษณุ (Avatar or Vishnu Reincarnation) อาทิ เมืองอโยธยา (Ayodhya) ศูนย์อำนาจการปกครองของท้าวทศรถ กษัตริย์แห่งสุริยวงศ์ (Solar Dynasty) และสถานที่พระราชสมภพของพระราม ร่างอวตารภาคที่เจ็ดของพระวิษณุ และวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหากาพย์รามายณะ เมืองลัคเนา (Lucknow) ซึ่งเคยได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองของพระลักษณ์ พระอนุชาของพระราม และทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศในยุคปัจจุบัน เมืองหัสดินปุระ (Hastinapura) ราชธานีของกษัตริย์ศานตนุแห่งจันทวงศ์ (Lunar Dynasty) และเป็นจุดกำเนิดของเหล่าเจ้าชายตระกูลปาณฑพ (Pandu) และเการพ (Kurus) ในมหากาพย์มหาภารตะ

     และเมืองมถุรา (Mathura) ซึ่งนอกจากจะเคยเป็นบ่อเกิดของศิลปะแบบมถุราที่แพร่กระจายในเขตอินเดียภาค เหนือแล้ว ยังเป็นสถานที่พระราชสมภพของพระกฤษณะ ร่างอวตารภาคที่แปดของพระวิษณุ และมหาบุรุษผู้ขับรถศึกให้พระอรชุนในมหากาพย์มหาภารตะ

     จากบริบทดังกล่าว รัฐอุตตรประเทศจึงเป็นอู่อารยธรรมอันเก่าแก่ของโลกฮินดู ทั้งในแง่ของปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม การขยายปริมณฑลทางการเมือง และความรุ่งเรืองของวรรณคดีโบราณ นอกจากนี้ดินแดนของรัฐอุตตรประเทศยังมีส่วนสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาและโลกอิสลาม เนื่องจากเป็นที่ตั้งของเมืองสารนาถ (Saranaj) และป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สถานที่แสดงปฐมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมืองอักรา (Agra) ศูนย์อำนาจของจักรวรรดิโมกุลอันทรงพลานุภาพ และที่ตั้งของสุสานทัชมาฮาล - อนุสรณ์แห่งความรัก หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

      ดังนั้นอุตตรประเทศจึงเป็นดินแดนหัวใจที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการก่อรูปของ อารยธรรมฮินดู รวมถึงมีส่วนคาบเกี่ยวกับการขยายตัวของอิทธิพลพระพุทธศาสนาในแผ่นดินอุษาคเนย์ และกระบวนการผ่องถ่ายอารยธรรมอิสลามในชมพูทวีป

     การอพยพและตั้งถิ่นฐานของชาวอุตตรประเทศในเขตกรุงเทพ
กระบวนการอพยพของชาวฮินดูเข้าสู่เขตกรุงเทพเริ่มก่อตัวขึ้น 
พร้อมกับการขยายตัวของลัทธิอาณานิคมอังกฤษในเขตประเทศอินเดียและภูมิภาค เอเชียอาคเนย์

    ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ จนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ กองทัพของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษได้ยาตราทัพเข้ายึดเมืองท่ากัลกัต ตา (Calcutta) หลังประสบชัยชนะสงครามที่ตำบลปรัสซี (Battle of Plassey) เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๐

      การครอบครองเมืองกัลกัตตาซึ่งตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำฮูกลี (Hugli) อันเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำคงคา นอกจากจะทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการค้าในรัฐเบงกอลได้สะดวกแล้ว ยังส่งผลให้อำนาจการปกครองของอังกฤษแผ่อิทธิพลเข้าปกคลุมหัวเมืองต่างๆ ในเขตลุ่มแม่น้ำคงคาแถบรัฐอุตตรประเทศ

       ต่อมารัฐบาลอังกฤษได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการปกครองอินเดียฉบับปี พ.ศ. ๒๓๑๖ เพื่อเพิ่มอำนาจของรัฐบาลในการควบคุมพฤติกรรมของบริษัทอินเดียตะวันออก ตลอดจนแต่งตั้งนายวอร์เรน เฮสติงส์ (Warren Hastings) ขึ้นเป็นข้าหลวงใหญ่อังกฤษคนแรกประจำอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๗

       การเปลี่ยนแปลงนโยบายของอังกฤษส่งผลให้เมืองท่าชายฝั่ง ทะเลและหัวเมืองตอนในแถบรัฐอุตตรประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษแบบ เต็มตัว ครั้นต่อมา บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษได้ว่าจ้างชาวพื้นเมืองอินเดียมาฝึกเป็นทหาร ตามแบบตะวันตก เรียกว่า ทหารซีปอย (Sepoys) เพื่อรักษาความปลอดภัยและพิทักษ์ผลประโยชน์ทางการค้าให้บริษัท แต่นโยบายดังกล่าวกลับส่งผลกระทบเชิงลบต่ออังกฤษ เนื่องจากกำลังพลส่วนใหญ่ของทหารซีปอยล้วนมาจากพราหมณ์และชนชั้นสูงในเขตอุ ตตรประเทศ ทหารเหล่านี้เคยชินต่อการมีสิทธิพิเศษตามระบบวรรณะ และหวาดระแวงต่อพฤติกรรมของอังกฤษที่นำเอาวัฒนธรรมตะวันตกและคริสต์ศาสนา เข้ามาครอบงำวัฒนธรรมฮินดู

