9.4.12

1. พระคเณศที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์




         พระพิฆเนศ หรือ พระพิฆนเศวร เป็นเทพที่มีผู้คนนับถือและเคารพมากที่สุด เนื่องจากเป็นเทพที่มีพระกรุณา และถือกันว่าเป็นปฐมเทพที่จะได้รับการบูชาก่อนเริ่มพิธีกรรมต่าง ๆ เพราะได้รับพรจากศิวเทพเรื่องความเฉลียวฉลาด และเป็นเทพที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ ซึ่งหลายต่อหลายคนศรัทธาแรงกล้า ข้ามน้ำข้ามทะเลไปบูชาองค์พระพิฆเนศไกลถึงประเทศอินเดีย แต่วันนี้ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น เพราะเพื่อน ๆ สามารถเดินทางไปกราบนมัสการ "พระพิฆเนศ" ภายในกรุงเทพมหานครบ้านเรากันก็พอค่ะ เพราะถ้าไปถึงอินเดียมันคงจะเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป หรือบางคนอาจจะต้องทำงาน ทำให้ไม่สามารถที่จะลางานไปได้.....












เทวสถาน ตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๒๖๘ ถนนบ้านดินสอ แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ ๑๐๒๐๐

        วันนี้เรามากล่าวถึงที่ไปกราบสักการะองค์พระคเณศ ณ สถานที่สำคัญฃแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานครกันดีกว่า ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่ประดิษฐานเทวรูปที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในภูมิ
ภาคเอเชียอาคเนย์ และมีความงดงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประเทศ
ไทย สถานที่ทีว่านี้ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเสาชิงช้า และวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งอันเป็นสัญลักษณที่สำคัญซึ่งเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มาถึงตรงนี้เพื่อนๆหลายๆคนคงจะพอเดาไว่าหมายถึงที่ใด สถานที่ที่ว่าก็คือ เทวสถาน หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า โบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งหลายๆคนอาจจะได้มีโอกาสเดินทางไปสักการะเทวรูปพระเป็นเจ้าที่สำคัญประจำเทวสถานแห่งนี้แล้ว แต่สำหรับอีกหลายๆคนอาจที่ยังจะไม่มีโอกาส ก็ไม่ต้องเสียใจไป ยังไงก็ลองอ่าน และศึกษาดูก่อนที่จะเดินทางไปด้วยตัวเองทีหลังก็ได้


ประวัติ

พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๗ มีโบสถ์อยู่ ๓ หลัง ก่ออิฐถือปูนมีกำแพงล้อมรอบ และทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาชิงช้าขึ้น เมื่อวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พุทธศักราช ๒๓๒๙ ทรงสร้างเทวสถานและเสาชิงช้าขึ้นตามประเพณีพระนครโบราณ

เทวสถาน

หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “โบสถ์พราหมณ์” (ด้วยเป็นเทวสถานที่มีพราหมณ์เป็นผู้ดูแลและพระราชพิธีสำคัญสำหรับพระนคร)

ภายในเทวสถานมีโบสถ์อยู่ ๓ หลัง คือ

๑. สถานพระอิศวร (โบสถ์ใหญ่)


 สถานพระอิศวร (โบสถ์ใหญ่)