      นอกจากนี้พวกพราหมณ์อุตตรประเทศที่สูญเสียผลประโยชน์จากการดำเนินนโยบายของอังกฤษ อาทิเช่น การอนุญาตให้บาทหลวงบางรูปแสดงอาการเหยียดหยามศาสนาฮินดู และการประกาศเวนคืนที่ดินซึ่งเคยอยู่ในการครอบครองของวรรณะพราหมณ์ ยังได้คอยยุยงให้กลุ่มทหารซีปอยแข็งข้อต่อต้านอำนาจการปกครองของอังกฤษ

       จนในที่สุดการก่อกบฎได้เริ่มปะทุขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๐๐ - ๒๔๐๒ เหตุการณ์ส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นในรัฐอุตตรประเทศ โดยเฉพาะที่เมืองมีรุต (Meerut) และลัคเนา (Lucknow) จากเหตุการณ์ดังกล่าว อังกฤษได้เพิ่มงบประมาณทางการทหาร ว่าจ้างแขกสิกข์และนักรบกูรข่าเข้ามาเป็นทหารรับจ้าง เพื่อปราบกบฏซีปอย ส่งผลให้อังกฤษประสบความสำเร็จในการนำอินเดียกลับคืนสู่สภาวะปกติ

       ผลของกบฏซีปอยทำให้อังกฤษประกาศยกเลิกการปกครองของบริษัทอินเดีย ตะวันออก และโอนหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมดมาเป็นของรัฐบาลกลางและรัฐสภา รวมถึงปรับโครงสร้างกำลังรบของกองทัพ เลิกจ้างพราหมณ์อุตตรประเทศ แล้วหันมาจ้างพวกแขกสิกข์ แขกปาธาน และพวกนักรบกูรข่าจากเนปาลเข้ามาเป็นทหารประจำการแทน

      ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชนชั้นสูงในอุตตรประเทศ เริ่มร่วมมือกับชาวฮินดูกลุ่มต่างๆ จัดตั้งขบวนการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ จนถึงปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตลอดจนเริ่มเกิดการอพยพของชาวฮินดูอุตตรประเทศไปยังดินแดนต่างๆ อาทิเช่นตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อปลุกระดมลัทธิชาตินิยมและสร้างฐานที่มั่นในการปลดแอกอินเดียออกจาก อาณานิคมอังกฤษ

      ขณะเดียวกันพราหมณ์อุตตรประเทศที่เคยรับราชการเป็นทหารซีปอยก็ปรับเปลี่ยนบทบาทและแปลง สภาพเป็นกองกำลังกู้เอกราช รวมถึงเดินทางออกจากอินเดียเพื่อประกอบอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยใน บริษัทต่างประเทศ สืบเนื่องจากลักษณะร่างกายที่กำยำและสูงใหญ่ ผสมผสานกับประสบการณ์จากการเป็นทหารซีปอย ทำให้บริษัทเอกชนในประเทศต่างๆ นิยมว่าจ้างแขกอุตตรประเทศเข้ามาพิทักษ์ทรัพย์สินและรักษาความปลอดภัย

     การอพยพของชาวอุตตรประเทศเข้าสู่ประเทศไทยนั้น จัดว่ามีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับขบวนการชาตินิยมและการแสวงหาที่ทำกิน ในต่างแดน อันเป็นผลมาจากสภาวะข้าวยากหมากแพงและปัญหาการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ ประชากรในอินเดีย

     ชาวอุตตรประเทศส่วนใหญ่มักมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงเทพ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงเป็นศูนย์อำนาจที่ปลอดจากอิทธิพลของอังกฤษ เมื่อเทียบกับกรุงย่างกุ้งของพม่า หรือสิงคโปร์ในคาบสมุทรมลายู

      ขณะเดียวกันการอพยพของแขกอุตตรประเทศก็มีลักษณะปะปนมากับแขกฮินดูกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเบงกอล ทมิฬ สิกข์ และราชปุต ซึ่งเริ่มไม่พอใจการปกครองที่เข้มงวดของรัฐบาลอังกฤษ

     เส้นทางการอพยพของแขกฮินดูเข้าสู่เขตกรุงเทพมหานครสามารถแบ่งออก ได้เป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่เส้นทางอพยพทางทะเลผ่านหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ตัดเข้าสู่สิงคโปร์ มะละกา (Melaka) มาเลเซีย จากนั้นเดินทางโดยรถไฟเข้าสู่ภาคใต้ของไทยและกรุงเทพมหานคร