๑) สถานพระอิศวร (โบสถ์ใหญ่) ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนไม่มีพาไล โบสถ์หลังนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นทุกหลัง หลังคาทำชั้นลด ๑ ชั้น หน้าบันด้านหน้ามีเทวรูปปูนปั้นนูน รูปพระอิศวร พระอุมา และเครื่องมงคลรูปสังข์ กลศ กุมภ์ อยู่ในวิมาน ใต้รูปวิมานมีปูนปั้นเป็นรูปเมฆและโคนันทิ หน้าบันด้านหลังไม่มีลวดลาย ภายในเทวสถานมีเทวรูปพระอิศวรทำด้วยสำริด ประทับยืนขนาด ๑.๘๗ เมตร ปางประทานพร โดยยกพระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้าง และยังมีเทวรูปขนาดกลางอีก ๓๑ องค์ ประดิษฐานในเบญจา (ชุกชี) ถัดไปด้านหลังเบญจา มีเทวรูป ศิวลึงค์ ๒ องค์ ทำด้วยหินสีดำ ด้านหน้าเบญจามีชั้นลด ประดิษฐานเทวรูปพระพรหม ๓ องค์ พระราชครูวามเทพมุนีเป็นผู้สร้าง เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๔ พระสรัสวดี ๑ องค์ (พระนางสรัสวดี นี้ นายลัลลาล ประสาททวยาส ชาวอินเดียเป็นผู้ถวาย เมื่อประมาณ ๒๐ ปี มานี้) สองข้างแท่นลด มีเทวรูปพระอิศวรทรงโคนันทิและพระอุมาทรงโคนันทิ เป็นศิลปะปูนปั้นโบราณมีมาแล้วก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ตรงกลางโบสถ์มีเสาลักษณะคล้ายเสาชิงช้า ๒ ต้น สูง ๒.๕๐ เมตร สำหรับประกอบพิธีช้าหงส์ในพระราชพิธีตรียัมพวาย-ตรีปวาย ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือนยี่ (พระอิศวร พระนางอุมา พระคเณศ) วันแรม ๕ ค่ำ เดือนยี่ (พระนารายณ์) และวันแรม ๓ ค่ำ เดือนยี่ (พระพรหม) พิธีช้าหงส์ในวันแรม ๑ ค่ำ และวันแรม ๕ ค่ำ เดือนนั้น เป็นพิธีที่มีมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ส่วนในวันแรม ๓ ค่ำ เป็นพิธีที่เพิ่งจัดให้มีขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน ภายหลังจากที่พระราชครูวามเทพมุนี ได้จัดสร้างเทวรูปพระพรหมถวายเนื่องในมหามงคลสมัยวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๓ รอบ พระนักษัตร


๒. สถานพระพิฆเนศวร (โบสถ์กลาง)










 โบสถ์พระคเณศวร

๒) สถานพระพิฆเนศวร (โบสถ์กลาง) สร้างด้วยอิฐถือปูน มีพาไลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง การก่อสร้างยังคงศิลปะอยุธยาที่สร้างโบสถ์ที่มีพาไล ตัวโบสถ์ไม่มีลวดลาย หลังคามีชั้นลด ๑ ชั้น หน้าบันเรียบ ไม่มีรูปเทวรูปปูนปั้นเหมือนสถานพระอิศวร ภายในโบสถ์มีเทวรูปพระพิฆเนศวร ๕ องค์ ล้วนทำด้วยหิน คือ หินเกรนิต ๑ องค์ หินทราย ๑ องค์ หินเขียว ๒ องค์ ทำด้วยสำริด ๑ องค์ ประดิษฐานบนเบญจา ประทับนั่งทุกองค์ องค์หนึ่งมีขนาดสูง ๑.๐๖ เมตร เป็นประธาน ประดิษฐานอยู่ข้างหน้า องค์บริวารอีก ๔ องค์ ขนาดสูง ๐.๙๕ เมตร


๓. สถานพระนารายณ์ (โบสถ์ริม) 

โบสถ์พระนารายณ์

๓) สถานพระนารายณ์ (โบสถ์ริม) สร้างด้วยอิฐถือปูน มีพาไลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง การก่อสร้างทำเช่นเดียวกับสถานพระพิฆเนศวร ภายในทำชั้นยกตั้งบุษบก ๓ หลัง หลังกลางประดิษฐานพระนารายณ์ ทำด้วยปูน ประทับยืน ๒ องค์นี้เป็นองค์จำลองของเดิมไว้ (ของเดิมได้ย้ายไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ ในสมัยน้ำท่วม พ.ศ. ๒๔๘๕) ตรงกลางโบสถ์มีเสาลักษณะคล้ายเสาชิงช้าขนาดย่อม สำหรับประกอบพิธีช้าหงส์ สูง ๒.๕๐ เมตร เรียกว่า “เสาหงส์”



บริเวณลานเทวสถาน ด้านหน้าประตูทางเข้ามีเทวาลัยขนาดเล็ก ประดิษฐานพระพรหมตั้งอยู่กลางบ่อน้ำ สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.๒๕๑๕ สมัยพระราชครูวามเทพมุนี

เทวสถานได้ขึ้นทะเบียนเป็น “โบราณวัตถุสถาน” สำคัญของชาติ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๖๖ ตอนที่ ๖๔ วันที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๒ หน้า ๕๒๘๑ ลำดับ ๑๑ ระบุว่า เทวสถาน เป็น “โบราณวัตถุสถาน” สำคัญของชาติ ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๒

เสาชิงช้า

เสาชิงช้า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโบสถ์พราหมณ์ หรือ หน้าวัดสุทัศน์เทพวนาราม แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร

ประวัติพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดฯให้สร้างขึ้นตรงหน้าเทวสถาน เมื่อวันพุธ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๒๗ ต่อมาสร้างโรงก๊าด (โรงเก็บน้ำมันก๊าด) ขึ้น ณ ที่นั่น จึงย้ายเสาชิงช้ามา ณ ที่ตั้งปัจจุบัน การสร้างเสาชิงช้าขึ้นก็เพื่อจะรักษาธรรมเนียมการสร้างพระนครตามอย่างโบราณไว้ โดยถือคติว่าจะให้พระนครมีความมั่นคงแข็งแรง กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๖๖ ตอนที่ ๖๔ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ลำดับที่ ๑๐ เป็น “โบราณวัตถุสถาน” สำคัญของชาติประกาศ ณ วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒

การปฏิสังขรณ์เสาชิงช้า ได้รับการปฏิสังขรณ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๓ มีคำจารึกติดไว้เสาชิงช้า ดังนี้

“ไม้เสาชิงช้าคู่นี้กับทั้งเสาตะเกียบและทับหลัง เมื่อถึงคราวเปลี่ยนเสาเก่า บริษัท หลุยตีลี โอโนเวนส์ จำกัด ซึ่งทำการค้าไม่ได้ให้สร้างขึ้นใหม่นี้เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ นายหลุยโทมัส เลียวโอเวนส์ ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น อันเป็นผู้ที่ได้เข้าตั้งเคหะสถานอยู่ในประเทศสยามกว่า ๕๐ ปี เสาชิงช้านี้ได้สร้างเสร็จเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓”

พ.ศ. ๒๕๐๒ กระจังที่เป็นลวดลายผลุง ได้เปลี่ยนใหม่และทาสี
พ.ศ. ๒๕๑๓ สภาพของเสาชิงช้าชำรุดทรุดโทรมมาก ต้องเปลี่ยนเสาใหม่เพื่อให้มั่นคงแข็งแรง การปรับปรุงบูรณะได้พยายามรักษาลักษณะเดิมไว้ทุกประการ งานแล้วเสร็จและได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๕

“เสาชิงช้ามีความสูงจากฐานกลมถึงยอดลายกระจังไม้ประมาณ ๒๑ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางฐานกลมประมาณ ๑๐.๕๐ เมตร ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว พื้นปูกระเบื้องดินเผาสีแดง มีบันได ๒ ชั้น ทั้ง ๒ ด้าน ที่ถนนบำรุงเมืองตัดผ่านตามแนวโค้งของฐานติดแผ่นจารึกเสาชิงช้า เสาชิงช้าแกนกลางคู่และเสาตะเกียบ ๒ คู่ เป็นเสาหัวเม็ดล้วนทำด้วยไม้สักกลึงกลม กระจังและหูช้างไม้เป็นลวดลายไทย ติดสายล่อฟ้าจากลวดลายกระจังด้านบนลงดิน”

เทวรูปต่าง ๆ ที่ประดิษฐานในเทวสถานนั้น สันนิษฐานว่าจะชะลอมาจากที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์เทวรูปที่เป็นประธานในแต่ละโบสถ์นั้น จะเป็นเทวรูปที่ได้จากสุโขทัย ด้วยเทียบเคียงศิลปะในสมัยนั้นกับเทวรูปที่มีอยู่มีลักษณะคล้ายกันมาก

“….พระโองการรับสั่งให้สร้างวัดขึ้นกลางพระนคร ให้สูงเท่าพนังเชิง ให้พระพิเรน ณ เท ขึ้นไปรับพระใหญ่ ณ เมืองโศกโขทัย ชะลอเลื่อนลงมากรุง ประทับสมโภช ๗ วัน

วัดสุทัศน์นี้กำหนดว่าเป็นกึ่งกลางพระนคร จึงตั้งเทวสถานมีเสาชิงช้าลง ณ ที่นั้นตามประเพณีพระนครโบราณ ข้อซึ่งว่าพระราชประสงค์จะทำให้สูงเท่าวัดพนังเชิงนั้นก็ชอบกล เพราะถมพื้นสูงขึ้นไปมากในพระนครที่เป็นที่ลุ่ม……” ในใจความที่ได้จากหมาย ”…..ฉบับหนึ่งด้วยพระยาอภัยรณฤทธิ รับสั่งใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสั่งว่า พระฤกษ์จะขุดรากพระอุโบสถ วัดทำใหม่ ณ เสาชิงช้า พระราชาคณะ ๒๐ รูป จะได้สวดพระพุทธมนต์ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๓ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีเถาะ นพศก (จุลศักราช ๑๑๖๘) เพลาบ่าย….”