     ส่วนเส้นทางสายที่สองเป็นการอพยพทางบก เริ่มจากอินเดียเข้าสู่จิตตะกอง (Chittagong) ในบังคลาเทศ จากนั้นจึงเดินทางโดยรถไฟเข้าสู่ประเทศพม่าและภาคเหนือของไทย แล้วจึงลงใต้เข้าสู่กรุงเทพฯ

กลุ่มผู้อพยพชาวฮินดูนั้นมีความหลากหลาย แบ่งออกได้เป็นห้ากลุ่มหลักดังนี้

๑) กลุ่มชาวฮินดูจากอุตตรประเทศทางตอนเหนือของอินเดีย ประชากรส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองลัคเนา อโยธยา และพาราณสี มักประกอบอาชีพส่งหนังสือพิมพ์ ขายนมวัว และพนักงานรักษาความปลอดภัยในบริษัทต่างประเทศ อาทิ บริษัทอีสต์เอเชียติก (East Asiatic Company) ลักษณะเด่นของชาวฮินดูอุตตรประเทศ คือการนับถือพระวิษณุ โดยมีการจัดตั้งชุมชนในเขตสาทรและยานนาวา ตลอดจนจัดสร้างวัดวิษณุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ เพื่อเป็นศูนย์รวมของชาวอินเดียเหนือในเขตกรุงเทพมหานคร

๒) กลุ่มชาวฮินดูจากทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) อพยพมาจากตอนใต้ของอินเดีย และทางตอนเหนือของศรีลังกาแถวคาบสมุทรจาฟนา ส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ พนักงานบริษัทต่างประเทศ และค้าขายทั่วไป ลักษณะเด่นของกลุ่มแขกทมิฬคือการบูชาพระศิวะและพระอุมาอย่างเหนียวแน่น จนนำไปสู่การสร้างวัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือที่รู้จักกันดีว่า “วัดแขกสีลม” ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เพื่อเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการประกอบกิจกรรมของชาวฮินดูจากอินเดียใต้

๓) กลุ่มชาวฮินดูจากแคว้นซินด์ (Sind) และปัญจาบ (Punjab) ซึ่งเข้ามาประกอบธุรกิจทอผ้าและนำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ชาวอินเดียกลุ่มดังกล่าวมักตั้งถิ่นฐานอยู่แถวสำเพ็งและพาหุรัดโดยถึงแม้ว่า ประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาสิกข์และมีศูนย์กลางอยู่ที่คุรุสิงหสภาในย่าน พาหุรัด แต่ก็มีชาวอินเดียบางกลุ่มนับถือศาสนาฮินดู และแยกตัวออกมาจัดตั้งวิหารเทพมณเฑียร ถนนศิริพงศ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เพื่อเป็นศูนย์กลางของชาวฮินดูจากรัฐซินด์และปัญจาบ

๔) กลุ่มชาวฮินดูจากคุชราต (Gujarat) และราชสถาน (Rajasthan) มักประกอบอาชีพค้าขาย ส่งออก และเจียระไนอัญมณี ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวถนนสีลมและสาทร กลุ่มนี้ถือว่ามีบทบาทสำคัญในสมัยอาณานิคมและช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เนื่องจากทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อทางการค้าระหว่างไทย อินเดีย และตะวันออกกลาง

๕) กลุ่มชาวฮินดูจากเบงกอล อพยพมาจากเมืองกัลกัตตาของอินเดีย เมืองธาร์กา (Dhaka) และจิตตะกองในบังคลาเทศตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพขายถั่ว เครื่องเทศ และเครื่องหอมบูชาเทพเจ้า กลุ่มแขกเบงกอลมักนับถือศาสนาอิสลามแต่ก็มีบางส่วนนับถือศาสนาฮินดู อพยพเข้ามาอาศัยอยู่กับแขกทมิฬในย่านวัดแขกและถนนสีลม

      ในระยะเริ่มแรกการตั้งถิ่นฐานของชาวฮินดูกลุ่มต่างๆ มักกระจุกตัวอยู่ในบริเวณชุมชนแออัดและย่านธุรกิจสำคัญในเขตกรุงเทพมหานคร อาทิเช่น สีลม พาหุรัด และยานนาวา แขกอุตตรประเทศนั้นพำนักอาศัยอยู่ร่วมกับกับแขกทมิฬแถววัดพระศรีมหาอุมาเทวี ขณะที่บางส่วนกระจัดกระจายอยู่ตามบ้านพักของบริษัทต่างประเทศแถบสาทรและ ยานนาวา