“…….เชิญพระศรีศากยมุนีมากรุงเทพฯ”

จุลศักราช ๑๑๗๐ ปีมะโรง สัมฤทธิศก เป็นปีที่ ๒๗ ในรัชกาลที่ ๑ ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นพระประธานในวิหารหลวงวัดมหาธาตุลงมาจากเมืองสุโขทัย หน้าตัก ๓ วาคืบ สมโภชที่หน้าตำหนักแพ ๓ วัน ครั้น ณ เดือน ๖ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เชิญพระขึ้นจากแพทางประตูท่าช้างไปทำร่มไว้ข้างถนนเสาชิงช้า ประตูนั้นก็เรียกว่า ประตูท่าพระ มาจนถึงทุกวันนี้ เหตุว่าต้องรื้อประตูจึงเชิญเข้าไปได้ พระพุทธรูปองค์นี้ภายหลังได้ถวายนามว่า พระศรีศากยมุนี…….”

จากข้อความที่ยกมานี้พอจะทำให้ทราบได้ว่า เมื่อพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงชะลอพระพุทธรูปมาจากสุโขทัย เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๑ นั้น ทรงมีการเตรียมการไว้ก่อนแล้ว โดยให้สร้างวัดขึ้นกำหนดกลางพระนคร คือ บริเวณใกล้เสาชิงช้าและเทวสถาน แสดงว่าขณะนั้นมีเทวสถานและเสาชิงช้าอยู่ก่อนแล้วเป็นมั่นคง จากการสันนิษฐานตามหลักฐานดังกล่าว คงจะเสด็จไปสุโขทัยหลายครั้ง จึงได้ชะลอพระศรีศากยมุนีลงมา และพอจะอนุมานได้อีกว่า เทวรูปที่เทวสถานคงจะได้มาจากสุโขทัยเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นเวลาห่างกันถึง ๒๔ ปีก็ตาม ด้วยเทวสถานได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๗

ตามคติโบราณในการสร้างพระนครใหม่นั้น ให้สร้างเทวสถานและเสาชิงช้า เพื่อบูชาพระศิวะ ผู้ทรงประทานพร พระนารายณ์ผู้ทรงรักษา พระพรหมผู้สร้าง เมื่อจัดตั้งเทวสถานแล้วก็เป็นสถานที่จะกราบไหว้เทพเจ้าสำคัญ และการสร้างเสาชิงช้าก็เป็นคติในการทำให้บ้านเมืองแข็งแรง พิธีที่ทำให้ประเทศชาติมั่นคงตามลัทธินั้น คือ พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย ซึ่งจะทำพิธีโล้ชิงช้าแสดงตำนานเทพเจ้าตอนสร้างโลก เมื่อได้ทำพิธีนี้แล้วถือว่าการสร้างพระนคร ได้สำเร็จลงโดยสมบูรณ์ เมื่อสร้างพระนครเรียบร้อยแล้ว จึงได้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกต่อไป


          ข้อมูลสถานที่ : เทวสถาน หรือ โบสถ์พราหมณ์ เป็นโบราณสถานสำคัญของไทย ดูแลโดยคณะพราหมณ์นำโดยพระราชครูวามเทพมุนี กองพระราชพิธีสำนักพระราชวัง ประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเนศที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ มีสถานให้สักการะ 3 สถานได้แก่ สถานพระอิศวร สถานพระคเณศ สถานพระนารายณ์ เขาไกรลาสจำลองด้านหน้ามีดอกไม้ธูปเทียนจำหน่าย เพื่อนำเงินเข้าบำรุงเทวสถาน

        เทวรูปที่ประดิษฐาน : พระคเนศ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม พระสุรัสวดี พระอุมาภควดี พระลักษมีเทวี ฯลฯ หงส์สำหรับชิงช้าในวันตรียัมปวาย นางกระดานทั้งสามแผ่นและเทวรูปอื่น ๆ

        ตั้งอยู่ที่ : ริมถนนดินสอ บริเวณเสาชิงช้า วัดสุทัศน์ และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

       เวลาเปิด : วันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์จะเปิดให้เข้าไปสักการะได้ถึงในโบสถ์ แต่วันอื่น ๆ จะให้สักการะได้เฉพาะหน้าศาลพระพรหม ดูรายละเอียดเทวสถานโบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้าเพิ่มเติมได้ที่นี่


credit -- จาก ประวัติเทวสถาน – พระราชครูวามเทพมุนี , ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