    ต่อมาการตั้งถิ่นฐานของชาวอุตตรประเทศแถวถนนสีลมได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความแตกต่างระหว่างไวษณพนิกายของชาวอินเดียเหนือกับไศวนิกายและ ศักตินิกายของชาวอินเดียใต้ ส่งผลให้ชาวฮินดูอุตตรประเทศตัดสินใจสร้างเทวาลัยวัดวิษณุบริเวณยานนาวา เพื่อเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรม ตลอดจนลดปัญหาความแออัดของประชากรบริเวณวัดแขก

     หลังจากการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐอินเดีย เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ การตั้งถิ่นฐานของชาวอุตตรประเทศและชุมชนฮินดูกลุ่มอื่นๆ ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องจากยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูต การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ รวมถึงการอพยพเข้ามาค้าขายและศึกษาเล่าเรียนของชาวฮินดูตามคำเชื้อเชิญของ ญาติพี่น้องในเมืองไทย

      ปัจจุบันมีชาวฮินดูตั้งหลักแหล่งอยู่แถวถนนสีลม,
สาทร,ยานนาวาม,พาหุรัด,สี่แยกบ้านแขก,ถนนสุขุมวิท ตั้งแต่ซอย ๑ ถึง ๘๑ (แต่ละซอยประกอบด้วยชุมชนชาวฮินดูประมาณ ๕ – ๑๐ ครัวเรือน)


ต้นรากและอัตลักษณ์ชุมชนชาวอุตตรประเทศในเขตวัดวิษณุ

วัดวิษณุ ตั้งอยู่เลขที่ ๕๐ ซอยวัดปรก แขวงทุ่งวัดดอน ยานนาวา จัดตั้งขึ้นโดยชาวอินเดียที่มาจากแคว้นอุตตรประเทศ หรือที่เรียกกันว่า “พวกยูพี” (U.P. - United Province or Uttra Pradesh) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยมีคณะกรรมการบริหารงานชุดหนึ่ง ซึ่งเลือกตั้งมาจากสมาชิกสามัญทุกๆ ปี คณะกรรมการบริหารได้ร่วมกับชาวอินเดียในประเทศไทยจัดซื้อที่ดินและสร้าง เทวาลัยหลังแรกขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูและประดิษฐานเทวรูปรามจันทราวตาร

หลังจากนั้นจึงมีการสร้างห้องสมุดวัดวิษณุ สุสานฮินดู ศิวาลัย และเทวาลัยพระศรีหนุมาน ความสำเร็จของการจัดสร้างเทวาลัยวัดวิษณุ นอกจากจะเกิดจากการเรี่ยไรเงินของชาวอุตตรประเทศและชาวฮินดูกลุ่มอื่นๆ แล้ว ยังมีหัวหน้าคณะวิศวกรชาวอังกฤษในบริษัทอีสต์เอเชียติกร่วมบริจาคเงินสมทบ

แต่เนื่องจากพื้นที่ของวัดมีขนาดค่อนข้างคับแคบ จึงจัดสร้างเทวาลัยขนาดย่อมเพื่อประกอบพิธีกรรมแต่พอสังเขป ส่วนสาเหตุที่เลือกซื้อที่ดินแถวยานนาวาเพื่อสร้างเป็นเทวาลัยนั้น สืบเนื่องมาจากในสมัยก่อน ที่ดินย่านดังกล่าวมีราคาถูก ประกอบกับชาวอุตตรประเทศก็ประกอบอาชีพอยู่แถววัดดอนและถนนตกมากกว่าย่าน อื่นๆ ของกรุงเทพมหานคร จึงสะดวกต่อการติดต่อและไปมาหาสู่

นอกจากนี้ ลักษณะภูมิศาสตร์ของเขตยานนาวาซึ่งประกอบด้วยที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาสลับ กับที่ดอนยังมีความสอดคล้องกับลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียเหนือตาม เมืองพาราณศรีและอโยธยา ซึ่งมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ดอน แต่ไม่ไกลจากชายฝั่งแม่น้ำคงคาและสาขามากนัก

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ศาสนิกชนชาวอุตตรประเทศได้ตัดสินใจสร้างเทวาลัยหลังใหม่ ให้มีความยิ่งใหญ่อลังการสมกับพระเกียรติยศขององค์พระวิษณุ โดยมีนายอมรนารถ สัจเทว และนายตริโลกนาถ ปาวา เดินทางไปศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมวัดฮินดูในเขตอุตตรประเทศ ตลอดจนสั่งซื้อเทวรูปหินอ่อนจากเมืองชัยปุระ (Jaipur) ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประติมากรรมหินอ่อนในเขตราชสถาน

ต่อมา ระหว่างช่วงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๘ จนถึง ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๙ บัณฑิตวิทยาธร สุกุล ประธานปูชารีวัดวิษณุ ได้บำเพ็ญตบะปฏิบัติชปโยคะระหว่างปีมานวกัลยาณยัญญ์ ซึ่งเป็นการบำเพ็ญโยคะตามแบบฮินดูแท้ โดยบัณฑิตวิทยาธรได้บำเพ็ญบารมีอยู่แต่ภายในเทวาลัยวัดวิษณุเป็นเวลาหนึ่งปี เต็ม โดยไม่พูด ไม่บริโภคอาหารที่สุกด้วยไฟ ไม่ออกจากเทวาลัย และเข้าภาวนาวันละ ๘ ชั่วโมง การบำเพ็ญเพียรในลักษณะดังกล่าวจัดเป็นการสร้างมหากุศลอันแรงกล้า ตลอดจนเป็นการบันดาลสิริมงคลอันสูงส่งให้แก่มหาบุรุษผู้ได้รับพรจากนักพรต

หลังจากการเสร็จสิ้นพิธีปฏิบัติชปโยคะ บัณฑิตวิทยาธรได้เดินทางไปถวายพระพรอันเกิดจากการบำเพ็ญพรตแด่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นการประทานพรแด่มหาบุรุษผู้เป็นหลักชัยแห่งสยามประเทศ

เหตุการณ์ดังกล่าวจัดเป็นเหตุการณ์สำคัญ ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การทูตไทยสมัยใหม่

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ ๔๐๐ ปี หนังสือรามจริตมานัส ของท่านตุลสีทาส มหากวีอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ ภายในบริเวณวัดวิษณุ โดยมีท่านศาสตราจารย์สุกิจ นิมมานเหมินท์ เป็นประธานกรรมการ รับหน้าที่ทำพิธีเปิดงานแทนนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ นายศรีวิทยาจรณะ สุกลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงผลิตอาวุธ แห่งรัฐบาลอินเดีย ผู้เป็นประธานกรรมการจัดงานฉลองครบรอบ ๔๐๐ ปี หนังสือรามจริตมานัส ในระดับโลก ยังได้มาร่วมงานและร่วมประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์ฮินดูอีกด้วย

วัดวิษณุนอกจากจะเป็นศูนย์กลางของชาวฮินดูอุตตรประเทศ และเป็นต้นแบบของไวษณพนิกายในเขตกรุงเทพมหานครแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของสมาคมฮินดูธรรมสภา (Hindu Dhama Sabha Association) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือและพัฒนาชุมชนฮินดูใน เขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

สมาคมฮินดูธรรมสภาจัดเป็นองค์การที่ทางราชการไทยให้การรับรอง สังกัดแผนกองค์การศาสนาภายในประเทศ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ และแผนกส่งเสริมศีลธรรม และจิตใจ แห่งสภาสังคมสงเคราะห์ สมาคมฮินดูธรรมสภาได้ให้ความร่วมมือแก่ทั้งทางราชการและองค์กรการกุศลต่างๆ ตลอดถึงองค์การเอกชนในกิจการด้านศาสนาพราหมณ์ฮินดูด้วยดีเสมอมา นอกจากนี้ ทางราชการก็ได้จัดสรรเงินรายได้ส่วนศาสนูปถัมภ์ให้แก่ฮินดูธรรมสภาวัดวิษณุ เป็นประจำทุกปี ตามกำลังงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ

ขณะเดียวกัน วัดวิษณุยังทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยมีการจัดหาที่พักให้กับนักบวชที่เดินทางมาจากอินเดีย ผ่านการประสานงานของสมาคมฮินดูธรรมสภา ตลอดจนเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของนักธุรกิจฮินดูและชาวอินเดียเชื้อสายอุตตร ประเทศที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร

ในปัจจุบัน บัณฑิตวิทยาธร สุกุล จัดเป็นเสาหลักในการประกอบพิธีกรรมภายในวัดวิษณุ โดยมี บัณฑิตพินเธศวรี สุกุล บุตรชาย ดำรงตำแหน่งประธานปูชารี

นายกฤษณะ ดี อุปเดียร์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนฮินดูประจำเขตยานนาวา ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฮินดูธรรมสภาคนล่าสุด

ชาวฮินดูอุตตรประเทศที่อาศัยอยู่ในย่านยานนาวาและบริเวณข้างเคียง อาทิเช่น สาทร สุขุมวิท และสี่แยกบ้านแขก ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีตระกูลสำคัญ ได้แก่ตระกูลซาฮี, มิสรา, อุปเดียร์, ตีวารี, ปานเดย์, จันด์, ซิงห์ และยาดา

กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนสืบเชื้อสายมาจากแขกอุตตรประเทศในช่วงเจ็ดสิบถึงหนึ่ง ร้อยห้าสิบปีที่แล้ว


ในเชิงรูปแบบ สถาปัตยกรรม บริเวณวัดวิษณุ นอกจากจะประกอบไปด้วยมหามณเฑียรที่ประดิษฐานเทวรูปพระวิษณุ ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของไวษณพนิกายตามแบบอินเดียเหนือแล้ว ด้านนอกยังมีวิหารขนาดเล็ก ประดิษฐานเทวรูปพระศรีหนุมาน หอพระศิวะ หอพระนางทุรคาเทวี หอพระลักษมี หอเทวดานพเคราะห์ และหอสมุดวัดวิษณุ


      มหามณเฑียรหรือเทวาลัยหลังใหม่ ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๕ - ๒๕๔๔ จัดว่ามีความใหญ่โตและงดงามมาก ตัวอาคารก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว มียอดปราสาทแบบศิขร ซึ่งเป็นการจำลองยอดเขาหิมาลัยอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เทคนิคการก่อสร้างดังกล่าวได้รับความนิยมมากในเขตอินเดียเหนือและอินเดีย ตะวันตกแถบรัฐราชสถาน บริเวณห้องโถงของมหามณเฑียรเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปหินอ่อนที่สั่งตรงมาจาก เมืองชัยปุระ ประกอบไปด้วยเทวรูปพระวิษณุ - พระลักษมี พระราม - นางสีดา พระลักษณ์ พระภรต พระศัตรุฆน์ ศรีหนุมานตอนแบกต้นสังกรณีตรีชวา พระกฤษณะ - นางราธา พระพิฆเนศ ขนาบด้วยรูปหินอ่อนขนาดเล็กของพระนางพุทธิและสิทธิ พระชายา รวมถึงพระพุทธรูปหินอ่อนซึ่งเป็นศิลปะแบบปาละ

      ห้องโถงภายในมหามณเฑียร นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปซึ่งเป็นที่นิยมตามแบบไวษณพนิกายในอุตตร ประเทศแล้ว ยังเป็นที่ประกอบพิธีกรรม ตลอดจนกิจกรรมรื่นเริงทางศาสนา โดยมักมีทั้งชาวอุตตรประเทศและชาวฮินดูกลุ่มต่างๆ เข้ามาร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนร่วมกันอ่านบทโศลกของมหากาพย์รามายณะและคัมภีร์ภควัทคีตาในมหากาพย์ มหาภารตะ เป็นประจำทุกวัน




          เมื่อเข้ามาในวัดวิษณุจะเห็นโบสถ์หลังใหญ่ที่มีสีขาวสะอาดตา ลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายพุทธคยาที่ประเทศอินเดียแลดูโอ่อ่าสง่างาม ภายในก็ยิ่งดูโอ่โถงกว้างขวาง เบื้องหน้าเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพทวยเทพของศาสนาฮินดู ที่ตรงกลางคือ พระวิษณุและพระแม่ลักษมี
              
          โดยพระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ คือมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นหนึ่งใน3 มหาเทพสูงสุด อันได้แก่ พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ เชื่อกันว่า พระวิษณุ ทรงมีเทวานุภาพขจัดเหล่ามารและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ทรงล่วงรู้ความเป็นไปทุกอย่าง ทรงตัดสินปัญหาด้วยสำนึกอันสูงสุดแห่งพระเป็นเจ้า ทรงขจัดบาปและความขัดข้องแก่ผู้ปฏิบัติโยคะและนั่งสมาธิระลึกถึงพระองค์ อสูรและเหล่ามารทุกตนล้วนแล้วแต่เกรงกลัวอานุภาพแห่งพระองค์ประทับบนพญานาคอันเป็นบัลลังค์บริวาร ณ เกษียรสมุทร เป็นองค์ประธานภายในวัด

พระวิษณุมีพระชายาคือ พระแม่ลักษมี พระแม่เจ้า ผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ และความผาสุกแก่ผู้ศรัทธา ผู้ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างพระวิษณุ และคอยอวตารไปเป็นชายาพระวิษณุในทุกๆภารกิจ 
ด้านซ้ายมือของเทพองค์ประธานพระวิษณุก็คือ พระกฤษณะและราธาเทวี อีกปางอวตารของพระวิษณุและพระแม่ลักษมี ซึ่งพระกฤษณะ เป็นมหาเทพผู้ให้กำเนิดคัมภีร์ภควัทคีตา ในมหากาพย์เรื่องมหาภารตะ

 ถัดออกไปริมสุดด้านขวามือของเราก็คือ พระพุทธเจ้า อันถือว่าเป็นอีกปางอวตารของพระวิษณุตามคัมภีร์ของชาวฮินดู

ส่วนทางด้านขวามือของเทพองค์ประธานคือ พระรามและพระนางสีดา อีกปางอวตารพระวิษณุและพระแม่ลักษมี โดยพระราม ถือเป็นมหาเทพแห่งความยุติธรรม ในมหากาพย์รามายณะหรือรามเกียรติ์ 

ถัดไปเป็นพระหนุมาน อันเป็นปางอวตารของพระศิวะที่เข้าช่วยเหลือพระรามในการปราบทศกัณฑ์ในมหากาพย์รามายณะเช่นกัน

ด้านริมหน้าต่างด้านหนึ่งเป็นที่ประดิษฐาน พระแม่ทุรคา ลักษณะ ทรงศาสตราวุธ ประทับสิงโต อีกปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวีที่อวตารมาปราบอสูรชื่อ มหิษาสูร เชื่อกันว่า พระแม่ทุรคาประทานพรด้านความกล้าหาญ ชนะศัตรูรอบทิศ การมีบริวาร มีความยุติธรรม ตลอดจนการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง 
อีกด้านหนึ่งเป็นที่ประดิษฐาน พระพิฆเนศ ซึ่งทำจากหิน อ่อน พร้อมทั้งพุทธิและสิทธิ ชายาของพระองค์ พระพิฆเนศ ได้รับการนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความรู้ เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ปราดเปรื่องในศิลปวิทยาทุกแขนง

พอไหว้ทวยเทพพร้อมขอพระในโบสถ์แล้ว เดินลงมายังด้านข้างของโบสถ์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์เทพอีกหลายองค์ ได้แก่ ศาลพระพรหม 
พระศิวะ 

พระแม่อุมา 


พระพิฆเนศ 


เทวลัยถัดไปประดิษฐาน พระแม่สุรัสวดีเทพีแห่งวิทยาการและการศึกษา เป็นต้น


เลยไปด้านในก็เป็นที่ประดิษฐานของเทพต่างๆ เช่น ศิวลึงก์ ทำจากหินประดิษฐานอยู่โคนต้นไม้ และยังมีที่อยู่บนฐานไม้ และศิวลึงที่อยู่ในขดคล้ายนาคดูแปลกตา นวนพเคราะห์ หรือ เทพนพเคราะห์ทั้ง 9 อันได้แก่ พระอาทิตย์ 


เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทาง ก้าวร้าวรุนแรงเฉียบไว, พระจันทร์ เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผลในทางนุ่มนวลอ่อนโยน, พระอังคาร เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางรุนแรงและกำลังเร่าร้อน


อีกหนึ่งองค์ที่แปลกตาก็คือ พระศิวะนาฏราช เป็นปางการร่ายรำอันเป็นลีลาวิจิตรแห่งพระศิวะมหาเทพ พระศิวะได้รับการขนานนามว่าทรงเป็นศิลปินแท้ๆ ที่ได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นเจ้าของตำรับการร่ายรำระบำฟ้อนแห่งอินเดีย ด้วยเพราะทรงเป็นเทพแห่งศิลปะการร่ายรำ ปางหนึ่งของพระศิวะที่แสดงถึงฐานะของพระองค์ชัดเจนก็คือปางนาฏราชนั้นเอง ที่เป็นทวยเทพต่างๆของศาสนาฮินดู 

          ข้อมูลสถานที่ : วัดวิษณุ ก่อตั้งโดยสมาคมฮินดูธรรมสภา ภายในประดิษฐานเทวรูปแกะสลักจากหินอ่อน มีความงดงามตามแบบศิลปะอินเดียเหนือ เป็นโบสถ์ที่มีเทวรูปประดิษฐานมากที่สุดในประเทศไทย ภายในเย็นสบาย มีพัดลมบริการ สามารถนั่งสมาธิได้ และเป็นวักหนึ่งเดียวในไทยที่มีเทพครบทุกองค์

          เทวรูปที่ประดิษฐาน : พระพิฆเนศ พระวิษณุ พระแม่ลักษมี พระแม่สุรัสวดี พระพรหม พระศิวะ พระแม่ทุรกา พระพุทธเจ้า พระกฤษณะ พระราม เมื่อเดินลงมาจากโบสถ์ ให้เดินเข้าไปด้านข้างๆของโบสถ์ จะพบกลุ่มเทวาลัยเล็ก ๆ อีกมากมาย มีเทวาลัยพระแม่คงคาทรงจระเข้ องค์พระศิวะขนาดใหญ่ พระขันทกุมารหกเศียร ครอบครัวพระศิวะพระแม่อุมาเทวี เทพนพเคราะห์ มีศิวลึงก์ทำจากหินกระจายอยู่ตามต้นไม้ในวัด สามารถเอานมไปเทถวายศิวลึงก์ (บางองค์) เพื่อขอพร

          ตั้งอยู่ที่ : ตรงข้ามวัดปรก ยานนาวา หากมาทางรถไฟฟ้า BTS ให้ลงสถานีสะพานตากสิน มีรถสองแถวบริการให้ระบุว่าลงที่วัดปรก หากใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่อยู่ใกล้กับ BTS ให้ระบุว่าไปวัดวิษณุตรงข้ามวัดปรก (ซอยวัดปรกอยู่ตรงถนนเจริญกรุง)

          เวลาเปิด : ทุกวัน 06.00-19.00 น. (ปิด 3 ชั่วโมงระหว่าง 12.00-15.00) ควรไปหลังบ่ายสาม และเข้าร่วมบูชาไฟตอน 18.30 น.






12.4.12

3. พระพิฆเนศบริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

 

      วันนี้เรามาเดินทางไปสักการะพระพิฆเนศที่อยู่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ใกล้สี่แยกราชประสงค์กัน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมเทพเจ้าหลายๆองค์ ทั้งพระพรหม พระตรีมูรติ พระอินทร์ พระนารายณ์ ฯลฯ และสำหรับองค์พระพิฆเนศนั้น ก็ประดิษฐานอยู่ใกล้ๆ กับพระตรีมูรติ คืออยู่ด้านริมสุดของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และที่นี่จะมีผู้คนมากราบไหว้กันไม่ขาดสาย ไม่ว่าทั้งคนไทย และคนต่างชาติ 

          หากใครต้องการมาไหว้พระพิฆเนศที่นี่(หรือทุกๆทีี) สิ่งของเซ่นไหว้ที่เหมาะสมนั้นก็คือ ผลไม้ เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม มะพร้าว มะม่วง องุ่น แอปเปิล ชมพู่ มะละกอ แตงโม อ้อยควั่น ขนมหวานก็เช่นขนมถ้วยฟู ทองหยิบ ทองหยอด ลูกชุบ นมสด ส่วนดอกไม้ก็มักเป็นดอกไม้สีสด อย่างดอกชบา ดอกดาวเรือง ดอกเบญจมาศ และธูป 9 ดอก และงดเว้นอาหารคาว ผู้คนที่มาไหว้ส่วนใหญ่ก็มักจะขอเรื่องเกี่ยวกับการงาน หรือขอให้สิ่งที่หวังและตั้งใจนั้นสำเร็จลงด้วยดี

            ข้อมูลสถานที่ : แยกราชประสงค์ เป็นสี่แยกธุรกิจที่มีเทวรูปของศาสนาพราหมณ์ ประดิษฐานอยู่ถึง 7 องค์ด้วยกัน ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้วัดแขกสีลม ผู้คนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาสักการะเทพทั้ง 7 พร้อมทั้งขอพรและได้รับความคุ้มครองกันถ้วนหน้า

          เทวรูปที่ประดิษฐาน : หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ประดิษฐาน พระพิฆเนศ และ พระตรีมูรติ หน้าโรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ ประดิษฐาน ท้าวมหาพรหม ที่โด่งดังไปทั่วโลก หน้าห้างสรรพสินค้าอมรินทร์พลาซ่า เป็นที่ประดิษฐาน ท้าวอัมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ จ้าวแห่งเทวดา ผู้ศรัทธากราบไหว้ขอพรให้มีแต่สิ่งดีงามขึ้นในชีวิต ตรงข้ามพระอินทร์ หน้าโรงแรมประดิษฐาน พระวิษณุทรงครุฑ หรือ พระนารายณ์ทรงสุบรรณ

         บนห้างสรรพสินค้าเกษรพลาซ่า ประดิษฐาน พระแม่ลักษมี เทพีผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา ผู้เป็นพระชายาแห่งองค์พระวิษณุมหาเทพผู้รักษาโลก ผู้ศรัทธานิยมขอพรพระลักษมีให้มีความร่ำรวยและสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กราบไหว้ พระนารายณ์ประทับยืนบนพญาอนันตนาคราช ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่า ในสถานที่ราชการแห่งนี้ มีเทวสถานของเทพศักดิ์สิทธิ์ประทับอยู่

         ตั้งอยู่ที่ : สี่แยกราชประสงค์ ใกล้ประตูน้ำ รถไฟฟ้าที่ใกล้เคียงคือ BTS สถานีชิดลมและสถานีสยาม หากเดินจากสยามสแควร์มาแยกราชประสงค์ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

          เวลาเปิด : พระพิฆเนศ และ พระตรีมูรติ (พระปัญจมุขี) เดินเข้าไปสักการะได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ท้าวมหาพรหม หน้าโรงแรมเอราวัณ ตอนกลางคืนจะปิดรั้ว แต่อยู่นอกรั้วสักการะได้ มี รปภ.คอยเฝ้าดูแล สามารถยื่นดอกไม้ให้ รปภ.นำไปถวายหน้าเทวรูปพระพรหมได้ / พระอินทร์ หน้าห้างอมรินทร์พลาซ่า เข้าไปสักการะได้ตลอด 24 ชั่วโมง / พระแม่ลักษมี เปิด-ปิดตามเวลาของห้างเกษรพลาซ่า / พระนารายณ์ทรงสุบรรณ สักการะได้ตลอด 24 ชั่วโมง / พระนารายณ์ประทับยืนบนพญาอนันตนาคราช สักการะได้ตามเวลาราชการ